พระสัญญาของพระเจ้า
เกริ่นนำ
บิลลี่ เบรย์ เกิดในปี 1794 เป็นคนงานเหมืองจากมณฑลคอร์นวอล เขาเป็นคนติดเหล้า เขามักจะเข้าไปพัวพันกับการชกต่อย และการโต้เถียงในครัวเรือน เมื่ออายุได้ยี่สิบเก้าปีเขาได้พบกับพระเยซู เขากลับบ้าน และพูดกับภรรยาว่า ‘คุณจะไม่เห็นผมเมาอีกโดยความช่วยเหลือจากพระเจ้า’ จากนั้นภรรยาของเขาก็ไม่เคยเห็นเขาเมาเหล้าอีกเลย
คำพูด น้ำเสียง และรูปลักษณ์ของเขาเหมือนมีพลังแม่เหล็ก ราวกับว่าเขาถูกชาร์จไฟของพระเจ้า คนงานเหมืองจำนวนมากจะมาฟังเขาเทศน์นา หลายคนกลับใจใหม่และได้รับการเยียวยาที่น่าทึ่งบางอย่าง เขารักพระคัมภีร์และกล่าวว่า ‘พระสัญญาของพระเจ้านั้นดีพอ ๆ กับวันใดก็ตามที่มีเงินสด’
พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งพระสัญญา ความเชื่อเกี่ยวข้องกับการไว้วางใจพระสัญญาของพระเจ้า พระเจ้าทรงสัญญา ความเชื่อจะเชื่อมั่น ความหวังจะคาดหวัง ความอดทนจะรออย่างเงียบ ๆ
สดุดี 119:161-168
ש (ซิน)
161พวกเจ้านายได้ข่มเหงข้าพระองค์โดยไร้เหตุผล
ใจของข้าพระองค์เกรงกลัวเพราะพระวจนะของพระองค์
162ข้าพระองค์ปีติยินดีเพราะพระดำรัสของพระองค์
อย่างผู้ที่ได้พบของที่ริบมาเป็นอันมาก
163ข้าพระองค์เกลียดและสะอิดสะเอียนความเท็จ
แต่ข้าพระองค์รักธรรมบัญญัติของพระองค์
164ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์วันละเจ็ดครั้ง
เพราะกฎหมายอันชอบธรรมของพระองค์
165บรรดาผู้ที่รักธรรมบัญญัติของพระองค์มีความสมบูรณ์พูนสุขอย่างมาก
ไม่มีสิ่งใดทำให้พวกเขาสะดุดได้
166ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์หวังในการช่วยกู้ของพระองค์
และข้าพระองค์ทำตามพระบัญญัติของพระองค์
167ข้าพระองค์ปฏิบัติตามพระโอวาทของพระองค์
ข้าพระองค์รักพระโอวาทนั้นยิ่งนัก
168ข้าพระองค์ปฏิบัติตามข้อบังคับและพระโอวาทของพระองค์
เพราะทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์อยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์
อรรถาธิบาย
พบความชื่นชมยินดี ความพอใจ สันติสุขในพระสัญญา
ผู้เขียนพระธรรมสดุดีกล่าวว่า ‘บรรดาผู้ที่รักธรรมบัญญัติของพระองค์ มีความสมบูรณ์พูนสุขอย่างมาก ไม่มีสิ่งใดทำให้พวกเขาสะดุดได้’ (ข้อ 165) ผมจำได้ว่ามีวัยรุ่นที่ไม่เชื่อในพระเจ้าคนหนึ่งเข้าร่วมหลักสูตรอัลฟ่าได้เล่าถึงความรู้สึกว่างเปล่าและเปล่าประโยชน์ในชีวิตของเธอ สิ่งที่เธอสังเกตเห็นเกี่ยวกับคริสเตียนคือพวกเขามีสันติสุขอย่างยิ่ง เธอตระหนักว่าสิ่งนี้มาจากความเชื่อ
ที่สุดท้ายที่หลายคนคาดหวังว่าจะพบสันติสุข ความพอใจ และความชื่นชมยินดีคือถ้อยคำในพระคัมภีร์ไบเบิล ถึงกระนั้นผู้เขียนพระธรรมสดุดีกล่าวว่า ‘ข้าพระองค์ปีติยินดีเพราะพระดำรัสของพระองค์อย่างผู้ที่ได้พบของที่ริบมาเป็นอันมาก’ (ข้อ 162)
ผู้เขียนบรรยายพระวจนะของพระเจ้าโดยใช้สำนวนต่าง ๆ มากมาย เขาใช้คำว่า ‘พระวจนะของพระองค์’ (ข้อ 161) ‘ธรรมบัญญัติของพระองค์’ (ข้อ 163, 165) ‘พระบัญญัติ’ (ข้อ 166) ‘พระโอวาท’ (ข้อ 167, 168) และ ‘ข้อบังคับ’ (ข้อ 168) แต่ผู้เขียนอธิบายในพระธรรมตอนนี้ว่า พระคำของพระเจ้าเป็น ‘พระสัญญา’ (ข้อ 162)
