ชีวิตของผู้นำ
เกริ่นนำ
ความเป็นผู้นำที่ดีมีความสำคัญเสมอในทุกที่และในทุกด้านของชีวิต แต่ความเป็นผู้นำที่ดีนั้น คือ อะไร?
‘ภาวะผู้นำ คือการผสมผสานระหว่างกลยุทธ์และลักษณะชีวิต แต่ถ้าจะขาดสิ่งหนึ่งไป สิ่งนั้นควรเป็นกลยุทธ์’ นี่คือคำพูดของนายพล นอร์มัน ชวาร์สคอฟ ผู้บัญชาการกองกำลังในสงครามอ่าวปี 1991 ลักษณะชีวิตคือสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริง จะเป็นสิ่งเดียวที่สามารถนับได้ในตอนจบ
เราสร้างความแตกต่างในคริสตจักรของเราระหว่างผู้ที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำกับผู้ที่ ‘กำลังเข้ามา’ เรายินดีต้อนรับทุกคนโดยไม่คำนึงถึงไลฟ์สไตล์ของพวกเขา เรามีประตูหน้าบ้านขนาดใหญ่ ทุกคนต่างยินดีต้อนรับ คริสตจักรไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงชีวิตคนที่สมบูรณ์แบบ แต่ในความหมายเดิมหมายถึงที่นี่เป็นดั่งโรงพยาบาล อันเป็นสถานที่แห่งการต้อนรับและการฟื้นฟู เป็นที่ที่ผู้มีบาดแผล เจ็บปวด แตกสลาย และบาดเจ็บได้รับการรักษา เป็นชุมชนของคนบาป
ในทางกลับกัน เราจะไม่วางคนให้อยู่ในตำแหน่งผู้นำหากวิถีชีวิตของพวกเขาตรงกันข้ามกับพันธสัญญาใหม่ ภาวะผู้นำไม่ได้เป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบในการใช้ชีวิต เป็นแบบอย่าง ให้ผู้อื่น ผู้นำเป็นแบบอย่างของชุมชน แน่นอนว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ คุณไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบเพื่อจะเป็นแบบอย่าง แต่อย่างไรก็ตามเราควรพยายามให้แน่ใจว่าวิถีชีวิตและลักษณะความเป็นผู้นำของเรานั้นสอดคล้องกับพันธสัญญาใหม่
สดุดี 119:57-64
ח (เฆท)
57พระยาห์เวห์ทรงเป็นมรดกส่วนของข้าพระองค์
ข้าพระองค์สัญญาจะปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์
58ข้าพระองค์วิงวอนขอความโปรดปรานของพระองค์ด้วยสุดใจ
ขอทรงพระกรุณาแก่ข้าพระองค์ตามพระสัญญาของพระองค์
59เมื่อข้าพระองค์คิดถึงทางของข้าพระองค์
ข้าพระองค์หันเท้าไปยังพระโอวาทของพระองค์
60ข้าพระองค์รีบโดยไม่ล่าช้า
ที่จะปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์
61แม้บ่วงของคนอธรรมดักข้าพระองค์
ข้าพระองค์ก็ไม่ลืมธรรมบัญญัติของพระองค์
62พอเที่ยงคืน ข้าพระองค์ลุกขึ้นขอบพระคุณพระองค์
เนื่องด้วยกฎหมายอันชอบธรรมของพระองค์
63ข้าพระองค์เป็นเพื่อนกับทุกคนที่ยำเกรงพระองค์
กับคนที่ปฏิบัติตามข้อบังคับของพระองค์
64ข้าแต่พระยาห์เวห์ แผ่นดินโลกเต็มด้วยความรักมั่นคงของพระองค์
ขอทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์
อรรถาธิบาย
ผู้นำนมัสการ
‘การทดสอบที่แท้จริงในยุคนี้’ ตามที่ จอห์น วิมเบอร์ กล่าวไว้ ‘จะไม่ใช่งานเขียนและการผลิตเพลงนมัสการใหม่และยิ่งใหญ่อีกต่อไป การทดสอบที่แท้จริงจะเป็นความชอบธรรมและคุณลักษณะ ของผู้ที่ส่งมอบมัน’
