วัน 292

คำพูด พระวจนะของพระเจ้า และ'ถ้อยคำ'

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 25:11-20
พันธสัญญาใหม่ 1 ทิโมธี 4:1-16
พันธสัญญาเดิม เยเรมีย์ 40:7-42:22

เกริ่นนำ

นักแสดงชาย เดวิด ซูเชต์ ซึ่งเป็นที่รู้จักจากบทนำใน นักสืบปัวโรต์ เล่าว่าเมื่อสองสามปีก่อนขณะเขากำลังนอนอยู่ในอ่างอาบน้ำในโรงแรมแห่งหนึ่งในอเมริกา เขารู้สึกอยากอ่านพระคัมภีร์ขึ้นมาอย่างกระทันหัน ในที่สุดเขาก็พบคัมภีร์ของกิเดี้ยน และเริ่มอ่านพันธสัญญาใหม่ ขณะที่อ่านเขาได้พบกับพระเยซูคริสต์ และพูดว่า:

'จากที่ใดที่หนึ่งที่ผมมีความปรารถนาที่จะอ่านพระคัมภีร์อีกครั้ง นั่นเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงของผม ผมเริ่มต้นด้วยกิจการของอัครทูตแล้วย้ายไปที่จดหมายฝากของอาจารย์เปาโล – โรมและโครินธ์ หลังจากนั้นผมก็มาที่ข่าวประเสริฐ ในพันธสัญญาใหม่ และทันใดนั้นผมก็ค้นพบทางที่ควรดำเนินชีวิต'

คำที่ทรงพลังที่สุดที่เคยมีนั้นได้ถูกเขียนอยู่ในพระคัมภีร์ ถ้อยคำเป็นหัวข้อสำคัญในนั้น และคำว่า ‘ถ้อยคำ’ ถูกใช้ในความหมายที่ต่างกัน

  • ประการแรก ใช้ในแง่ของ ถ้อยคำของเรา สิ่งที่เราพูดนั้นดีหรือไม่ดี (สุภาษิต 25:11–20)

  • ประการที่สอง ยังใช้ในความหมาย พระวาทะของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระวาทะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด (ยอห์น 1:1; ฮีบรู 1:2) และยังอ้างถึงพระคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์และในการเทศนาและการสอน (1 ทิโมธี 4:1–16)

  • ประการที่สาม พระคัมภีร์ยังใช้วลี ‘พระวจนะของพระยาห์เวห์’ ในความหมายของคำพยากรณ์ (เยเรมีย์ 42:7) พระเจ้ายังคงตรัสกับคริสตจักรผ่านการเผยพระวจนะ (1 ทิโมธี 4:14) แน่นอนว่าเราต้องแยกแยะผู้เผยพระวจนะอย่างในพันธสัญญาเดิมว่า ‘ถ้อยคำ’ นั้นเป็น ‘พระวจนะของพระยาห์เวห์’ หรือไม่ และเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ ส่วนคำพยากรณ์ในปัจจุบันก็จำเป็นต้องตรวจสอบกับพระคัมภีร์

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 25:11-20

11ถ้อยคำที่พูดถูกกาลเทศะ
 เหมือนผลแอปเปิ้ลทองคำล้อมด้วยเงิน
12คำตักเตือนของคนมีปัญญาแก่หูที่คอยฟัง
 ก็เหมือนห่วงทองคำและเครื่องประดับทองบริสุทธิ์
13หิมะให้ความเย็นในฤดูเกี่ยวอย่างไร
 ผู้สื่อสารที่ซื่อสัตย์ต่อผู้ที่ใช้เขา ย่อมทำให้จิตวิญญาณของนายชุ่มชื่น   อย่างนั้น
14คนที่อวดว่าจะให้ของกำนัลแต่ไม่ได้ให้
 ก็เหมือนเมฆและลมที่ไม่มีฝน
15ความอดกลั้นอาจชักนำผู้ครอบครองได้
 และลิ้นอ่อนหวานอาจโน้มน้าวใจให้อ่อนลงได้
16ถ้าเจ้าพบน้ำผึ้ง จงกินแต่พอดี
 เกรงว่าเจ้าจะอิ่มและอาเจียนออกมา
17อย่าไปเยี่ยมเพื่อนบ้านของเจ้าบ่อยๆ
 เกรงว่าเขาจะเอือมระอาเจ้า และเกลียดชังเจ้า
18ผู้ใดเป็นพยานเท็จกล่าวหาเพื่อนบ้านของตน
 ก็เหมือนกระบองศึก หรือดาบ หรือลูกธนูคมกริบ
19การวางใจคนไม่ซื่อในวันยากลำบาก
ก็เหมือนฟันที่ผุหรือเท้าที่ซวนเซ 20`คนที่ร้องเพลงให้คนหนักใจฟัง
 ก็เหมือนคนถอดเสื้อผ้าออกในวันอากาศหนาว
 และเหมือนเอาน้ำส้มสายชูมาราดบนแผล