พระคำของพระเจ้าคือพระสัญญาของพระองค์ การพบพระคำเหมือนกับการค้นพบขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งคุณขุดลึกมากเท่าไหร่ ก็จะค้นพบขุมทรัพย์ที่น่าอัศจรรย์และงดงามมากขึ้นเท่านั้น นี่ทำให้ผู้เขียนสดุดี กล่าวว่า ‘ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์วันละเจ็ดครั้ง’ (ข้อ 164)
คำอธิษฐาน
ฮีบรู 6:13-7:10
พระสัญญาอันแน่นอน
13เพราะเมื่อพระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัมนั้น โดยเหตุที่ไม่มีใครเป็นใหญ่กว่าพระองค์ที่พระองค์จะทรงอ้างได้ในการสาบาน พระองค์ก็ทรงสาบานโดยอ้างพระองค์เอง 14คือตรัสว่า“เราจะอวยพรเจ้า และจะให้เจ้าทวีมากขึ้นอย่างแน่นอน” 15เช่นนั้นแหละ เมื่ออับราฮัมได้อดทนคอยแล้ว ท่านก็ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้นั้น 16ส่วนมนุษย์นั้นสาบานโดยอ้างผู้ที่เป็นใหญ่กว่าตน และเมื่อเกิดการทุ่มเถียงอะไรก็ตาม ก็ต้องถือคำสาบานนั้นเป็นคำยืนยันขั้นสุดท้าย 17ฉะนั้นเมื่อพระเจ้าทรงประสงค์จะแสดงให้บรรดาผู้ที่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้เป็นมรดกรู้แน่ยิ่งขึ้นว่าพระดำริของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์จึงได้ทรงยืนยันพระสัญญานั้นด้วยคำสาบาน 18เพื่อว่าโดยพระสัญญาและคำสาบานที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะพระเจ้าตรัสมุสาไม่ได้ เราผู้ที่หนีไปยึดความหวังซึ่งมีอยู่ตรงหน้า จะได้รับการชูใจอย่างมากมาย 19ความหวังที่เรายึดนั้นเป็นเสมือนสมอที่แน่นอนและมั่นคงของจิตใจ เป็นความหวังที่นำไปสู่อภิสุทธิสถานข้างหลังม่าน 20ที่ที่พระเยซูผู้ทรงนำหน้าเสด็จเข้าไปก่อนแล้วเพื่อเรา เพราะพระองค์ทรงเป็นมหาปุโรหิตชั่วนิรันดร์ ตามแบบอย่างเมลคีเซเดคนั้น
ฮีบรู 7
รูปแบบของปุโรหิตตามอย่างเมลคีเซเดค
1 เมลคีเซเดค ผู้นี้คือกษัตริย์เมืองซาเลม เป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด มาพบอับราฮัมขณะที่อับราฮัมกำลังกลับมาจากการรบชนะกษัตริย์ทั้งหลาย ท่านได้อวยพรอับราฮัม 2อับราฮัม ก็ถวายทศางค์ จากสิ่งสารพัด แก่เมลคีเซเดค ประการแรก นามของท่านแปลว่า กษัตริย์แห่งความชอบธรรม และประการต่อมา ท่านเป็นกษัตริย์เมืองซาเลม ด้วยซึ่งหมายถึงกษัตริย์แห่งสันติสุข 3บิดามารดาและตระกูลของท่านไม่มีกล่าวไว้ วันเกิดวันตายก็เช่นกัน แต่เป็นเหมือนพระบุตรของพระเจ้า เมลคีเซเดคนั้นดำรงอยู่เป็นปุโรหิตตลอดไป
4จงคิดดูเถิด ท่านผู้นี้ยิ่งใหญ่เพียงไร ที่อับราฮัมผู้เป็นบรรพบุรุษของเรานั้น ยังได้ถวายทศางค์จากสิ่งที่ริบได้นั้นแก่ท่าน 5และบรรดาเชื้อสายของเลวีซึ่งได้รับตำแหน่งปุโรหิตนั้น ก็มีบัญญัติสั่งให้รับทศางค์จากประชาชนตามธรรมบัญญัตินั้น คือรับจากพวกพี่น้องของตน แม้ว่าพี่น้องเหล่านั้นจะสืบเชื้อสายจากอับราฮัมเช่นกัน 6แต่เมลคีเซเดคไม่ใช่เชื้อสายของพวกเขา ก็ยังได้รับทศางค์จากอับราฮัม และอวยพรแก่อับราฮัมผู้ได้รับพระสัญญา 7สิ่งที่ค้านไม่ได้คือผู้น้อยเป็นผู้รับพรและผู้ใหญ่เป็นผู้ให้พร 8ในกรณีหนึ่ง ทศางค์ก็รับโดยมนุษย์ที่ต้องตาย แต่ในอีกกรณีหนึ่ง ก็รับโดยผู้ที่มีหลักฐานว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ 9ถ้าจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เลวีผู้รับทศางค์นั้นก็ได้ถวายทศางค์ทางอับราฮัม 10เพราะว่าขณะนั้นเลวียังอยู่ในสายเลือดของบรรพบุรุษ คืออับราฮัม ขณะที่เมลคีเซเดคมาพบอับราฮัม