ผู้ประพันธ์เพลงสดุดีเป็นผู้นำการนมัสการที่ดำเนินในความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า: ‘เพราะว่าพระองค์ทรงพอใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะทำทุกอย่างที่พระองค์ตรัส’ (ข้อ 57, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ผู้นำนมัสการที่แสวงหาพระพักตร์พระเจ้าด้วยสุดใจ (ข้อ 58) อยู่ในฐานะที่จะเป็นผู้นำชุมนุมเพื่อสรรเสริญพระเจ้า ผู้ประพันธ์เพลงสดุดีนั้นระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะรักษาชีวิตในวิถีทางของพระเจ้า ‘เมื่อข้าพระองค์คิดถึงทางของข้าพระองค์ ข้าพระองค์หันเท้าไปยังพระโอวาทของพระองค์’ (ข้อ 59)
แม้ในภาวะที่ต้องเผชิญความยากลำบากก็จงอย่าลืมกฎของพระเจ้า: ‘แม้บ่วงของคนอธรรมดักข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ไม่ลืมธรรมบัญญัติของพระองค์’ (ข้อ 61)
บางครั้งแรงบันดาลใจก็มาตอนกลางดึก: ‘ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อขอบพระคุณ การตัดสินใจของพระองค์นั้นถูกต้อง เป็นความจริง – ข้าพเจ้ารอจนถึงเช้าไม่ไหวแล้ว!’ (ข้อ 62, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนการนมัสการ: ‘ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนและเป็นมิตรกับทุกคนที่เกรงกลัวพระเจ้า คนเหล่านั้นที่มุ่งมั่นในการดำเนินชีวิตตามกฎของพระองค์’ (ข้อ 63, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
นี่คือผู้นำการนมัสการที่ซาบซึ้งในความรักของพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง: ‘ข้าแต่พระเจ้า แผ่นดินโลกเต็มด้วยความรักมั่นคงของพระองค์ ขอทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์’ (ข้อ 64) ความรักที่พระเจ้ามีต่อคุณควรเป็นหัวใจของการนมัสการของคุณ
คำอธิษฐาน
1 ทิโมธี 3:1-16
คุณลักษณะของผู้ปกครองดูแล
1คำกล่าวนี้สัตย์จริง คือว่าถ้าใครปรารถนาหน้าที่ผู้ปกครองดูแลคริสตจักร คนนั้นก็ปรารถนากิจการงานที่ประเสริฐ 2ผู้ปกครองดูแลนั้นจะต้องเป็นคนที่ไม่มีที่ติ เป็นสามีของหญิงคนเดียว รู้จักประมาณตน มีสติสัมปชัญญะ เป็นคนน่านับถือ มีอัธยาศัยต้อนรับแขก เหมาะที่จะเป็นอาจารย์ 3ไม่ดื่มสุรามึนเมา ไม่ชอบความรุนแรง แต่ผ่อนหนักผ่อนเบา ไม่ชอบการวิวาท ไม่เป็นคนเห็นแก่เงิน 4ปกครองครอบครัวของตนได้ดี อบรมบุตร ธิดา ให้มีความนอบน้อมด้วยความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง 5(เพราะถ้าชายคนไหนไม่รู้จักปกครองครอบครัวของตน คนนั้นจะดูแลคริสตจักรของพระเจ้าได้อย่างไร?) 6เขาจะต้องไม่ใช่คนที่เพิ่งกลับใจใหม่ เกรงว่าเขาจะยโส และถูกลงโทษเช่นเดียวกับมาร 7นอกจากนั้นเขาจะต้องมีชื่อเสียงดีในหมู่คนภายนอก เพื่อเขาจะไม่ถูกติเตียนและไม่ติดกับดักของมาร
คุณลักษณะของมัคนายก