อรรถาธิบาย

ใช้ถ้อยคำของคุณให้เกิดผลดี

1. ถ้อยคำที่ดี
ถ้อยคำที่เราพูดนั้นมีความสำคัญมาก บางครั้งก็มีผลดีมาก ใครก็ตามที่ใช้ถ้อยคำที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสมย่อมเป็นอะไรที่ที่สวยงาม: ‘คำที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสมก็เหมือนดั่งเครื่องประดับที่สั่งทำพิเศษ’ (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

บางสิ่งก็ไม่ง่ายที่จะได้ยินแต่ก็มีค่ามาก ‘คำตักเตือนของคนมีปัญญาแก่หูที่คอยฟัง’ (ข้อ 12ข) การรับคำวิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นเรื่องยากเสมอ แต่อย่างที่ผู้เขียนสุภาษิตได้กล่าวไว้ว่า ‘การตำหนิในเวลาที่เหมาะสมของสหายที่มีปัญญาก็เหมือนแหวนทองคำที่สวมนิ้วของคุณ’ (ข้อ 12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เพื่อนที่รักเรามากพอจนสามารถท้าทายเราได้นั้นมีค่ามาก

ในทำนองเดียวกัน เพื่อนหรือผู้ส่งสารที่ไว้ใจได้ซึ่งรักษาคำพูดของตน ‘ก็เหมือนเครื่องดื่มเย็น ๆ ในความร้อนระอุ ช่างสดชื่น!’ (ข้อ 13 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ลิ้นนั้นมีพลังมาก: ‘ความอดกลั้นอาจชักนำผู้ครอบครองได้และลิ้นอ่อนหวานอาจโน้มน้าวใจให้อ่อนลงได้’ (ข้อ 15) หรือตามที่ฉบับ The Message กล่าวไว้ ‘คำพูดที่อ่อนโยนทำลายการป้องกันที่เข้มงวด’

2. ถ้อยคำที่ไม่ดี
มีการใช้ถ้อยคำบางคำที่ผู้เขียนสุภาษิตเตือนเราไว้ คำสัญญาลม ๆ แล้ง ๆ นำไปสู่ความผิดหวัง: ‘คนที่อวดว่าจะให้ของกำนัลแต่ไม่ได้ให้ก็เหมือนเมฆและลมที่ไม่มีฝน’ (ข้อ 14)

โดยรวมแล้วเราไม่ควรใช้เวลาในการพูดคุยกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป: ‘เมื่อคุณพบเพื่อนและปรากฏตัวตลอดเวลา ในไม่ช้าเขาก็จะเบื่อหน่าย’ (ข้อ 17, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เราต้องการความสมดุลในความสัมพันธ์ของเรา จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำอย่างอย่างชาญฉลาดด้วยเช่นกัน

การใช้ถ้อยคำในทางที่ผิดอีกประการหนึ่งคือการ ‘เป็นพยานเท็จ’ (ข้อ 18) คือพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง อาจจะเป็นในชั้นศาลหรือในการสนทนาของเราหรือทางออนไลน์: ‘ใครก็ตามที่กล่าวคำโกหกต่อเพื่อนบ้านในศาลหรือบนท้องถนนก็เป็นเหมือนปืนใหญ่ที่หลวม’ (ข้อ 18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) การอ่านหรือได้ยินสิ่งที่ไม่เป็นความจริงนั้นเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมาก

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับถ้อยคำอันทรงพลังที่นำมาซึ่งพระพร วันนี้ขอให้ข้าพระองค์ระวังริมฝีปากและระวังลิ้น เพื่อข้าพระองค์จะพูดแต่ถ้อยคำที่ดี
พันธสัญญาใหม่