อรรถาธิบาย
วางใจในพระสัญญาและอดทนรอคอย
อับราฮัมรอมา 25 ปี โจเซฟรอ 13 ปี โมเสสรอ 25 ปี พระเยซูรอ 30 ปี ถ้าพระเจ้าทำให้คุณรอ แสดงว่าคุณเป็นพวกเดียวกัน
ผมมักพบว่าช่องว่างระหว่างพระสัญญาของพระผู้เป็นเจ้ากับความสัมฤทธิ์ผลนั้นยาวนานกว่าที่ผมคาดไว้มาก ผมเรียนรู้ที่จะอดทนมากขึ้น พระสัญญาของพระเจ้าที่มีต่อเราเป็นสมอของจิตวิญญาณเรา (6:19) มีความแน่นอนและมั่นคง พระองค์ทรงรักษาคำพูดของพระองค์ แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้หรือแม้ว่าสถานการณ์จะชี้ไปในทางตรงกันข้ามก็ตาม แต่กระนั้นความล่าช้าไม่ได้ลบล้างพระสัญญาของพระเจ้า
อับราฮัมขนานนามตนเองว่าเป็น ‘ผู้ได้รับพระสัญญา’ (7:6) เมื่อพระเจ้าเรียกอับราฮัมและนางซาราห์ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะมีชนชาติที่ยิ่งใหญ่เกิดจากทั้งคู่ ทรงสัญญาว่าจะให้ทั้งสองมีบุตร แต่ต้องรอหลายปีกว่าที่พระสัญญาจะสำเร็จ ทั้งสองรอแล้วรอเล่า ทั้งยังได้เดินในทางผิดเพื่อให้พระสัญญานั้นสำเร็จโดยทำผ่านน้ำมือของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ในที่สุด ‘พระยาเวห์ทรงทำแก่ซาราห์ ดังที่พระองค์ปฏิญาณไว้’ (ปฐมกาล 21:1) เมื่ออับราฮัมอายุได้ 100 ปี! ในที่สุด พระเจ้าทรงทำตามพระสัญญา ‘เช่นนั้นแหละ เมื่ออับราฮัมได้อดทนคอยแล้ว ท่านก็ได้สิ่งที่ทรงสัญญาไว้นั้น’ (ฮีบรู 6:15)
พระสัญญาของพระเจ้านั้นจริงแท้แน่นอน ‘เมื่อผู้คนให้คำมั่นสัญญา พวกเขารับประกันโดยอ้อนวอนไปยังผู้มีอำนาจเหนือพวกเขา เมื่อพระเจ้าต้องการรับประกันคำสัญญาของพระองค์ พระองค์ก็ทรงให้คำมั่นสัญญาอย่างมั่นคงหนักแน่น’ (ข้อ 16–17, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ความหวังของคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมองโลกในแง่ดีที่คลุมเครือ หรือความปรารถนาที่ไร้เหตุผล เป็นการวางใจในพระสัญญาที่ไม่คืนคำของพระเจ้า มีศูนย์กลางอยู่ที่พระเยซู ผู้ทรงเป็น ‘มหาปุโรหิตชั่วนิรันดร์ ตามแบบอย่างเมลคีเซเดคนั้น’ (ข้อ 20) เมลคีเซเดคไม่ปรากฏที่ใดเลยในพระธรรมปฐมกาล และเราไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาหลังจากนั้น เขาเป็นดั่งเงาสะท้อนล่วงหน้าของพระเยซู ‘เป็นเหมือนบุตรของพระเจ้า ที่ทรงเป็นปุโรหิตโดยไม่มีการหยุดชะงักและไม่มีผู้สืบทอดต่อ’ (ข้อ 7:3, ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
ผู้เขียนแสดงให้เห็นความยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซู (การเป็นปุโรหิตตามอย่างเมลคีเซเดค) ที่อยู่เหนือปุโรหิตคนอื่น ๆ (ของเผ่าเลวี) (ข้อ 1–10)
พระเยซู ผู้เป็นมหาปุโรหิต ทั้งยังทรงเป็นกษัตริย์แห่งสันติสุขตามอย่างเมลคีเซเดค ชื่อของ ‘เมลคีเซเดค’ หมายถึง ‘กษัตริย์แห่งความชอบธรรม’ และ ‘กษัตริย์เมืองซาเล็ม’ ซึ่งหมายถึง ‘กษัตริย์แห่งสันติสุข’ (ข้อ 2)
ความเป็นมหาปุโรหิตของพระเยซูนั้นถาวร ไม่มี ‘การกล่าววันตายของท่าน’ (ข้อ 3, 8) เช่นเดียวกับพระเยซู พระองค์เป็นปุโรหิตที่ทรงพระชนม์ตลอดไป สดุดี 110 ได้กล่าวไว้ว่า ‘พระองค์เป็นปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างเมลคีเซเดค’ (ข้อ 4)