8พวกมัคนายกก็เหมือนกัน จะต้องเป็นคนน่านับถือ ไม่เป็นคนพูดจากลับกลอก ไม่ดื่มสุรามึนเมา ไม่เป็นคนโลภเห็นแก่ได้ 9และจะต้องเป็นคนที่ยึดมั่นในข้อล้ำลึกของความเชื่อ ด้วยมโนธรรมที่บริสุทธิ์ 10จงทดสอบพวกเขาเสียก่อน และเมื่อเห็นว่าไม่มีข้อตำหนิแล้ว จึงให้พวกเขาทำหน้าที่มัคนายก 11ส่วนพวกผู้หญิงก็เหมือนกัน ต้องเป็นคนน่านับถือ ไม่ใส่ร้ายคนอื่น รู้จักประมาณตน ซื่อสัตย์ในทุกๆ เรื่อง 12พวกมัคนายกนั้นจะต้องเป็นสามีของหญิงคนเดียว และสามารถปกครองบุตร ธิดา และครอบครัวของตนได้ดี 13เพราะว่าคนที่ทำหน้าที่มัคนายกได้ดีก็มีชื่อเสียงดี และมีความกล้าหาญในความเชื่อที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์
ความล้ำลึกแห่งความเชื่อของเรา
14ข้าพเจ้าหวังว่าจะมาหาท่านในไม่ช้า แต่การที่เขียนสิ่งเหล่านี้ถึงท่านก็เพื่อว่า 15ถ้าข้าพเจ้ามาช้า ท่านก็จะได้รู้ว่าควรประพฤติอย่างไรภายในครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งเป็นคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ เป็นหลักและเป็นรากฐานแห่งความจริง 16เราต้องยอมรับว่าความล้ำลึกแห่งความเชื่อของเรานั้นยิ่งใหญ่มาก คือว่า
พระองค์ทรงปรากฏเป็นมนุษย์
ทรงได้รับการพิสูจน์ว่าชอบธรรมโดยพระวิญญาณ
ทรงปรากฏต่อเหล่าทูตสวรรค์
ทรงได้รับการประกาศออกไปยังบรรดาประชาชาติ
ทรงได้รับการเชื่อวางใจจากคนมากมายในโลก
และทรงถูกรับขึ้นไปด้วยพระสิริ
อรรถาธิบาย
ผู้นำคริสตจักร
ในความหมายหนึ่งคริสเตียนทุกคนต่างก็เป็นผู้นำ หากความเป็นผู้นำเป็นเรื่องของการส่งอิทธิพล เราทุกคนต่างมีอิทธิพลในที่ทำงาน ที่บ้าน และในชุมชน แต่พระธรรมตอนนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นผู้นำในคริสตจักรโดยเฉพาะ
คริสตจักรควรเป็นเหมือนบ้าน มันคือ ‘ครอบครัวของพระเจ้า’ (ข้อ 15) การนำคริสตจักรก็เหมือนการนำครอบครัวใหญ่ เปาโลถามว่าผู้ที่ไม่สามารถนำครอบครัวของตนเองได้ พวกเขาจะสามารถเป็นผู้นำคริสตจักรได้อย่างไร (ข้อ 5)
ผู้นำที่ดีควรบริหาร บ้านเรือน ของตนเองได้ (ข้อ 4,12) (คำในภาษากรีกใช้คำเดียวกันกับ ครอบครัวของพระเจ้า - คริสตจักร) พวกเขาควรจะสามารถชี้แนะและเลี้ยงดูครอบครัวของตนเองด้วยปัญญา ความรัก และความซื่อสัตย์
เป็นที่น่าสนใจว่าคุณสมบัติเกือบทั้งหมดที่จำเป็นในการเป็นผู้ดูแลนั้นเหมือนกับคุณสมบัติที่ได้รับการส่งเสริมในแง่ของความเป็นพระเจ้าสำหรับคริสเตียนทุกคน โรเบิร์ต เมอร์เรย์ เอ็มไชน์ รัฐมนตรีชาวสก็อตเคยกล่าวไว้ว่า ‘ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประชาชนของผมคือความบริสุทธิ์ส่วนตัวของผมเอง’
รายการคุณลักษณะมีมากมาย (ข้อ 2) ผู้นำควร ‘เป็นคนที่ไม่มีที่ติ’ พวกเขาควรดำเนินชีวิตในลักษณะที่ไม่มีใครสามารถหาเหตุมากล่าวหาพวกเขาว่ากระทำความผิดได้
ถ้าพวกเขาแต่งงานแล้ว พวกเขาต้องซื่อสัตย์ต่อคู่แต่งงานของพวกเขา ความสัตย์ซื่อ ความจงรักภักดี ความน่าไว้วางใจเป็นกุญแจสำคัญในการเป็นผู้นำ และมันเริ่มต้นด้วยความซื่อสัตย์ในการแต่งงาน