1 ทิโมธี 4:1-16

พยากรณ์เรื่องคนจะละทิ้งความเชื่อ

 1พระวิญญาณตรัสอย่างชัดแจ้งว่า ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณทั้งหลายที่ล่อลวง และคำสอนของพวกผี 2ซึ่งมาจากความหน้าซื่อใจคดของพวกที่ชอบโกหก คือคนทั้งหลายที่มีมโนธรรมตายด้าน 3พวกเขาห้ามการแต่งงาน ห้ามรับประทานอาหารบางชนิด ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ให้พวกที่เชื่อและรู้จักความจริงรับประทานได้ด้วยใจขอบพระคุณ 4เพราะว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างไว้นั้นดี ไม่มีอะไรต้องห้าม ถ้ารับประทานด้วยความขอบพระคุณ 5เพราะว่าสิ่งนั้นได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยพระวจนะของพระเจ้าและคำอธิษฐาน

ผู้รับใช้ที่ดีของพระเยซูคริสต์

 6ถ้าท่านให้คำแนะนำเหล่านี้แก่พี่น้อง ท่านก็จะเป็นผู้ปรนนิบัติที่ดีของพระเยซูคริสต์ เจริญเติบโตด้วยถ้อยคำแห่งความเชื่อ และหลักคำสอนอันดีตามที่ท่านประพฤติตามแล้วนั้น 7อย่าเกี่ยวข้องกับนิยายของพวกไม่นับถือพระเจ้า และเรื่องเล่าที่ไร้สาระ แต่จงฝึกตนในทางพระเจ้า 8เพราะถ้าการฝึกทางกายมีประโยชน์อยู่บ้าง ทางพระเจ้าก็มีประโยชน์ทุกด้าน เพราะมีพระสัญญาสำหรับชีวิตปัจจุบันและอนาคต 9คำกล่าวนี้สัตย์จริง และสมควรแก่การรับไว้อย่างยิ่ง 10การที่เราตรากตรำทำงานและทนสู้ ก็เพราะเรามีความหวังในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของทุกคน โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์ 11จงสั่งและสอนสิ่งเหล่านี้ 12อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ ทั้งในด้านวาจาและการประพฤติ ทั้งในด้านความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์ 13จงอุทิศเวลาให้กับการอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม ให้กับการเทศนาและสั่งสอนจนกว่าข้าพเจ้าจะมา 14อย่าละเลยของประทานที่มีอยู่ในตัวท่าน ซึ่งประทานแก่ท่านตามคำเผยพระวจนะ เมื่อคณะผู้ปกครองวางมือบนตัวท่าน 15จงปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้และทุ่มเทตัวเองให้กับหน้าที่ดังกล่าว เพื่อให้ทุกคนเห็นความก้าวหน้าของท่าน 16จงเอาใจใส่ทั้งตัวท่านและคำสอนของท่าน จงประพฤติสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ เพราะเมื่อทำอย่างนี้แล้ว ท่านจะสามารถช่วยทั้งตัวท่าน และทุกคนที่ฟังท่านให้รอดได้

อรรถาธิบาย

อุทิศตนเพื่อพระวจนะของพระเจ้า

เป็นเรื่องน่าเศร้าและน่าผิดหวังเมื่อผู้ที่ประกาศตัวว่าเป็นคริสเตียนนั้นหลงทางไปจากความเชื่อของพวกเขา เปาโลเขียนว่า บางคนเลิกเชื่อและไล่ตาม ‘ภาพลวงตาที่นำเสนอโดยนักโกหกมืออาชีพ’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

จงป้องกันตัวเองจากการหลอกลวงด้วยการศึกษาความจริง ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดเผยในพระวจนะของพระเจ้า

เปาโลเตือนให้ต่อต้านคำสอนเทียมเท็จที่กล่าวว่า ‘ห้ามแต่งงาน’ หรือ ‘ห้ามรับประทานอาหารบางชนิด’ (ข้อ 3) เขาเขียนว่า ‘พระวิญญาณ ตรัส อย่างชัดเจนว่า...’ (ข้อ 1) และ ‘ทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นนั้นดี และจงน้อมรับด้วยการขอบพระคุณ ไม่มีอะไรต้องห้ามและโยนออกไป พระวจนะของพระเจ้าและคำอธิษฐานของเราทำให้ทุกสิ่งในการทรงสร้างนั้นบริสุทธิ์’ (ข้อ 4–5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เปาโลขอให้ทิโมธีส่งต่อ ‘คำสอนที่ดี’ ที่เขาได้รับ (ข้อ 6) ตัวอย่างของคำสอนที่ดีคือ ‘คำพูดที่น่าเชื่อถือ’ (ข้อ 9) พระเจ้า ‘ผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของทุกคน โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์’ (ข้อ 10)