พระเยซู (เมลคีเซเดค) ได้รับสิบลดจากอับราฮัม (ฮีบรู 7:4) ของถวายจากอับราฮัมแสดงให้เห็นว่าอับราฮัมตระหนักถึงความด้อยกว่าเมลคีเซเดคของตัวเอง เลวีเป็นเหลนของอับราฮัม ถึงแม้อับราฮัมเป็นบรรพบุรุษของของเขาทั้งหมด (ข้อ 9–10) ดังนั้นฐานะปุโรหิตของพระเยซู (เมลคีเซเดค) มีสถานะที่สูงกว่าฐานะปุโรหิตของเลวี
เมลคีเซเดคอวยพรอับราฮัม (ข้อ 6–7) พระเจ้าสัญญาว่าบรรดาประชาชาติในโลกจะได้รับพรจากอับราฮัม (ปฐมกาล 22:18) ดังนั้น ถ้าเมลคีเซเดคสามารถอวยพรอับราฮัมได้ สถานะของเมลคีเซเดคต้องเหนือกว่าลำดับพงศ์พันธ์ของเลวีอย่างแน่นอน (ฮีบรู 7:7)
พระเยซูเป็นมหาปุโรหิต ‘ตามอย่างเมลคีเซเดค’ สิ่งนี้เตือนใจเราว่าเราสามารถวางใจได้ว่าพระสัญญาของพระเจ้าจะมั่นคงอย่างสมบูรณ์ พระเยซูรับรองพระสัญญานั้นสำหรับเรา ‘เพื่อเรา’ ทรงเป็น ‘มหาปุโรหิตชั่วนิรันดร์ ตามแบบอย่างของเมลคีเซเดคนั้น’ (6:20)
คำอธิษฐาน
เอเสเคียล 7:1-9:11
หายนะที่ใกล้จะมาถึง
1พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงข้าพเจ้าอีกว่า 2“เจ้า บุตรมนุษย์เอ๋ย พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสกับแผ่นดินอิสราเอลดังนี้ว่า
"อวสาน อวสานมาถึง
ทั้งสี่มุมของแผ่นดิน
3บัดนี้อวสานมาถึงเจ้า
และเราจะปล่อยให้ความกริ้วของเรามาเหนือเจ้า
และเราจะพิพากษาเจ้าตามวิถีชีวิตเจ้า
และเราจะลงทัณฑ์เพราะสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งหมดของเจ้า
4นัยน์ตาของเราจะไม่ปรานีเจ้า
และเราก็จะไม่กรุณา
แต่เราจะลงทัณฑ์เจ้าตามวิถีชีวิตเจ้า
ขณะเมื่อสิ่งน่าสะอิดสะเอียนยังอยู่ท่ามกลางเจ้า
แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือยาห์เวห์”
5พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า
“ดูสิ วิบัติ วิบัติที่ไม่เคยมี ได้มาถึงแล้ว
6อวสานมาถึง อวสานนั้นมาถึงแล้ว
มันตื่นขึ้นมาต่อสู้เจ้า ดูสิ มันมาถึงแล้ว
7ชาวแผ่นดินเอ๋ย
ความหายนะของเจ้ามาถึงแล้ว
เวลานั้นมาถึงแล้ว วันนั้นก็ใกล้เข้ามา
มีแต่ความโกลาหล และไร้ความยินดีบนภูเขา
8บัดนี้ ใกล้เวลาที่เราจะเทความโกรธของเราบนเจ้า
และระบายความกริ้วของเราต่อเจ้าจนหมดสิ้น
และเราจะพิพากษาเจ้าตามวิถีชีวิตเจ้า
และเราจะลงทัณฑ์เพราะสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งหมดของเจ้า
9นัยน์ตาของเราจะไม่ปรานี
และเราก็จะไม่กรุณา
แต่เราจะลงทัณฑ์เจ้าตามวิถีชีวิตเจ้า
ขณะเมื่อสิ่งน่าสะอิดสะเอียนยังอยู่ท่ามกลางเจ้า
แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือยาห์เวห์ผู้โบยตี
10นี่แน่ะ วันนั้น ดูสิ มาถึงแล้ว
ความหายนะของเจ้าออกมาแล้ว
ไม้พลองก็เบ่งบาน
ความเย่อหยิ่งก็ผลิดอก
11ความรุนแรงได้เจริญขึ้นเป็นไม้พลองของความชั่ว
ไม่มีใครเหลืออยู่เลย
ไม่มีสิ่งใดเหลือจากความมั่งคั่งของพวกเขา ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครมในพวกเขา
ไม่มีคนสำคัญในพวกเขา
12เวลานั้นมาแล้ว วันนั้นมาถึงแล้ว
อย่าให้คนซื้อดีใจ อย่าให้คนขายเสียใจ
เพราะพระพิโรธอยู่เหนือประชากรทั้งหมดของแผ่นดิน
13“เพราะคนขายจะไม่ได้กลับไปยังสิ่งที่เขาขายไป ขณะเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะว่านิมิตนั้นเกี่ยวข้องกับประชากรทั้งหมดและจะไม่หันกลับ และเพราะความผิดบาปของเขา จึงไม่มีใครอาจรักษาชีวิตไว้ได้
14“เขาได้เป่าแตร และเตรียมทุกอย่างไว้พร้อม
แต่ไม่มีผู้ใดเข้าสงคราม