พวกเขาต้อง ‘มีเหตุผล’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) การเป็นคริสเตียนไม่ได้หมายถึงการละทิ้งสามัญสำนึก แต่ค่อนข้างตรงกันข้าม การตัดสินใจในแต่ละวันส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับผู้นำที่เชื่อในพระเจ้าและเปี่ยมด้วยพระวิญญาณร่วมกันกับการอธิษฐานที่เกิดขึ้นโดยสามัญสำนึก
คำว่า ‘ผู้ดูแล’ บางครั้งแปลว่า ‘ผู้ปกครอง’ ไม่ผิดที่จะปรารถนาที่จะเป็นผู้ปกครอง ‘คำกล่าวนี้สัตย์จริง คือว่าถ้าใครปรารถนาหน้าที่ผู้ปกครองดูแลคริสตจักร คนนั้นก็ปรารถนากิจการงานที่ประเสริฐ’ (ข้อ 1)
ผมพบว่ามีความน่าสนใจที่ความแตกต่างอย่างหนึ่งระหว่างผู้ปกครองกับมัคนายกคือ ผู้ปกครอง ‘เขาจะต้องไม่ใช่คนที่เพิ่งกลับใจใหม่’ (ข้อ 6) สิ่งนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้กับการเป็นมัคนายก บางครั้งผู้คนก็วิพากษ์วิจารณ์หากมีการวางผู้เชื่อใหม่ไว้ในตำแหน่งผู้นำ - เช่นการนำกลุ่มเล็ก ๆ ในอัลฟ่า คำตอบที่ผมตอบเสมอคือ เราไม่ได้ขอให้พวกเขาเป็นผู้ปกครอง แต่เพื่อรับใช้ในกลุ่มย่อยของอัลฟ่าเท่านั้น!
เหตุผลที่เปาโลให้คำแนะนำว่าผู้ปกครองต้องไม่เป็นผู้ที่เพิ่งกลับใจใหม่ เพราะ ‘เกรงว่าเขาจะยโส และถูกลงโทษเช่นเดียวกับมาร’ (ข้อ 4–6) มารล้มลงด้วยความภาคภูมิใจ มีอันตรายสำหรับผู้นำคริสเตียนทุกคนที่จะตกอยู่ในความจองหองฝ่ายวิญญาณ
การทดสอบหามัคนายกคล้ายกับผู้ดูแลมาก มัคนายกหมายถึง ‘ผู้รับใช้’ อย่างแท้จริง เดิมทีพวกเขาเป็นคนจัดโต๊ะอาหาร (กิจการ 6:1–7) พระเยซูทรงจัดเตรียมแบบอย่างสำหรับการเป็นผู้นำที่เป็นผู้รับใช้ (มาระโก 10:35–45) อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้ว่า ‘มีเพียงชีวิตที่อยู่เพื่อรับใช้ผู้อื่นเท่านั้นที่คุ้มค่าที่จะมีชีวิตอยู่’ หากการบริการอยู่ภายใต้คุณ ความเป็นผู้นำก็อยู่เหนือคุณ
ผู้นำที่เป็นผู้รับใช้เหล่านี้ และคู่แต่งงานของพวกเขา (1 ทิโมธี 3:11) ต้องเป็นคนที่เข้มแข็งและได้รับการพิสูจน์แล้ว นี่คือเหตุผลว่าทำไมกระบวนการคัดเลือกผู้นำคริสตจักรที่แต่งงานแล้วจึงควรเกี่ยวข้องกับทั้งสองฝ่าย พวกเขาควรคู่ควรแก่การเคารพ จริงใจ ไม่เมาสุรา ซื่อสัตย์ เปี่ยมด้วยศรัทธา ไว้วางใจได้ และซื่อสัตย์ในการแต่งงาน (ข้อ 8–12)
เหนือสิ่งอื่นใด ผู้นำต้องเป็นคนที่มีอุปนิสัยในพระเจ้า อันที่จริงคุณลักษณะเพียงอย่างเดียวที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับลักษณะชีวิตของเราโดยตรงคือ ‘เหมาะที่จะเป็นอาจารย์’ (ข้อ 2) ผู้นำคริสตจักรต้องเป็นคริสเตียนที่มีบุคลิกลักษณะดีและสามารถสอนได้
มาร์ก ทเวน พูดเหน็บแนมว่า ‘การทำสิ่งที่ถูกต้องนั้นวิเศษมาก การสอนสิ่งที่ถูกต้องนั้นวิเศษยิ่งกว่า – และง่ายกว่ามาก’ งานของการเป็นผู้นำของคริสเตียนคือการปรับชีวิตและอุปนิสัยของเราให้สอดคล้องกับการสอนของเรา นั่นคือความท้าทายสำหรับเราทุกคนและเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาตลอดทั้งชีวิตเพื่อเป็นเหมือนพระเยซูผู้ทรงเป็นแบบอย่างของ ‘ความเป็นพระเจ้า’ (ข้อ 16)