ทิโมธีถูกเรียกให้ ‘นำถ้อยคำออกไปและสอนสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด’ (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาจะต้องเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อใน การพูด (เช่นเดียวกับชีวิต ความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์) เปาโลกระตุ้นให้เขาอุทิศตนให้กับการอ่านพระคัมภีร์ การเทศนา และการสอนแก่สาธารณชน (ข้อ 13) สิ่งนี้จะต้องมีความสำคัญสูงสำหรับผู้นำคริสเตียนเสมอ (ดู 5:17)

ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึก ‘ตนในทางพระเจ้า’ (4:7) เป็นการดีที่จะออกกำลังกายและรักษาร่างกายให้แข็งแรง: ‘การฝึกทางกายมีประโยชน์อยู่บ้าง’ (ข้อ 8ก) แต่การฝึกใน ‘ทางพระเจ้า’ มีความสำคัญมากกว่าการฝึกทางกายภาพอย่างมาก ‘การฝึกฝนในทางพระเจ้าทุก ๆ วัน จะไม่มีความอ่อนแอทางฝ่ายวิญญาณ... ทำให้คุณแข็งแรงทั้งวันนี้และตลอดไป’ (ข้อ 8ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ในชีวิตคริสเตียนอายุของคุณไม่ได้กำหนดวุฒิภาวะของคุณ เปาโลเขียนว่า ‘อย่าให้ใครทำให้คุณผิดหวังเพราะคุณยังเด็ก’ (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ไม่ว่าคุณอายุเท่าไหร่ คุณสามารถใช้ชีวิตให้เป็นแบบอย่างได้ นอกจากนี้อายุก็ไม่ใช่ข้อจำกัดต่อการสอนพระวจนะของพระเจ้า

เปาโลกระตุ้นให้ทิโมธีดูแล ชีวิต และหลักคำสอน ของเขาเองอย่างใกล้ชิด (ข้อ 16) จงเฝ้าระวังชีวิต และริมฝีปากของคุณ ‘เอาใจใส่ทั้งลักษณะชีวิตและการสอนของคุณ’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เขายังกล่าวถึงของประทานที่มอบให้ทิโมธีผ่านคำเผยพระวจนะเมื่อกลุ่มผู้อาวุโสวางมือบนเขา นี่คือตัวอย่างในพันธสัญญาใหม่ของ ‘พระวจนะ’ จากพระเจ้าที่มอบผ่านของประทานแห่งการเผยพระวจนะ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ฝึกตนในทางพระเจ้า (ข้อ 7ข) อุทิศตนให้กับพระคัมภีร์และเป็นแบบอย่างในทุกด้านของชีวิตของข้าพระองค์ (ข้อ 12–13)
พันธสัญญาเดิม

เยเรมีย์ 40:7-42:22