เพราะว่าความโกรธของเราอยู่เหนือประชากรทั้งหมดของแผ่นดิน
15ดาบอยู่ข้างนอก โรคระบาดและความอดอยากอยู่ข้างใน
คนที่อยู่ในทุ่งนาก็ตายด้วยดาบ
ส่วนคนที่อยู่ในเมืองนั้นความอดอยากและโรคระบาดก็กลืนกินเสีย
16และถ้ามีใครรอดตายหนีไปได้
พวกเขาจะอยู่บนภูเขา
เขาจะเป็นเหมือนนกพิราบแห่งหุบเขา
แต่ละคนจะร้องครวญครางเพราะความผิดบาปของตน
17มือทุกมือก็อ่อนแรง
และเข่าทุกเข่าก็ปวกเปียก
18เขาทั้งหลายจะคาดเอวด้วยผ้ากระสอบ
และความสั่นเทาจะครอบงำพวกเขา
ความอับอายอยู่บนใบหน้าเขาทุกคน
และศีรษะของเขาทุกคนก็ล้าน
19พวกเขาขว้างเงินของเขาไปในถนน
และทองคำของเขาก็เป็นเหมือนสิ่งมลทิน
“เงินและทองของพวกเขาไม่อาจจะช่วยกู้เขาในวันแห่งพระพิโรธของพระยาห์เวห์ สิ่งเหล่านี้จะไม่ทำให้พวกเขาหายหิว หรือเติมให้เต็มท้อง เพราะว่ามันเป็นสิ่งสะดุดให้พวกเขาทำบาป 20ด้วยเครื่องประดับงดงามที่เขาภูมิใจ พวกเขาใช้สร้างรูปเคารพอันน่าขยะแขยง และสร้างสิ่งน่ารังเกียจของเขา เพราะฉะนั้น เราจะทำสิ่งนี้ให้เป็นสิ่งมลทินแก่เขาทั้งหลาย
21“และเราจะมอบสิ่งนี้ให้เป็นของริบไว้ในมือของคนต่างด้าว
และให้เป็นของปล้นในมือคนอธรรมในแผ่นดินโลก
แล้วพวกเขาจะทำให้เป็นมลทิน
22และเราจะหันหน้าของเราออกจากพวกเขา
แล้วพวกเขาจะทำให้สถานล้ำค่าของเราเสื่อมเกียรติ
พวกปล้นจะเข้ามา
แล้วทำให้มันเสื่อมเกียรติ
23จงทำสายโซ่
เพราะว่าแผ่นดินเต็มด้วยคดีเลือด
และบ้านเมืองก็เต็มด้วยความรุนแรง
24ฉะนั้นเราจะนำประชาชาติชั่วร้ายที่สุดมา
และให้ถือกรรมสิทธิ์บ้านเรือนของเขาทั้งหลาย
และเราจะให้ความหยิ่งของคนทรงพลังนั้นสิ้นสุดลง
และสถานศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาจะเป็นที่ลบหลู่
25เมื่อความหวาดกลัวมาถึง เขาจะแสวงหาความสงบสุข
แต่ก็ไม่พบเลย
26วิบัติมาแล้วมาอีก
ข่าวลือเกิดแล้วเกิดอีก
เขาทั้งหลายจะแสวงหานิมิตจากผู้เผยพระวจนะ
และการสอนธรรมบัญญัติก็สูญไปจากปุโรหิต
และคำปรึกษาสูญไปจากพวกผู้อาวุโส
27พระราชาก็ทรงทุกข์โศก
และเจ้านายก็คลุมกายด้วยความสิ้นหวัง
และมือของราษฎรก็สั่นเทา
เราจะจัดการกับพวกเขาตามวิถีทางของเขา
และเราจะพิพากษาเขาตามหลักการพิพากษาของเขา
แล้วเขาทั้งหลายจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์”
เอเสเคียล 8
สิ่งน่าสะอิดสะเอียนในวิหารของพระเจ้า
1ในวันที่ 5 เดือนที่ 6 ของปีที่ 6 ขณะที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ในบ้านข้าพเจ้า และบรรดาผู้อาวุโสของยูดาห์นั่งอยู่หน้าข้าพเจ้า พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์องค์เจ้านายลงมาบนข้าพเจ้า ณ ที่นั้น 2แล้วข้าพเจ้าก็มองดู และเห็นรูปลักษณ์ของชายคนหนึ่ง จากส่วนที่มีลักษณะของเอวลงไปนั้นเป็นไฟ เหนือเอวขึ้นไปมีลักษณะสุกใสเหมือนทองสัมฤทธิ์แวววาว 3ท่านยื่นส่วนที่เป็นรูปมือนั้นออกมาจับผมที่ศีรษะข้าพเจ้า แล้วพระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้นระหว่างพื้นพิภพและฟ้าสวรรค์ และทรงนำข้าพเจ้ามาถึงกรุงเยรูซาเล็มด้วยนิมิตของพระเจ้า มายังทางเข้าประตูด้านเหนือของลานชั้นใน อันเป็นที่ตั้งรูปเคารพแห่งความหวงแหน ซึ่งเร้าให้เกิดความหวงแหน 4ดูสิ พระสิริของพระเจ้าแห่งอิสราเอลก็อยู่ที่นั่น มีพระลักษณะเหมือนที่ข้าพเจ้าได้เห็นในที่ราบ
5แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย บัดนี้จงเงยหน้ามองไปทางทิศเหนือ” ข้าพเจ้าจึงเงยหน้ามองไปทางทิศเหนือ และนี่แน่ะ ทางทิศเหนือของประตูแท่นบูชา ตรงทางเข้ามีรูปเคารพที่เร้าความหวงแหนนี้อยู่ที่นั่น 6แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นหรือไม่ว่าพวกเขาทำอะไรอยู่ คือสิ่งน่าสะอิดสะเอียนยิ่งใหญ่ที่พงศ์พันธุ์อิสราเอลทำกันอยู่ที่นี่ อันจะทำให้เราไปจากสถานนมัสการของเรา และเจ้ายังจะเห็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่านี้อีก”
7และพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาถึงประตูลาน และเมื่อข้าพเจ้ามองดู ดูสิ มีช่องหนึ่งอยู่ในกำแพง 8แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเจาะเข้าไปในกำแพง” และเมื่อข้าพเจ้าเจาะเข้าไปในกำแพง นี่แน่ะ มีประตูอยู่ประตูหนึ่ง 9และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเข้าไป ไปดูสิ่งน่าสะอิดสะเอียนอันชั่วร้ายซึ่งเขาทั้งหลายทำกันที่นี่” 10ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเข้าไปและได้เห็น ดูสิ เป็นภาพสลักบนผนังโดยรอบ มีภาพสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดและสัตว์น่ารังเกียจ รวมทั้งรูปเคารพทั้งหมดของพงศ์พันธุ์อิสราเอล 11และมีพวกผู้ใหญ่ของพงศ์พันธุ์อิสราเอล 70 คนยืนอยู่ข้างหน้ารูปเหล่านั้น และมียาอาซันยาห์บุตรชาฟานยืนอยู่ในหมู่พวกเขาทั้งหลาย ต่างก็มีกระถางไฟอยู่ในมือ กลิ่นและควันของเครื่องหอมก็ลอยขึ้นไปข้างบน 12แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าได้เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าพวกผู้ใหญ่ของพงศ์พันธุ์อิสราเอลทำอะไรอยู่ในที่มืด? แต่ละคนต่างก็อยู่ในห้องรูปเคารพสลักของตน เพราะเขาทั้งหลายพูดว่า ‘พระยาห์เวห์ไม่ทอดพระเนตรเห็นเรา พระยาห์เวห์ทรงทอดทิ้งแผ่นดินนี้เสียแล้ว’ ” 13พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าด้วยว่า “เจ้ายังจะเห็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียนที่พวกเขาทำมากยิ่งกว่านี้อีก”
14แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาถึงทางเข้าประตูด้านเหนือแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และดูสิ ที่นั่นมีผู้หญิงหลายคนนั่งร้องไห้เพื่อเทพทัมมุส 15แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม? เจ้ายังจะเห็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียนมากยิ่งกว่านี้อีก”
16แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้าเข้ามาในลานชั้นในแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ดูสิ ตรงทางเข้าพระวิหารของพระยาห์เวห์ ระหว่างเฉลียงและแท่นบูชานั้น มีชายประมาณ 25 คนหันหลังให้พระวิหารของพระยาห์เวห์ และหันหน้าของพวกเขาไปทางทิศตะวันออก กำลังนมัสการดวงอาทิตย์ตรงทิศตะวันออกนั้น 17แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าเห็นไหม? บุตรมนุษย์เอ๋ย สิ่งน่าสะอิดสะเอียนของพงศ์พันธุ์ยูดาห์ที่พวกเขาทำอยู่ที่นี่ยังเลวไม่พอหรือ? เขาทั้งหลายจึงทำให้แผ่นดินเต็มด้วยความทารุณอีกเพื่อให้เรากริ้วยิ่งขึ้น และ ดูสิ เขาทั้งหลายยังเอากิ่งไม้มาแตะจมูกพวกเขา 18ดังนั้นเราเองจะทำด้วยความโกรธ นัยน์ตาของเราจะไม่ปรานี เราจะไม่สำแดงความกรุณา และแม้ว่าพวกเขาจะร้องด้วยเสียงอันดังใส่หูของเรา เราก็จะไม่ฟังพวกเขา”