แน่นอนว่าก่อนที่ใครก็ตาม (ผู้ปกครองหรือมัคนายก) จะได้รับตำแหน่งผู้นำที่สำคัญ พวกเขาต้องถูก ‘ทดลอง สอบสวน และพิสูจน์’ (ข้อ 10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) ความเชื่อที่ไม่ได้รับการทดสอบก็ไม่สามารถเชื่อถือได้ เราถูกทดสอบด้วยความยากลำบาก ความผิดหวัง และช่วงเวลาแห่งความแห้งแล้ง หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเติบโต พัฒนาบุคลิกของเรา และทำให้เราพร้อมสำหรับการเป็นผู้นำ
คำอธิษฐาน
เยเรมีย์ 38:1-40:6
เยเรมีย์ในที่ขังน้ำ
1เชฟาทิยาห์บุตรมัทธาน เกดาลิยาห์บุตรปาชเฮอร์ และยูคาลบุตรเชเลมิยาห์ และปาชเฮอร์บุตรมัลคียาห์ได้ยินถ้อยคำของเยเรมีย์ที่กล่าวแก่ประชาชนว่า 2“พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘คนที่ยังคงอยู่ในกรุงจะต้องตายด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และด้วยภัยพิบัติ แต่คนที่ออกไปหาคนเคลเดียจะมีชีวิตอยู่ เขาจะมีชีวิตเป็นบำเหน็จแห่งการสงคราม และยังมีชีวิตอยู่’ 3พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘กรุงนี้จะถูกมอบไว้ในมือของกองทัพของกษัตริย์แห่งบาบิโลนและท่านจะยึดไว้’ ” 4และบรรดาเจ้านายจึงทูลกษัตริย์ว่า “ขอทรงประหารชายคนนี้เสีย เพราะเขาทำให้มือของทหารซึ่งเหลืออยู่ในเมืองนี้อ่อนลง ทั้งมือของประชาชนทั้งหมดด้วย โดยพูดถ้อยคำเช่นนี้แก่พวกเขา เพราะว่าชายคนนี้ไม่ได้แสวงหาสวัสดิภาพแก่ชนชาตินี้ แต่หาความหายนะ” 5กษัตริย์เศเดคียาห์ตรัสว่า “นี่แน่ะ ชายคนนี้อยู่ในมือของพวกท่านแล้ว เพราะกษัตริย์ไม่สามารถขัดอะไรพวกท่านได้” 6เขาจึงจับเยเรมีย์หย่อนลงไปในที่ขังน้ำของมัลคียาห์โอรสของกษัตริย์ ซึ่งอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์ เขาเอาเชือกหย่อนเยเรมีย์ลงไป ในที่ขังน้ำนั้นไม่มีน้ำ มีแต่โคลน และเยเรมีย์ก็จมลงไปในโคลน
เอเบดเมเลคช่วยเหลือเยเรมีย์
7เมื่อเอเบดเมเลคคนคูช ข้าราชสำนักในพระราชวังได้ยินว่าเขาหย่อนเยเรมีย์ลงไปในที่ขังน้ำนั้น (ส่วนกษัตริย์ประทับอยู่ที่ประตูเบนยามิน) 8เอเบดเมเลคก็ออกไปจากพระราชวังและทูลกษัตริย์ว่า 9“ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระบาท คนเหล่านี้ได้ทำการชั่วร้ายทุกอย่างต่อเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ โดยทิ้งท่านลงไปในที่ขังน้ำ ท่านคงหิวตายที่นั่น เพราะในกรุงนี้ไม่มีขนมปังเหลืออยู่เลย” 10แล้วกษัตริย์มีรับสั่งแก่เอเบดเมเลคคนคูชว่า “จงเอาคนไปจากที่นี่กับเจ้า 30 คน แล้วฉุดเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะออกมาจากที่ขังน้ำก่อนเขาตาย” 11เอเบดเมเลคจึงนำคนไปที่พระราชวังไปยังตู้เสื้อผ้าในโรงพัสดุเพื่อเอาผ้าเก่าๆ และเสื้อผ้าขาดๆ และเขาเอาเชือกผูกหย่อนลงไปให้เยเรมีย์ในที่ขังน้ำ 12แล้วเอเบดเมเลคคนคูชพูดกับเยเรมีย์ว่า “ท่านจงคล้องผ้าและเสื้อเก่านั้นไว้ใต้รักแร้รองเชือกไว้” เยเรมีย์ก็ทำตาม 13แล้วเขาก็ฉุดเยเรมีย์ขึ้นมาด้วยเชือกและยกท่านขึ้นมาจากที่ขังน้ำ และเยเรมีย์ก็ค้างอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์