 7เมื่อบรรดาหัวหน้ากองทหารและคนของพวกเขาได้ยินว่า กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้แต่งตั้งเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัมให้เป็นผู้ว่าราชการในแผ่นดินนั้น และได้มอบชายหญิงกับเด็กผู้ที่เป็นคนจนที่สุดในแผ่นดิน ซึ่งไม่ได้ถูกกวาดไปเป็นเชลยยังบาบิโลนไว้ให้ท่านนั้น 8เขาทั้งหลายก็ไปหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ มีอิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ โยฮานันบุตรคาเรอาห์ เสไรยาห์บุตรทันหุเมท บรรดาบุตรของเอฟายชาวเนโทฟาห์ เยซันยาห์บุตรของชาวมาอาคาห์ ทั้งตัวพวกเขาและคนของเขา 9เกดาลิยาห์บุตรอาหิคัมบุตรชาฟาน ก็ได้สาบานแก่เขาและคนของเขาว่า “อย่ากลัวที่จะปรนนิบัติคนเคลเดีย จงอาศัยอยู่ในแผ่นดินและปรนนิบัติกษัตริย์แห่งบาบิโลน แล้วจะเป็นการดีต่อพวกท่าน 10ส่วนตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ที่มิสปาห์ เพื่อจะเป็นผู้แทนพวกท่านคอยรับรองคนเคลเดีย ผู้ซึ่งจะมาหาเรา แต่ส่วนท่านจงเก็บเหล้าองุ่น ผลไม้ฤดูร้อน และน้ำมัน ไว้ในภาชนะ และจงอยู่ในเมืองต่างๆ ของท่านซึ่งท่านยึดได้นั้น” 11ในทำนองเดียวกัน เมื่อพวกคนยูดาห์ซึ่งอยู่ที่โมอับและท่ามกลางคนอัมโมนและในเอโดมและในแผ่นดินอื่นๆ ได้ยินว่ากษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ทิ้งคนส่วนหนึ่งให้เหลือไว้ในยูดาห์และได้แต่งตั้งเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัม ผู้เป็นบุตรชาฟานให้เป็นผู้ว่าราชการเหนือเขาทั้งหลาย 12แล้วพวกยิวทั้งปวงก็ได้กลับมาจากทุกที่ซึ่งเขาถูกขับไล่ให้ไปอยู่นั้น และมายังแผ่นดินยูดาห์มาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ และเขาทั้งหลายได้เก็บเหล้าองุ่นและผลไม้ฤดูร้อนได้เป็นอันมาก
 13โยฮานันบุตรของคาเรอาห์และบรรดาหัวหน้ากองทหารที่อยู่ในสนามรบได้มาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ 14และกล่าวแก่ท่านว่า “ท่านทราบหรือไม่ว่าบาอาลิสกษัตริย์ของคนอัมโมนได้ส่งให้อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์มาเอาชีวิตของท่าน?” ส่วนเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัมไม่เชื่อพวกเขา 15แล้วโยฮานันบุตรคาเรอาห์ได้พูดกับเกดาลิยาห์เป็นการลับที่มิสปาห์ว่า “จงให้ข้าพเจ้าไปฆ่าอิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์เสีย และจะไม่มีใครทราบเรื่อง ทำไมจะให้เขาเอาชีวิตของท่าน แล้วพวกคนยูดาห์ซึ่งมารวมกันอยู่กับท่านจะกระจัดกระจายกันไป และคนยูดาห์ที่เหลืออยู่นี้ก็จะพินาศ?” 16แต่เกดาลิยาห์บุตรอาหิคัมพูดกับโยฮานันบุตรคาเรอาห์ว่า “ท่านอย่าทำสิ่งนี้เลย เพราะที่ท่านพูดถึงอิชมาเอลนั้นเป็นความเท็จ”