เอเสเคียล 9
เข่นฆ่าพวกไหว้รูปเคารพ
1แล้วพระองค์ทรงเปล่งเสียงดังเข้าหูข้าพเจ้าว่า “บรรดาเพชฌฆาตของเมืองเอ๋ย จงมานี่ และถืออาวุธทำลายมาด้วย” 2และนี่แน่ะ มีชาย 6 คนเข้ามาจากทางประตูบน ซึ่งหันหน้าไปทางเหนือ แต่ละคนถืออาวุธทำลายล้างมา และมีชายคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าป่านมีกล่องเครื่องเขียนที่เอวอยู่ท่ามกลางพวกเขา และเขาทั้งหลายเข้ามา แล้วยืนอยู่ที่ข้างแท่นทองสัมฤทธิ์
3พระสิริของพระเจ้าแห่งอิสราเอลที่อยู่บนเครูบได้ถูกยกขึ้นไปยังธรณีประตูพระนิเวศ และพระองค์ตรัสเรียกชายซึ่งนุ่งห่มผ้าป่านที่มีกล่องเครื่องเขียนที่เอว 4และพระยาห์เวห์ตรัสสั่งเขาว่า “จงเข้าไปในนครคือกรุงเยรูซาเล็ม และทำเครื่องหมายไว้ที่หน้าผากของบรรดาคนที่ถอนหายใจและคร่ำครวญ เนื่องจากสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งหมดที่ทำกันในเมืองนั้น” 5และพระองค์ตรัสกับชายคนอื่นๆ ให้ข้าพเจ้าได้ยินว่า “จงไปตลอดนครตามหลังชายคนนั้นแล้วฆ่าฟันเสีย นัยน์ตาของเจ้าทั้งหลายอย่าได้ปรานี และเจ้าอย่าสำแดงความกรุณา 6จงฆ่าทำลายทั้งคนแก่ คนหนุ่ม และหญิงสาว ทั้งเด็กและพวกผู้หญิง แต่อย่าเข้าใกล้ผู้มีเครื่องหมาย และจงเริ่มต้นที่สถานนมัสการของเรา” ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงตั้งต้นกับพวกชายแก่ผู้อยู่หน้าพระนิเวศนั้น 7แล้วพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “จงทำให้พระนิเวศเป็นมลทิน จงทิ้งผู้ถูกฆ่าให้เต็มลาน จงไปเถิด” เขาทั้งหลายจึงออกไปและฟาดฟันในนคร 8ขณะที่เขาทั้งหลายกำลังฟาดฟันอยู่นั้น ข้าพเจ้าอยู่ตามลำพัง ข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดินร้องว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย พระองค์จะทรงทำลายคนอิสราเอลที่เหลืออยู่นั้นจนหมด เพื่อระบายความโกรธของพระองค์เหนือเยรูซาเล็มหรือ?” 9แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บาปของพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์มีมากมายยิ่งนัก แผ่นดินก็เต็มด้วยโลหิต และความอยุติธรรมก็เต็มนคร เพราะพวกเขากล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงทอดทิ้งแผ่นดินนี้แล้ว และพระยาห์เวห์ไม่ทอดพระเนตรอีก’ 10และสำหรับเราเอง นัยน์ตาเราจะไม่ปรานี และเราจะไม่สำแดงความกรุณา แต่เราจะลงโทษเหนือศีรษะของพวกเขาตามความประพฤติของเขา”
11และดูสิ ชายที่นุ่งห่มผ้าป่านหนีบกล่องเครื่องเขียนที่เอวนั้น ได้นำถ้อยคำลับมากล่าวว่า “ข้าพระองค์ได้ทำตามทุกสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาข้าพระองค์ไว้นั้นแล้ว”
อรรถาธิบาย
ฟังพระสัญญาของพระเจ้าและรับเอา
ผู้ที่รับพระสัญญาของพระเจ้าจะไม่มีวันอดอยากอาหารฝ่ายจิตวิญญาณ แต่หลายคนกลับวางใจในสิ่งที่ผิด บางคนวางใจในเงินเพื่อความมั่นคง อย่างไรก็ตาม พระเจ้าตรัสว่า ‘เงินและทองของพวกเขาจะไม่อาจจะช่วยกู้เขา’ (7:19ก) ความมั่งคั่งของพวกเขา ‘จะไม่ทำให้พวกเขาหายหิว’ (ข้อ 19ข)