เศเดคียาห์ทรงปรึกษากับเยเรมีย์อีก
14กษัตริย์เศเดคียาห์ทรงใช้คนไปนำเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะมาที่ทางเข้าช่องที่สามของพระวิหารแห่งพระยาห์เวห์ และกษัตริย์ตรัสกับเยเรมีย์ว่า “เราจะถามท่านสักข้อหนึ่ง ขออย่าปิดบังเราเลย” 15เยเรมีย์จึงทูลเศเดคียาห์ว่า “ถ้าข้าพระบาทจะทูลฝ่าพระบาท ฝ่าพระบาทก็จะทรงประหารข้าพระบาทแน่ไม่ใช่หรือ? แต่ถ้าข้าพระบาทจะถวายคำปรึกษา ฝ่าพระบาทก็จะไม่ทรงฟังข้าพระบาท” 16แล้วกษัตริย์เศเดคียาห์ก็ทรงสาบานแก่เยเรมีย์เป็นการลับว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงสร้างชีวิตของเราทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เราจะไม่ประหารท่านหรือมอบท่านไว้ในมือของคนเหล่านี้ที่แสวงเอาชีวิตของท่าน”
17แล้วเยเรมีย์ทูลเศเดคียาห์ว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ถ้าฝ่าพระบาทจะยอมมอบตัวแก่เจ้านายของกษัตริย์บาบิโลนแล้ว ฝ่าพระบาทจะรอดชีวิต และกรุงนี้จะไม่ต้องถูกไฟเผา ฝ่าพระบาทและวงศ์วานของฝ่าพระบาทจะมีชีวิตอยู่ได้ 18แต่ถ้าฝ่าพระบาทไม่ยอมมอบตัวแก่เจ้านายของกษัตริย์บาบิโลนแล้ว กรุงนี้จะต้องถูกมอบไว้ในมือของคนเคลเดีย และพวกเขาจะเอาไฟเผาเสีย และฝ่าพระบาทจะหนีไม่รอดจากมือของพวกเขา” 19กษัตริย์เศเดคียาห์จึงตรัสกับเยเรมีย์ว่า “เรากลัวพวกคนยูดาห์ซึ่งเล็ดลอดไปหาคนเคลเดีย เกรงว่าเราจะถูกมอบให้แก่พวกเหล่านั้น และพวกเขาจะทำความอัปยศแก่เรา” 20เยเรมีย์ทูลว่า “พวกเขาจะไม่มอบฝ่าพระบาทไว้ ขอฝ่าพระบาทเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ ตามที่ข้าพระบาทได้ทูลฝ่าพระบาท จะเป็นการดีต่อฝ่าพระบาท และฝ่าพระบาทจะทรงพระชนม์อยู่ 21แต่ถ้าฝ่าพระบาทไม่ยอมมอบตัว นี่คือสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์ทรงสำแดงต่อข้าพระบาท 22นี่แน่ะ ผู้หญิงทุกคนที่เหลืออยู่ในวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์จะถูกนำออกไปให้เจ้านายของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และพวกนางจะกล่าวว่า
‘พระสหายที่ฝ่าพระบาทไว้วางพระทัยได้หลอกลวงฝ่าพระบาท
และได้ชนะฝ่าพระบาทแล้ว
เมื่อพระบาทของฝ่าพระบาทจมลงในโคลน
เขาทั้งหลายก็หันไปจากฝ่าพระบาท’
23เขาจะพาบรรดาสนม มเหสี และบรรดาโอรสของฝ่าพระบาทไปให้คนเคลเดีย และฝ่าพระบาทเองก็จะไม่ทรงรอดไปจากมือของพวกเขา แต่ฝ่าพระบาทจะถูกกษัตริย์แห่งบาบิโลนจับได้ และกรุงนี้จะถูกเผาเสียด้วยไฟ”