เยเรมีย์ 41

การจลาจลต่อต้านเกดาลิยาห์

 1ในเดือนที่ 7 อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ ผู้เป็นบุตรเอลีชามาเชื้อพระวงศ์ เป็นข้าราชการผู้ใหญ่คนหนึ่งของกษัตริย์ ได้มาหาเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัมพร้อมกับคนสิบคนที่มิสปาห์ และที่นั่นเขารับประทานอาหารด้วยกันที่มิสปาห์ 2อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์กับคนทั้งสิบที่อยู่กับเขา ก็ได้ลุกขึ้นฆ่าเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัมบุตรชาฟาน ผู้ที่กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้แต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการที่แผ่นดินนั้นเสียด้วยดาบจนตาย 3อิชมาเอลได้ฆ่าพวกคนยูดาห์ทั้งหมดที่อยู่กับเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ และทหารเคลเดียผู้เผอิญอยู่ที่นั่นด้วย
 4หลังจากวันที่เกดาลิยาห์ถูกฆ่าและยังไม่มีใครรู้เรื่อง 5มีชาย 80 คนมาจากเมืองเชเคม เมืองชิโลห์ และเมืองสะมาเรีย พวกเขาโกนหนวดเคราและสวมเสื้อผ้าขาด และตามตัวมีรอยเชือด นำเครื่องธัญบูชาและกำยานมาถวายที่พระวิหารของพระยาห์เวห์ 6อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์มาจากมิสปาห์พบเขาเหล่านั้น อิชมาเอลเดินไปร้องไห้ไป เมื่อเขาพบคนเหล่านั้นจึงพูดกับพวกเขาว่า “เชิญเข้ามาหาเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัมเถิด” 7เมื่อพวกเขาเข้ามาถึงกลางเมือง อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์และคนที่อยู่กับท่านก็ฆ่าพวกเขา และโยนศพลงไปในที่ขังน้ำ 8แต่ในพวกนั้นมีอยู่ 10 คนด้วยกันที่พูดกับอิชมาเอลว่า “อย่าฆ่าเราเลย เพราะเรามีข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ น้ำมัน และน้ำผึ้งซ่อนไว้ในทุ่งนา” ดังนั้นเขาจึงละเว้นไม่ฆ่าพวกเขาพร้อมกับพวกพี่น้องของเขา
 9ที่ขังน้ำซึ่งอิชมาเอลโยนศพของผู้ที่เขาฆ่าตายลงไปนั้นเป็นที่ใหญ่ ซึ่งกษัตริย์อาสาสร้างไว้เพื่อป้องกันบาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอล อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ก็ใส่คนที่ถูกฆ่าไว้จนเต็ม 10แล้วอิชมาเอลก็จับคนทั้งหมดที่เหลืออยู่ในมิสปาห์ไปเป็นเชลย คือพวกราชธิดาและประชาชนทั้งหมดที่เหลืออยู่ที่มิสปาห์ ผู้ที่เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้มอบหมายให้แก่เกดาลิยาห์บุตรอาหิคัม อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ได้จับพวกเขาเป็นเชลย และออกเดินข้ามฟากไปหาคนอัมโมน
 11แต่เมื่อโยฮานันบุตรคาเรอาห์และบรรดาหัวหน้ากองทหาร ซึ่งอยู่กับเขาทราบเรื่องความชั่วร้ายซึ่งอิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ได้ทำไปนั้น 12เขาจึงจัดคนทั้งหมดของเขาไปต่อสู้กับอิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ เขาทั้งหลายปะทะท่านที่สระใหญ่ซึ่งอยู่ในเมืองกิเบโอน 13และเมื่อประชาชนผู้ซึ่งอยู่กับอิชมาเอลเห็นโยฮานันบุตรคาเรอาห์และบรรดาหัวหน้ากองทหารที่อยู่กับเขา เขาทั้งหลายก็ยินดี 14ประชาชนทั้งหมดซึ่งอิชมาเอลจับเป็นเชลยมาจากมิสปาห์จึงหันหลังและกลับไป เขาไปหาโยฮานันบุตรคาเรอาห์ 15แต่อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์พร้อมกับชาย 8 คนได้หนีรอดจากโยฮานันไปหาคนอัมโมน 16แล้วโยฮานันบุตรคาเรอาห์และบรรดาหัวหน้าของกองทหารซึ่งอยู่กับท่านได้นำประชาชนที่เหลืออยู่ทั้งหมด ซึ่งอิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ได้จับเป็นเชลยจากมิสปาห์หลังจากที่ได้ฆ่าเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัมแล้วนั้น คือทหาร ผู้หญิง เด็ก และข้าราชสำนัก กลับมาจากกิเบโอน 17และพวกเขาก็ไปอยู่ที่เกรูธคิมฮัมใกล้เบธเลเฮม ตั้งใจจะไปยังอียิปต์ 18ไปจากคนเคลเดียเพราะกลัว ด้วยว่าอิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ได้ฆ่าเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัม ผู้ซึ่งกษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ทรงตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการเหนือแผ่นดินนั้นเสีย