อริสโตเติล โอนาสซิส หนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก กล่าวในวาระสุดท้ายของชีวิตว่า ‘เงินนับล้านก็ไม่สามารถเต็มเต็มความต้องการในชีวิตของมนุษย์ได้’ หลายคนพยายามเติมความว่างเปล่าในส่วนลึกของพวกเขาในแบบที่ไม่เติมเต็ม นั่นเป็นเพราะพวกเขาแสวงหาความสุขผิดที่
ความมั่งคั่ง เป็นอะไรที่อยู่ห่างไกลจากความพึงพอใจและความชื่นชมยินดี มักจะนำเราไปสู่ความจองหอง บาป และการบูชารูปเคารพได้ (ข้อ1–11) นอกจากนี้ ความมั่งคั่งจะไม่มีวันให้ความมั่นคงได้เสมอ ภาวะตลาดตกต่ำและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้คนทั้งประเทศล้มละลายได้ (ข้อ 12–20)
ในทางกลับกัน พระสัญญาของพระเจ้านั้นมั่นคงถาวร สิ่งที่พระองค์ตรัส พระองค์ทรงพระสัญญา เอเสเคียลประกาศพระสัญญาของพระเจ้าว่า ‘พระวจนะของพระเจ้ามาถึงข้าพเจ้า “เจ้าบุตรมนุษย์เอ๋ย นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัส...”’(ข้อ 1–2) ข้อความนั้นคือ ‘การอวสานของทุกกิจการจะเกิดขึ้น’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เอเสเคียลสัญญาว่าการพิพากษาของพระเจ้านั้นเที่ยงธรรม ‘เราจะจัดการกับพวกเขาตามวิถีทางของเขาและเราจะพิพากษาตามหลักการพิพากษาของเขา’ (ข้อ 27; ดูโรม 2:1) สิ่งนี้จะเกิดขึ้น ‘ในวันที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาความลับของมนุษย์โดยพระเยซูคริสต์’ (โรม 2:16)
เอเสเคียลได้ชี้ให้เห็นผู้ที่มาจะพิพากษาโลก ‘แล้วข้าพเจ้าก็มองดู และเห็นรูปลักษณ์ของชายคนหนึ่ง จากส่วนที่มีลักษณะของเอวลงไปนั้นเป็นไฟเหนือเอวขึ้นไปมีลักษณะสุกใสเหมือนทองสัมฤทธิ์แวววาว’ (เอเสเคียล 8:2) คำอธิบายนี้ใกล้เคียงกับคำอธิบายเกี่ยวกับพระเยซูในพระธรรมวิวรณ์ 1:10–16
วิธีเดียวที่จะหลุดพ้นจากการพิพากษาคือต้องมีเครื่องหมายที่หน้าผาก (เอเสเคียล 9:4) และพระยาห์เวห์ตรัสสั่งเขาว่า ‘จงเข้าไปในนครคือกรุงเยรูซาเล็มและทำเครื่องหมายไว้ที่หน้าผากของบรรดาผู้ที่ถอนหายใจและคร่ำครวญเนื่องจากสิ่งน่าสะอิดสะเอียดทั้งหมดที่ทำกันในเมือง ... อย่าเข้าใกล้ผู้ที่มีเครื่องหมาย’ (ข้อ 4, 6)
คนที่มีเครื่องหมายบนหน้าผากจะมีเครื่องหมายการปกป้องเมื่อมีการพิพากษา คำว่า ‘mark’ อักษรฮีบรู คือ tav เป็นอักษรฮีบรูตัวสุดท้าย ในเวลานั้นตัวอักษรนั้นคงจะถูกเขียนเป็นเครื่องหมาย X คือเครื่องหมายไม้กางเขน สิ่งนี้เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่? หรือมีนัยสำคัญที่ผู้ซึ่งได้รับการปกป้องคือผู้ที่มีเครื่องหมายกางเขนอยู่บนหน้าผากของพวกเขา?
ในพระธรรมวิวรณ์ เราอ่านเกี่ยวกับทูตสวรรค์ที่ร้องว่า ‘จงอย่าทำอันตรายแผ่นดิน ทะเล หรือต้นไม้ จนกว่าเราจะได้ประทับตราบนหน้าผากของบรรดาผู้รับใช้ของพระเจ้าของเรา’ (วิวรณ์ 7:3; ดูวิวรณ์ 9:4; 14:1)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ฮีบรู 6:15
‘เมื่ออับราฮัมอดทนคอยแล้ว ท่านก็ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้นั้น’
การรอสิ่งใด ๆ นั้นเป็นเรื่องยาก ตัวอย่างของอับราฮัมเป็นการหนุนใจให้อธิษฐานต่อ ๆ ไปแม้เมื่อรู้สึกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ข้อพระคำประจำวัน
ฮีบรู 6:15
‘เมื่ออับราฮัมอดทนคอยแล้ว ท่านก็ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้นั้น’

App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)