24แล้วเศเดคียาห์ตรัสกับเยเรมีย์ว่า “อย่าให้ใครรู้ถ้อยคำเหล่านี้ และท่านจะไม่ตาย 25ถ้าพวกเจ้านายได้ยินว่าเราพูดกับท่านและมาหาท่าน กล่าวว่า ‘จงบอกมาว่าเจ้าทูลอะไรกับกษัตริย์ และกษัตริย์ตรัสอะไรกับเจ้า อย่าปิดบังเราเลย และเราจะไม่ฆ่าเจ้า’ 26ท่านจงบอกพวกเขาว่า ‘ข้าพเจ้าได้ทูลขอต่อกษัตริย์ไม่ให้พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ากลับไปที่บ้านของโยนาธานเพื่อให้ตายเสียที่นั่น’ ” 27และเจ้านายทั้งปวงก็มาหาเยเรมีย์และซักถามท่าน และท่านก็ตอบเขาตามที่กษัตริย์ทรงแนะนำท่าน พวกเขาจึงหยุดถามท่านเพราะการสนทนานั้นไม่มีใครได้ยิน 28และเยเรมีย์ก็ค้างอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์จนถึงวันที่เยรูซาเล็มถูกยึด
อรรถาธิบาย
ผู้นำการเผยพระวจนะ
ความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและอุปนิสัยที่ดีไม่ได้รับประกันความเจริญรุ่งเรืองและชีวิตที่ปราศจากความเจ็บปวด อันที่จริงแล้วสำหรับเยเรมีย์นั้นกลับตรงกันข้ามกัน
เยเรมีย์เป็นผู้เผยพระวจนะที่มีชีวิตและอุปนิสัยเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเรา เขายังคงซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า เขายังคงได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและพูดออกมาแม้ว่าเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดมากมายก็ตาม
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาถูกข่มขู่ ถูกทำร้าย ขังคุก จองจำในคุกใต้ดิน แล้วโยนลงไปในบ่อโคลนเพื่อปล่อยให้อดตาย แต่เขายังคงฟังพระวจนะของพระเจ้าและพูดออกมาอย่างกล้าหาญ
โดยรวมแล้วผู้คนไม่ตอบสนอง เขาถูกเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง (38:4) เขาถูกประณามเนื่องจากทำลายขวัญกำลังใจและก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้คนที่เขาพยายามจะช่วย คุณเองก็ไม่ต้องแปลกใจหากได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกันนี้
เมื่อได้รับการช่วยเหลือจากบ่อแล้ว เยเรมีย์ก็ถูกนำตัวเข้าเฝ้ากษัตริย์เศเดคียาห์เป็นครั้งที่สี่ เศเดคียาห์เป็นชายที่ขาดกลัว เพราะความขี้ขลาดเศเดคียาห์เขาจึงไม่เชื่อฟังธรรมบัญญัติ (ข้อ 19) เขากลัวประชาชน เหมือนกับปีลาตที่ประณามพระเยซู
สี่ครั้งที่พระเจ้าตรัสกับเศเดคียาห์เพื่อพยายามช่วยเขาให้รอดจากผลที่ตามมาจากการกระทำของเขา ทุกครั้งที่เขาปฏิเสธที่จะเชื่อฟังด้วยความอ่อนแอ ในบทที่ 39 เราจะได้อ่านผลที่ตามมาซึ่งในที่สุดเยเรมีย์ก็ได้รับการพิสูจน์ (40:1–6)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
1ทิโมธี 3:11
‘ส่วนพวกผู้หญิงก็เหมือนกัน ต้องเป็นคนน่านับถือ ไม่ใส่ร้ายคนอื่น รู้จักประมาณตน ซื่อสัตย์ในทุก ๆ เรื่อง’
นี่คือความท้าทาย!
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 119:57-58
‘พระยาห์เวห์… ข้าพระองค์วิงวอนขอความโปรดปรานของพระองค์ด้วยสุดใจ ขอทรงพระกรุณาแก่ข้าพระองค์ตามพระสัญญาของพระองค์’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)