เยเรมีย์ 42

เยเรมีย์แนะนำผู้รอดชีวิตไม่ให้อพยพ

 1ส่วนพวกหัวหน้ากองทหารทั้งหมดและโยฮานันบุตรคาเรอาห์ และเยซันยาห์ และประชาชนทั้งปวง จากผู้น้อยที่สุดถึงผู้ใหญ่ที่สุดได้มาหา 2และพูดกับเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะว่า “โปรดฟังคำร้องของพวกเรา และอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเพื่อพวกเราที่เหลืออยู่ทั้งหมดนี้ เพราะเราเหลืออยู่น้อยคนจากเดิมที่มีคนมากมาย ตามที่ท่านเห็นอยู่กับตาแล้ว 3ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านสำแดงหนทางแก่เรา ว่าเราควรจะไปทางไหน และขอสำแดงสิ่งที่เราควรจะทำ” 4เยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะกล่าวแก่พวกเขาว่า “ข้าพเจ้าได้ยินแล้ว นี่แน่ะ ข้าพเจ้าจะอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ตามคำขอร้องของพวกท่าน และพระยาห์เวห์ทรงตอบท่านประการใด ข้าพเจ้าจะบอกแก่ท่าน ข้าพเจ้าจะไม่ปิดบังสิ่งใดไว้จากท่านเลย” 5แล้วพวกเขาพูดกับเยเรมีย์ว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงเป็นพยานที่สัตย์จริงและสัตย์ซื่อต่อสู้เรา ถ้าเราไม่ได้ทำตามพระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านผู้ทรงใช้ท่าน 6ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราจะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา ผู้ซึ่งเราส่งท่านให้ไปหานั้น เพื่อจะเป็นการดีต่อเรา เมื่อเราเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา”
 7ต่อมาเมื่อครบ 10 วันแล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังเยเรมีย์ 8แล้วท่านจึงให้ตามตัวโยฮานันบุตรคาเรอาห์ และพวกหัวหน้ากองทหารทุกคนผู้อยู่กับท่าน และประชาชนทั้งหมดจากผู้น้อยที่สุดถึงผู้ใหญ่ที่สุด 9และบอกเขาว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ใช้ให้ข้าพเจ้านำเอาคำอ้อนวอนของท่านไปเสนอพระองค์นั้น ได้ตรัสดังนี้ว่า 10‘ถ้าพวกเจ้าจะอยู่ต่อไปในแผ่นดินนี้ เราจะสร้างเจ้าขึ้นและไม่ทำลายลง เราจะปลูกเจ้าไว้ และไม่ถอนเจ้าเสียเพราะเราได้กลับใจจากเหตุร้ายซึ่งเราได้ทำแก่เจ้าแล้ว 11อย่ากลัวกษัตริย์บาบิโลนผู้ซึ่งเจ้ากลัวอยู่นั้น’ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราอยู่กับเจ้าเพื่อช่วยเจ้าและช่วยกู้เจ้าให้พ้นจากมือของเขา 12เราจะให้ความกรุณาแก่เจ้า เพื่อเขาจะได้กรุณาเจ้าและยอมให้เจ้าอยู่ในแผ่นดินของเจ้าเอง’ 13แต่ถ้าพวกเจ้าพูดว่า ‘เราจะไม่อยู่ในแผ่นดินนี้’ โดยไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า 14และกล่าวว่า ‘ไม่เอา เราจะเข้าไปในแผ่นดินอียิปต์ ที่ซึ่งเราจะไม่เห็นสงคราม จะไม่ได้ยินเสียงเขาสัตว์ จะไม่หิวขนมปัง และเราจะอาศัยอยู่ที่นั่น’ 15คนยูดาห์ที่เหลืออยู่เอ๋ย ขอฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์จอมทัพพระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘ถ้าเจ้ามุ่งหน้าจะเข้าอียิปต์และไปอาศัยที่นั่น 16แล้วดาบซึ่งเจ้ากลัวอยู่นั้นจะตามทันเจ้าที่นั่นในแผ่นดินอียิปต์ และการกันดารอาหารซึ่งเจ้ากลัวอยู่นั้นจะติดตามเจ้าไปถึงอียิปต์ และเจ้าจะตายที่นั่น 17ทุกคนซึ่งมุ่งหน้าไปยังอียิปต์ เพื่อจะอยู่ที่นั่นจะตายเสียด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และโรคระบาด เขาจะไม่มีคนเหลืออยู่หรือรอดตายจากเหตุร้ายซึ่งเราจะนำมาเหนือเขา’
 18“เพราะพระยาห์เวห์จอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้เทความกริ้วและความโกรธของเราลงเหนือชาวเยรูซาเล็มอย่างไร เราจะเทความโกรธของเราเหนือพวกเจ้าหากเจ้าไปยังอียิปต์อย่างนั้น เจ้าจะเป็นคำสาปเป็นที่น่าหวาดหวั่น เป็นคำแช่งและเป็นคำตำหนิ เจ้าจะไม่ได้เห็นที่นี่อีก’ 19คนยูดาห์ที่ยังเหลืออยู่เอ๋ย พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับท่านแล้วว่า ‘อย่าไปอียิปต์’ จงรู้เป็นแน่ว่าในวันนี้ข้าพเจ้าได้ตักเตือนท่านว่า 20พวกท่านได้ทำผิดต่อชีวิตของท่านเอง เพราะท่านได้ใช้ข้าพเจ้าไปหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านว่า ‘ขออธิษฐานเพื่อเราต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา และพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราตรัสประการใด ขอบอกแก่เรา และเราจะทำตาม’ 21และในวันนี้ข้าพเจ้าได้ประกาศพระวจนะนั้นแก่พวกท่านแล้ว แต่ท่านไม่เคยฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านในสิ่งใดๆ ซึ่งพระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาบอกท่าน 22เพราะฉะนั้น บัดนี้จงทราบเป็นแน่ว่า พวกท่านจะตายด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และด้วยโรคระบาดในสถานที่ซึ่งพวกท่านปรารถนาจะไปอาศัยอยู่”

อรรถาธิบาย

ตั้งใจฟัง ‘ถ้อยคำ’ ของผู้เผยพระวจนะอย่างระมัดระวัง

คุณเคยอยู่ในสถานการณ์ที่คุณตัดสินใจว่าจะทำบางอย่าง และมองหาพระวจนะของพระเจ้าที่จะมาสนับสนุนการตัดสินใจของคุณหรือไม่?

ผมเองก็เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นและมันไม่ดีเลย แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในพระวจนะตอนนี้ คนของพระเจ้าตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการลงไปอียิปต์และพวกเขาต้องการให้เยเรมีย์มอบถ้อยคำจากพระเจ้าให้พวกเขาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการทำนั้นถูกต้อง แต่ความจริงแล้วมันกำลังนำไปสู่ภัยพิบัติ

เยเรมีย์เป็นผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมซึ่งมีชื่อเสียงว่าสามารถได้ยิน ‘พระวจนะของพระเจ้า’ (42:1–7)

อิสราเอลได้มาถึงจุดหนึ่งที่ตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ เกดาลิยาห์ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการเหนือประชาชนที่เหลืออยู่ซึ่งไม่ได้ถูกกวาดต้อนเป็นเชลย (40:7) เขาถูกสังหาร (40:7 - 41:15) เนื่องจากแหล่งน้ำมีค่ามากในปาเลสไตน์ การทำให้ที่เก็บน้ำสกปรกจึงเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนไร้ความรับผิดชอบอย่างยิ่ง (41:9)

โยฮานันมีความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางการทหาร แต่ความคิดเดียวของเขาคือการหนีไปยังอียิปต์ เพราะนึกถึงสิ่งที่บาบิโลนจะต้องตอบโต้กลับมาอย่างแน่นอน ซึ่งนโยบายนี้ทำให้เขาจึงต้องปะทะกับเยเรมีย์

โยฮานันและนายทหารทั้งหมดมาหาเยเรมีย์และพูดกับเยเรมีย์ว่า ‘ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านสำแดงหนทางแก่เรา ว่าเราควรจะไปทางไหน และขอสำแดงสิ่งที่เราควรจะทำ’ (42:3)

คำตอบของเยเรมีย์คือ ‘ข้าพเจ้าได้ยินแล้ว นี่แน่ะ ข้าพเจ้าจะอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ตามคำขอร้องของพวกท่าน และพระยาห์เวห์ทรงตอบท่านประการใด ข้าพเจ้าจะบอกแก่ท่าน ข้าพเจ้าจะไม่ปิดบังสิ่งใดไว้จากท่านเลย’ (ข้อ 4)

พวกเขาสัญญาว่า ‘ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราจะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา’ (ข้อ 6)

เป็นที่น่าสังเกตว่าแม้แต่เยเรมีย์เองการชี้นำไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีทันใด แต่ ‘ต่อมาเมื่อครบ 10 วันแล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังเยเรมีย์’ (ข้อ 7)

เขาส่งต่อสิ่งนั้นอย่างซื่อสัตย์: ‘พระยาห์เวห์…ได้ตรัสดังนี้ว่า…’ (ข้อ 9) พระองค์ทรงสัญญาว่าพระพรจะมีท่ามกลางพวกเขา หากพวกเขายังอยู่ในแผ่นดินนี้ (ข้อ 10–12) และจะมีการพิพากษาหากพวกเขาไปยังอียิปต์ (ข้อ 13 เป็นต้นไป)

ปรากฎว่าพวกเขาได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะทำอะไรและเพียงแค่ต้องการให้พระเจ้ายืนยันเท่านั้น พวกเขาทำผิดที่ไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า (ข้อ 21) การทูลขอพระเจ้าก่อนที่เราจะตัดสินใจนั้นจึงสำคัญมาก! ไม่ใช่ถามหลังจากที่ตัดสินใจไปแล้ว

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่พระองค์ตรัสกับข้าพระองค์ผ่านทางพระคัมภีร์และผู้เผยพระวจนะ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ตั้งใจฟังถ้อยคำของพระองค์และเชื่อฟังพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สุภาษิต 25:17

‘อย่าไปเยี่ยมเพื่อนบ้านของเจ้าบ่อย ๆ เกรงว่าเขาจะเอือมระอาเจ้า และเกลียดชังเจ้า’

โควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงอะไรหลาย ๆ อย่าง ฉันเคยคิดว่าบ้านเรามีคนมากเกินไป แต่ตอนนี้ฉันคิดถึงพวกเขา ฉันจะไม่ถือเอาเสรีภาพเพื่อการเข้าสังคมอีกต่อไป

ข้อพระคำประจำวัน

1 ทิโมธี 4:7–8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล

‘การออกกำลังกายทุกวันในพระเจ้า - จะไม่มีความอ่อนแอทางฝ่ายวิญญาณ! การออกกำลังกายในโรงยิมนั้นมีประโยชน์และควรทำ แต่ชีวิตที่มีวินัยในพระเจ้านั้นสำคัญกว่ามาก มันทำให้คุณแข็งแรงทั้งในวันนี้และตลอดไป’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม