วัน 283

อัศจรรย์ใจโดยความเปรมปรีดิ์

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 119:9-16
พันธสัญญาใหม่ 1 เธสะโลนิกา 2:17-3:13
พันธสัญญาเดิม เยเรมีย์ 21:1-23:8

เกริ่นนำ

‘อัศจรรย์ใจโดยความเปรมปรีดิ์’ คือสิ่งที่ ซี.เอส. ลูอิส อธิบายการกลับใจของเขาจากคนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า มามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาไม่เคยคาดหวังว่าจะมีความเชื่อมโยงใด ๆ ระหว่าง พระเจ้า กับความเปรมปรีดิ์ ถ้ามีบางอย่าง เขาเคยคิดว่าเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม: ‘เท่าที่ผมทราบ การปฏิเสธโดยสิ้นเชิงถึงสิ่งที่ผมเรียกว่าความเปรมปรีดิ์ อาจเป็นหนึ่งในความต้องการก็ได้’

ความเชื่อมโยงนั้นเป็นความจริง ลูอิส ‘ยอมรับว่า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า’ ในขณะนั้น เขาเป็น ‘ผู้ที่กลับใจมาเชื่ออย่างไม่เต็มใจที่สุดในประเทศอังกฤษ’ เขาพบความประหลาดใจอย่างใหญ่หลวงว่า การติดตามพระเยซูนั้น เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาคาดหวังอย่างยิ่ง เขามีประสบการณ์ในความเปรมปรีดิ์อย่างมากผ่านทางความเชื่อที่เพิ่งค้นพบใหม่นี้ เขาพบว่า ‘หัวใจของความเป็นจริง’ คือสิ่งที่พบได้ในตัวบุคคล เขาอัศจรรย์ใจด้วยความเปรมปรีดิ์

หลายคนสับสนกับความความพึงพอใจ ความอิ่มเอมใจ และความเปรมปรีดิ์ ‘ความพึงพอใจ’ สามารถมาจากวันหยุดพักผ่อนดี ๆ เงินเดือนขึ้น หรือช็อคโกแลตซักแท่ง ผู้คนสามารถกลายเป็นคนเสพติดความสุขได้ ด้วยการแสวงหาบางสิ่งบางอย่างเรื่อยไปมาเติมเต็มอยู่เสมอ แต่ประสบการณ์ความพึงพอใจเหล่านี้มักมาแล้วจากก็ไป

‘ความอิ่มเอิบใจ’ เป็นสิ่งที่ยาวนานกว่า ทั้งการพึงพอใจในชีวิตของคุณ บ้านของคุณ งานของคุณ และความสัมพันธ์ของคุณ

แต่นี่เป็นอีกประเภทหนึ่งของความสุขซึ่งเราเรียกว่า ‘ความเปรมปรีดิ์’ มันไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่วครู่ แต่เป็นวิถีทางที่ลึกซึ้งในการดำเนินชีวิตอยู่ในสภาพของจิตใจซึ่งมีอยู่ในทุกคน ไม่ได้พบในสิ่งของ แต่อยู่ในตัวบุคคล

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 119:9-16

ב (เบท) 9คนหนุ่มจะรักษาวิถีทางของตนให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร?
 ก็โดยปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์
10ข้าพระองค์แสวงหาพระองค์ด้วยสุดใจ
 ขออย่าให้ข้าพระองค์หลงไปจากพระบัญญัติของพระองค์
11ข้าพระองค์ได้เก็บรักษาพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจ
 เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์
12ข้าแต่พระยาห์เวห์ สาธุการแด่พระองค์
 ขอทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์
13ข้าพระองค์จะประกาศด้วยริมฝีปาก
 ถึงกฎหมายที่มาจากพระโอษฐ์ของพระองค์
14ข้าพระองค์ปีติยินดีในทางแห่งพระโอวาทของพระองค์
 มากเท่ากับในความมั่งคั่งทั้งสิ้น
15ข้าพระองค์จะตรึกตรองข้อบังคับของพระองค์
 จะใส่ใจในวิถีทั้งหลายของพระองค์
16ข้าพระองค์จะปีติยินดีในกฎเกณฑ์ของพระองค์
 ข้าพระองค์จะไม่ลืมพระวจนะของพระองค์

อรรถาธิบาย

ความเปรมปรีดิ์ในการศึกษาพระคัมภีร์

ทั้งพิพพาหรือผม ไม่ใช่พวกชำนาญในเส้นทางนัก เรามักจะขับรถหลงทางบ่อย ๆ (แม้จะใช้ตัวนำทางหรือกูเกิ้ลแมพส์!) เป็นความเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งเมื่อเราพบบางคนที่สามารถบอกทางเราได้เป็นอย่างดี

พระคัมภีร์ให้แนวทางที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของคุณ ช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการระหกระเหิน (ข้อ 10) และหลงไป มีความเปรมปรีดิ์อันยิ่งใหญ่ในการพบแนวทางสู่ชีวิตที่ครบบริบูรณ์

การอ่านพระคัมภีร์เป็นที่สุดท้ายในโลกที่คนส่วนมากคาดหวังว่าจะได้พบความปีติยินดี กระนั้นผู้เขียนสดุดีชี้ว่า พระปัญญาของพระเจ้าและพระสัญญาของพระองค์เป็นแหล่งแห่งความปีติยินดี ความชื่นบาน และ ความมั่งคั่งทั้งสิ้น เขาเขียนว่า ‘ข้าพระองค์ปีติยินดี ในทางแห่งพระโอวาทของพระองค์ มากเท่ากับในความมั่งคั่งทั้งสิ้น… ข้าพระองค์จะปีติยินดีในกฎเกณฑ์ของพระองค์’ (ข้อ 14,16ก)

ในพระคัมภีร์เราพบวิถีแห่งความบริสุทธิ์: ‘คนหนุ่มจะ​รักษา​ทาง​ของ​ตน​ให้​บริสุทธิ์​ได้​อย่างไร? ก็โดย​ปฏิบัติ​ตาม​พระ​วจนะของพระองค์’ (ข้อ 9) เขาเขียนว่า ‘ข้าพระองค์ได้เก็บรักษาพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์’ (ข้อ 11) เรียนรู้และภาวนา​ข้อพระคำเหล่านั้น (ข้อ 15) และพูดมันออกมา (ข้อ 13) มีบางวิธีซึ่งคุณสามารถหลีกเลี่ยงการระหกระเหินและหลงไป (ข้อ 10)

เมื่อคุณรู้สึกว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับคุณผ่านทางข้อพระคำหรือพระคัมภีร์ตอนที่เฉพาะเจาะจง คุณสามารถพูดกับบิดาแห่งคริสตจักรในศตวรรษที่สองนามว่าออริเจนว่า ‘นี่เป็นข้อพระคัมภีร์ของฉัน’ คุณมีความเปรมปรีดิ์ที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และชื่นบานในการดำเนินตามกฎหมายของพระองค์ (ข้อ 14)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่ถ้อยคำของพระองค์นำความเปรมปรีดิ์เช่นนั้นมาแก่ข้าพระองค์ ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้สะสมพระดำรัสของพระองค์ไว้​ใน​ใจ​ของข้าพระองค์ และประกาศ​ด้วย​ริม​ฝีปาก​ของข้าพระองค์
พันธสัญญาใหม่

1 เธสะโลนิกา 2:17-3:13

เปาโลปรารถนาไปเยี่ยมคริสตจักรเธสะโลนิกาอีก

 17นี่แน่ะ พี่น้องทั้งหลาย แต่เมื่อเราถูกพรากไปจากท่านชั่วระยะเวลาหนึ่ง พรากไปแต่กายเท่านั้นไม่ใช่จิตใจ เราจึงขวนขวายด้วยใจกระหายอยากเห็นหน้าพวกท่านอีก 18เพราะเราอยากมาหาท่าน ข้าพเจ้า เปาโลอยากมาหนแล้วหนเล่า แต่ซาตานได้ขัดขวางเราไว้ 19อะไรเล่าจะเป็นความหวังหรือความชื่นชมยินดี หรือสิ่งภูมิใจของเรา เฉพาะพระพักตร์พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเมื่อพระองค์จะเสด็จมา? ก็ไม่ใช่พวกท่านหรือ? 20เพราะว่าท่านเป็นศักดิ์ศรีและความชื่นชมยินดีของเรา

1 เธสะโลนิกา 3

 1เพราะเหตุนั้นเมื่อทนต่อไปอีกไม่ได้แล้ว จึงเห็นว่าเราควรอยู่ที่กรุงเอเธนส์แต่ลำพัง 2และให้ทิโมธีน้องของเรา ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ ไปหาพวกท่าน เพื่อจะได้หนุนความเชื่อของท่าน และชูใจพวกท่าน 3เพื่อจะได้ไม่มีใครหวั่นไหวด้วยการยากลำบากเหล่านี้ ท่านเองก็รู้แล้วว่าการนั้นยังอยู่ในพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเรา 4เมื่อเราอยู่กับท่านทั้งหลาย ก็ได้บอกท่านไว้ก่อนแล้วว่า เราจะต้องทนการยากลำบาก แล้วก็เป็นจริงอย่างนั้น ตามที่ท่านรู้ 5เพราะเหตุนี้ เมื่อข้าพเจ้าทนต่อไปอีกไม่ได้ จึงใช้คนไปเพื่อจะได้ทราบถึงความเชื่อของท่าน เกรงว่าผู้ทดลองนั้นจะทดลองท่านสักประการหนึ่ง แล้วงานที่เราตรากตรำมาจะเป็นงานเปล่าประโยชน์ไป
 6เดี๋ยวนี้ ทิโมธีจากพวกท่านมาถึงเราแล้ว และแจ้งข่าวดีเรื่องความเชื่อและความรักของท่าน และเขาบอกว่าท่านระลึกถึงเราอยู่เสมอด้วยความหวังดี และปรารถนาจะเห็นเราเหมือนอย่างเราปรารถนาจะเห็นท่านเหมือนกัน 7พี่น้องทั้งหลาย เพราะเหตุนี้ ความเชื่อของท่านทำให้ความทุกข์ยาก และความลำบากของเราเบาบางลง 8เพราะว่าเมื่อท่านมั่นคงอยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตของเราก็สดชื่น 9เราจะขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านอย่างไรอีกจึงจะสมกับความชื่นชมยินดีที่เรามีเพราะท่าน เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของเรา 10ขณะที่เราอธิษฐานอย่างมากมายทั้งกลางวันกลางคืนเพื่อจะได้เห็นหน้าท่านอีก และเพื่อจะได้เพิ่มพูนความเชื่อของท่านในส่วนที่ยังขาดอยู่ให้บริบูรณ์
 11ขอพระเจ้าคือพระบิดาและพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ทรงนำทางให้เราไปถึงท่าน 12และขอองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงให้ท่านทั้งหลายจำเริญและบริบูรณ์ในการรักซึ่งกันและกัน และการรักทุกคน เหมือนเรารักท่าน 13ขอพระองค์ทรงชูใจของท่านไว้ให้ดำรงอยู่ในความบริสุทธิ์ ปราศจากข้อตำหนิเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าพระบิดาของเรา เมื่อพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมากับธรรมิกชนทั้งหมดของพระองค์

อรรถาธิบาย

ความเปรมปรีดิ์ในการนำคนอื่นมาถึงความเชื่อในพระเยซู

เปาโลนำชาวเมืองเธสะโลนิกามาพบกับพระเยซูคริสต์ มีความชื่นชมยินดีอันใหญ่หลวงในการที่ได้เห็นคนมาถึงความเชื่อในพระคริสต์ ผมคิดว่าหนึ่งในเหตุผลที่ผู้คนรักที่จะช่วยในหลักสูตรอัลฟ่า คือพวกเขาชื่นชมยินดีที่ได้เห็นคนมาถึงพระคริสต์ เต็มล้นด้วยพระวิญญาณฯ และตื่นเต้นเรื่องพระเยซู

ชาวเมืองเธสะโลนิกาเป็น ‘ศักดิ์ศรี และความเปรมปรีดิ์’ ของเปาโล (2:20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เป็นความผูกพันที่ใกล้ชิดกับพวกเขา ท่านมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเห็นพวกเขาอีก (ข้อ 17) ท่านเขียนว่า ‘อะไรเล่าจะเป็น ความหวัง หรือ ความชื่นชมยินดี หรือ สิ่งภูมิใจ ของเรา เฉพาะพระพักตร์พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเมื่อพระองค์จะเสด็จมา? ก็ไม่ใช่พวกท่านหรือ? เพราะว่าท่านเป็น ศักดิ์ศรี และความชื่นชมยินดีของเรา’ (ข้อ 19–20)

ในหลักการแล้วรางวัลนั้นไม่ได้ผิดอะไร และการได้เห็นคนอื่นเชื่อวางใจในพระเยซูนั้นเป็นรางวัล (‘มงกุฎ’) อันยิ่งใหญ่ สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ศักดิ์ศรีของเรากับของโลกนี้; โลกยกย่องเงินทอง ความสำเร็จ และอำนาจ แต่เรามี ศักดิ์ศรี ในพระเยซู และเป็นผู้ซึ่งได้รับสิทธิพิเศษที่ได้พบกับพระองค์ ผ่านทางคำพูดและคำอธิษฐานของเรา

ความชื่นชมยินดีของเปาโลไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสถานการณ์ของท่านเอง ท่านอยู่ท่ามกลางปัญหาและช่วงเวลายากลำบาก: ‘ความเครียด และความยากลำบากที่ถาโถมเข้ามา’ (3:7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Ampified Bible โดยผู้แปล) ช่างน่าทึ่งที่ความกังวลของเปาโลไม่ใช่เรื่องสถานการณ์ของท่านเอง แต่เป็นเรื่องผลกระทบต่อการทดลองและการข่มเหงที่อาจส่งผลต่อความเชื่อของชาวเมืองเธสะโลนิกา (ข้อ 3)

ความชื่นชมยินดีของเปาโลมาจากความเปรมปรีดิ์ของพวกเขา เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนที่ความลับของความสุข คือการทำให้คนอื่น ๆ มีความสุข

เปาโลเขียนว่า ‘เพราะ​ว่า​เมื่อ​ท่าน​มั่นคง​อยู่​ใน​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า ชีวิต​ของ​เรา​ก็​สด​ชื่น​’ (ข้อ 8) คุณภาพชีวิตของท่านได้รับผลกระทบอย่างลึกซึ้งจากความสัมพันธ์ที่พวกเขามีกับพระเจ้า ท่านเต็มล้นด้วยความชื่นชมยินดี: ‘เรา​จะ​ขอบ​พระ​คุณพระเจ้าเพราะท่านอย่างไรอีกจึงจะสมกับความชื่นชมยินดีที่​เรา​มี​ เพราะ​ท่าน เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของ​เรา’ (ข้อ 9)

ความชื่นชมยินดีแบบนี้หลั่งไหลออกมาจากส่วนลึกของความสัมพันธ์ที่เปาโลมีต่อชาวเมืองเธสะโลนิกา ความรักและความห่วงใยขอเขาต่อพวกเขานั้นชัดเจนมาก ความรักและความห่วงใยนี้ยังคงมีต่อไปภายหลังที่เขาจากไปแล้ว เขารอคอยที่จะได้กลับไปหาพวกเขา (2:18; 3:10–11) ส่งทิโมธีไปช่วยพวกเขา (แม้ว่าจะหมายถึงท่านต้องอยู่ลำพังไปอีกสักพัก 3:1–2) และอธิษฐาน ‘อย่างเอาจริงเอาจังที่สุด’ เผื่อพวกเขา ‘ทั้งกลางวันกลางคืน’ (ข้อ 10)

การทุ่มเทอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตของคนรอบข้างอาจดูน่ากลัว และอาจเกี่ยวข้องกับการทำงานหนัก กระนั้นเหมือนกับตัวอย่างของเปาโลที่แสดงไว้ นี่ยังเป็นแหล่งแห่งความชื่นชมยินดีและการเฉลิมฉลอง เป็นความชื่นชมยินดี ‘จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า’ เมื่อเปาโลอธิษฐาน หัวใจของเขายังคงเต็มล้นด้วยความชื่นชมยินดีเมื่อเขาคิดเรื่องพวกเขา จดหมายส่วนมากของเปาโลเต็มไปด้วยการขอบพระคุณ และความชื่นชมยินดี เมื่อเราเข้าสู่การทรงสถิตของพระเจ้า หัวใจของเราก็ไม่ต้องแบกภาระและเราเห็นสิ่งต่าง ๆ ดังที่พระเจ้าทรงเห็น: ‘ต่อพระพักตร์พระองค์​มี​ความ​ยินดีเปี่ยม​ล้น’ (สดุดี 16:11)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณอย่างยิ่งสำหรับความชื่นชมยินดีเมื่อได้เห็นผู้คนมาถึงพระคริสต์ ขอให้ข้าพระองค์จำเริญขึ้นและบริบูรณ์ด้วยความรัก และเปี่ยมด้วยความเข้มแข็งและความบริสุทธิ์ เต็มล้นด้วยความมั่นใจในการทรงสถิตของพระเจ้า พระบิดาของเรา
พันธสัญญาเดิม

เยเรมีย์ 21:1-23:8

เยรูซาเล็มจะตกเป็นของเนบูคัดเนสซาร์

 1ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำซึ่งมาจากพระยาห์เวห์ถึงเยเรมีย์ เมื่อกษัตริย์เศเดคียาห์ทรงใช้ปาชเฮอร์ บุตรมัลคียาห์ และปุโรหิตเศฟันยาห์บุตรมาอาเสยาห์ไปหาเยเรมีย์ว่า 2“ขอจงทูลถามพระยาห์เวห์เพื่อเรา เพราะเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลนกำลังทำสงครามกับเรา บางทีพระยาห์เวห์จะทรงทำกับเราตามบรรดาพระราชกิจอันอัศจรรย์ของพระองค์ และจะทรงทำให้เนบูคัดเนสซาร์ถอยทัพไปจากเรา”
 3แล้วเยเรมีย์บอกเขาทั้งสองว่า 4“ท่านจงทูลเศเดคียาห์ดังนี้ว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า นี่แน่ะ เราจะหันอาวุธที่อยู่ในมือของเจ้ากลับมา ซึ่งเจ้าใช้สู้รบกับกษัตริย์บาบิโลนและคนเคลเดียซึ่งกำลังล้อมเจ้าอยู่นอกกำแพง และเราจะรวบรวมมันมาไว้ในใจกลางเมืองนี้ 5เราเองจะต่อสู้กับเจ้าด้วยมือที่เหยียดออกและด้วยแขนที่แข็งแรงด้วยความกริ้ว ด้วยความเกรี้ยวกราดและความโกรธอย่างรุนแรง 6และเราจะโจมตีชาวกรุงนี้ ทั้งคนและสัตว์ ซึ่งจะตายด้วยโรคระบาดร้ายแรง 7พระยาห์เวห์ตรัสว่า ภายหลังเราจะมอบเศเดคียาห์กษัตริย์ของยูดาห์ และบรรดาข้าราชการของเขาและประชาชนเมืองนี้ ซึ่งรอดตายจากโรคระบาด ดาบ และการกันดารอาหาร ไว้ในมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และมอบไว้ในมือศัตรูของเขาทั้งหลาย ในมือคนเหล่านั้นที่แสวงหาชีวิตของเขา ท่านจะฟันเขาเสียด้วยคมดาบ ท่านจะไม่สงสารเขา หรือไว้ชีวิตเขา หรือมีความเมตตาต่อเขา’
 8“และเจ้าจงพูดกับชนชาตินี้ว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า นี่แน่ะ เราตั้งวิถีแห่งชีวิตและทางแห่งความตายไว้ต่อหน้าเจ้า 9คนที่อยู่ในเมืองนี้จะตายด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และด้วยโรคระบาด แต่ผู้ที่ออกไปมอบตัวกับชนเคลเดียที่ล้อมเจ้าอยู่นั้นจะมีชีวิตอยู่ และจะมีชีวิตของตนเป็นบำเหน็จสงคราม 10พระยาห์เวห์ตรัสว่า เพราะเราได้มุ่งหน้าต่อสู้เมืองนี้ด้วยความร้ายไม่ใช่ด้วยความดี คือเมืองนี้จะถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์บาบิโลน และท่านจะเผามันเสียด้วยไฟ’ ”

ข้อความถึงราชวงศ์ของดาวิด

 11“จงกล่าวต่อราชวงศ์ของกษัตริย์ยูดาห์ว่า ‘จงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ 12ราชวงศ์ของดาวิดเอ๋ย พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
จงให้ความยุติธรรมในเวลาเช้า
 จงช่วยกู้ผู้ที่ถูกปล้น
ให้พ้นจากมือผู้บีบบังคับ
 เกรงว่าความโกรธของเราจะออกไปเหมือนไฟ
และเผาไหม้อย่างที่ไม่มีใครดับได้
 เพราะการกระทำอันชั่วช้าของพวกเจ้า’
13“นี่แน่ะ เราต่อสู้เจ้า ชาวที่ลุ่มเอ๋ย
 ศิลาแห่งที่ราบเอ๋ย”
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
 “พวกเจ้าผู้กล่าวว่า ‘ใครจะลงมาต่อสู้กับเรา?
 หรือใครจะเข้ามาในที่อาศัยของเรา?’
14เราจะลงโทษพวกเจ้าตามผลแห่งการกระทำของเจ้า”
 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
“เราจะก่อไฟไว้ในป่าของเมืองนั้น
 และไฟนั้นจะเผาผลาญทุกสิ่งที่อยู่รอบเมืองนั้น”

เยเรมีย์ 22

คำชักชวนให้กลับใจ

 1พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “จงลงไปยังราชสำนักของกษัตริย์ยูดาห์ และกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ที่นั่น 2ว่า ‘ข้าแต่กษัตริย์แห่งยูดาห์ ผู้ประทับบนพระที่นั่งของดาวิด จงสดับพระวจนะของพระยาห์เวห์ ทั้งฝ่าพระบาท ข้าราชการของฝ่าพระบาท และประชาชนของฝ่าพระบาทผู้เข้ามาในประตูเมืองนี้ 3พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า จงกระทำความยุติธรรมและความชอบธรรม จงช่วยกู้ผู้ที่ถูกปล้นให้พ้นมือของผู้ที่บีบบังคับ และอย่าทำความผิดหรือความทารุณแก่คนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อ และหญิงม่าย หรือทำให้โลหิตที่ไร้ความผิดหลั่งออกถึงตายในสถานที่นี้ 4ถ้าเจ้าเชื่อฟังถ้อยคำข้อนี้จริงๆ แล้ว จะมีกษัตริย์ผู้ประทับบนพระที่นั่งของดาวิดเข้ามาทางประตูของพระราชวังนี้ เสด็จมาโดยรถรบและม้า ทั้งตัวกษัตริย์ บรรดาข้าราชการ และประชาชนของพระองค์ 5แต่ถ้าเจ้าไม่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราปฏิญาณในนามของเราเองว่าราชสำนักนี้จะเป็นที่ทิ้งร้าง’ ” 6เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้เกี่ยวกับราชสำนักแห่งกษัตริย์ของยูดาห์ว่า

“เจ้าเป็นเหมือนกิเลอาดสำหรับเรา
 เป็นดังยอดภูเขาเลบานอน
ถึงกระนั้น เราจะทำเจ้าให้เป็นถิ่นทุรกันดารแน่
 เป็นเมืองที่ไม่มีคนอาศัย
7เราจะเตรียมผู้ทำลายไว้ต่อสู้เจ้า
 ต่างก็มีอาวุธของตน
และพวกเขาจะตัดต้นสนสีดาร์ที่ดีที่สุดของเจ้าลง
 และโยนเข้าในไฟ
 8“และประชาชาติเป็นอันมากจะผ่านเมืองนี้ไป และทุกคนจะพูดกับเพื่อนของตนว่า ‘ทำไมพระยาห์เวห์จึงทรงทำเช่นนี้แก่เมืองใหญ่นี้?’ 9และพวกเขาจะตอบว่า ‘เพราะเขาทั้งหลายได้ละทิ้งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา ไปนมัสการและปรนนิบัติพระอื่น’

10อย่าร้องไห้เพื่อผู้ตาย
 อย่าเสียใจเพราะเขาเลย
แต่จงร้องไห้เพื่อผู้ที่จากไป
 เพราะเขาจะไม่ได้กลับมา
 เห็นบ้านเกิดเมืองนอนของเขาอีกเลย”

ข้อความถึงบรรดาบุตรของโยสิยาห์

 11เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละเกี่ยวกับชัลลูมหมายถึง เยโฮอาหาส โอรสโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ผู้ซึ่งครองราชย์ต่อจากโยสิยาห์ราชบิดา และได้ไปจากสถานที่นี้แล้วว่า “เจ้าจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก 12เจ้าจะสิ้นชีวิตในที่ซึ่งเขาจับเจ้าไปเป็นเชลย และเจ้าจะไม่เห็นแผ่นดินนี้อีกเลย”
13“วิบัติแก่เขาผู้สร้างวังของตนด้วยความไม่ชอบธรรม
 และสร้างห้องชั้นบนไว้ด้วยความไม่ยุติธรรม
ผู้ทำให้เพื่อนบ้านของเขาปรนนิบัติเขาโดยไม่ได้อะไรเลย
 และไม่ได้จ่ายค่าจ้างให้แก่เขา
14ผู้กล่าวว่า ‘เราจะสร้างวังใหญ่อยู่เอง
 กับมีห้องชั้นบนกว้างขวาง’
และเจาะหน้าต่างให้ห้องนั้น
 และบุฝาผนังด้วยไม้สนสีดาร์
 และทาด้วยชาด
15เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นกษัตริย์
 เพราะเจ้าแข่งกันมีไม้สนสีดาร์หรือ?
บิดาของเจ้ากินและดื่ม
 แต่ยังทำความยุติธรรมและความชอบธรรมไม่ใช่หรือ?
 เขาจึงอยู่เย็นเป็นสุข
16เขาพิพากษาคดีของคนจนและคนขัดสน
 เขาก็อยู่เย็นเป็นสุข
ทำอย่างนี้จึงเป็นการรู้จักเราไม่ใช่หรือ?”
 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
17“แต่เจ้ามีตาและใจ
 ไว้เพียงมุ่งหากำไรอธรรมของเจ้า
เพื่อทำให้โลหิตที่ไร้ความผิดตกถึงตาย
 และเพื่อบีบบังคับ และกระทำทารุณ” 18เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์จึงตรัสดังนี้เกี่ยวกับเยโฮยาคิม โอรสของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ว่า
 “เขาทั้งหลายจะไม่คร่ำครวญถึงเขาว่า
‘อนิจจา พี่ชายเอ๋ย’ หรือ ‘อนิจจา พี่สาวเอ๋ย’
 เขาทั้งหลายจะไม่คร่ำครวญถึงเขาว่า
 ‘อนิจจา เจ้านาย’ หรือ ‘อนิจจา พระองค์ท่าน’
19เขาจะถูกฝังไว้อย่างฝังลา
 คือถูกลากไปโยนทิ้งไว้ข้างนอกประตูเมืองเยรูซาเล็ม
20“จงขึ้นไปที่เลบานอน และกู่ร้อง
 และจงเปล่งเสียงของเจ้าในเมืองบาชาน
จงร้องจากอาบาริม
 เพราะว่าคนรักทั้งสิ้นของเจ้าถูกทำลายเสียแล้ว
21เราได้พูดกับเจ้าเมื่อเจ้าอยู่เย็นเป็นสุข
 แต่เจ้ากล่าวว่า ‘เราจะไม่ฟัง’
นี่เป็นวิธีการของเจ้าตั้งแต่ยังหนุ่มๆ
 คือเจ้าไม่ฟังเสียงเรา
22ลมจะดูแลผู้เลี้ยงแกะทั้งสิ้นของเจ้า
 และบรรดาคนรักของเจ้าจะตกไปเป็นเชลย
แล้วเจ้าจะอับอายขายหน้า
 เนื่องด้วยความอธรรมทั้งสิ้นของเจ้า
23ชาวเมืองเลบานอน
 ผู้สร้างรังอยู่ท่ามกลางไม้สนสีดาร์เอ๋ย
เจ้าจะคร่ำครวญสักเท่าใดเมื่อความปวดร้าวมาเหนือเจ้า
 อย่างความเจ็บปวดของหญิงที่คลอดบุตร”

การพิพากษาเหนือโคนิยาห์ (เยโฮยาคีน)

 24พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เรามีชีวิตอยู่ตราบใด แม้ว่าโคนิยาห์ บุตรของเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์เป็นแหวนตราอยู่ที่มือขวาของเรา ถึงกระนั้นเราจะถอดออกเสีย 25และมอบเจ้าไว้ในมือของคนเหล่านั้นที่แสวงเอาชีวิตของเจ้า ในมือของคนเหล่านั้นซึ่งพวกเจ้ากลัว คือในมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และในมือของคนเคลเดีย 26เราจะเหวี่ยงเจ้าและมารดาผู้คลอดเจ้าไปยังอีกประเทศหนึ่ง ที่ซึ่งเจ้าไม่ได้เกิดที่นั่นแต่เจ้าจะตายที่นั่น 27แผ่นดินซึ่งเขาอาลัยอยากจะกลับนั้น เขาจะไม่ได้กลับไป”
28โคนิยาห์ชายผู้นี้เป็นหม้อที่ถูกดูหมิ่นและแตกหรือ?
 เป็นภาชนะที่ไม่มีใครชอบหรือ?
ทำไมตัวเขาและลูกของเขาจึงถูกเหวี่ยงและถูกโยน
 เข้าในแผ่นดินซึ่งเขาทั้งหลายไม่รู้จัก?
29โอ้แผ่นดิน แผ่นดิน แผ่นดินเอ๋ย
 จงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์
30พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
 “จงเขียนลงว่าชายคนนี้ไม่มีบุตร เป็นชายซึ่งไม่มีความสำเร็จในชั่วชีวิตของเขา
 เพราะไม่มีใครในเชื้อสายของเขาที่จะรุ่งเรือง
และได้นั่งบนบัลลังก์ของดาวิด
 และปกครองในยูดาห์อีก”

เยเรมีย์ 23

การบูรณะหลังการตกเป็นเชลย

 1พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “วิบัติแก่ผู้เลี้ยงแกะ ผู้ทำลายและกระจายแกะแห่งลานหญ้าของเรา” 2เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสกับผู้เลี้ยงแกะผู้ดูแลประชากรของเราดังนี้ว่า “เจ้าทั้งหลายได้กระจายฝูงแกะของเราและได้ขับไล่มันไปเสีย และเจ้าไม่ได้เอาใจใส่มัน นี่แน่ะ เราจะลงโทษเจ้า เพราะการกระทำชั่วของเจ้า” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ 3“แล้วเราจะรวบรวมฝูงแกะของเราที่เหลืออยู่ออกจากประเทศทั้งปวง ซึ่งเราได้ขับไล่ให้เขาไปอยู่นั้น และจะนำเขากลับมายังคอกของเขา เขาจะมีลูกดกและทวีมากขึ้น 4เราจะตั้งผู้เลี้ยงแกะไว้เหนือเขา ผู้จะเลี้ยงดูเขา และเขาทั้งหลายจะไม่ต้องกลัวหรือครั่นคร้ามหรือขาดแคลนเลย” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ

กิ่งชอบธรรมของดาวิด

 5พระยาห์เวห์ตรัสว่า “นี่แน่ะ วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะให้กิ่งชอบธรรมงอกออกมาสำหรับดาวิด ผู้ที่จะทรงเป็นกษัตริย์และทรงครองราชย์อย่างสุขุมรอบคอบ และจะทรงนำความยุติธรรมและความชอบธรรมมาสู่แผ่นดินนั้น 6ในสมัยของท่าน ยูดาห์จะได้รับความรอด และอิสราเอลจะอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย นี่จะเป็นนามซึ่งเราจะเรียกท่าน คือ ‘พระยาห์เวห์ทรงเป็นความชอบธรรมของเรา’ ”
 7เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ตรัสว่า “นี่แน่ะ วันเวลาจะมาถึง เมื่อคนจะไม่กล่าวอีกต่อไปว่า ‘พระยาห์เวห์ผู้ทรงนำประชาชนอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด’ 8แต่จะว่า ‘พระยาห์เวห์ผู้ทรงนำและพาพงศ์พันธุ์อิสราเอลออกจากแดนเหนือและออกจากประเทศที่พระองค์ทรงขับไล่ให้ไปอยู่นั้นทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด’ เขาทั้งหลายก็จะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของตนเอง”

อรรถาธิบาย

ความเปรมปรีดิ์ยินดีในมิตรภาพกับพระเยซู

เมื่อคุณอยู่ใกล้กับพระเยซู ความชื่นชมยินดีของพระองค์ก็ไหลมาสู่คุณ และความชื่นชมยินดีของคุณก็บริบูรณ์ ดังที่ศาสตราจารย์ กอร์ดอน ฟี เขียนไว้ว่า ‘ความชื่นชมยินดีที่ไม่ลดทอน ไม่หยุดยั้ง คือ (หรืออย่างน้อยที่สุดควรจะเป็น) เครื่องหมายอันโดดเด่นของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์’ ‘กิ่งชอบธรรม’ คือสิ่งที่เยเรมีย์พูดถึงในพระธรรมตอนนี้ (23:5) จะเป็นแหล่งแห่งความชื่นชมยินดีอันบริบูรณ์

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับประชากรของพระองค์ผ่านทางเยเรมีย์ว่า ‘นี่แน่ะ เรา​ตั้ง​วิถี​แห่ง​ชีวิต​และ​ทาง​แห่ง​ความ​ตาย​ไว้​ต่อ​หน้า​เจ้า’ (21:8)

พระองค์ทรงเรียกพวกเขาให้ ‘จง​ให้​ความ​ยุติธรรม’ (ข้อ 12) พระองค์ตรัสว่า ‘จง​กระทำ​ความ​ยุติธรรม​ จงทำสิ่งต่าง ๆ ให้ถูกต้องระหว่างคู่กรณี ​ช่วย​กู้​ผู้​ที่​ถูก​ปล้น​ให้​พ้น​มือ​ของ​ผู้​ที่​บีบ​บังคับ และ​อย่าเอาเปรียบคนที่ไร้บ้าน ลูก​กำพร้า​พ่อ และ​หญิง​ม่าย จงหยุดการฆาตกรรม!’ (22:3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

บรรดากษัตริย์ควรทำอย่างโยสิยาห์: ‘เขา​พิพากษา​คดี​ของ​คน​จน​และ​คน​ขัด​สน เขาก็อยู่​เย็น​เป็น​สุข ทำ​อย่าง​นี้จึงเป็นการรู้จักเรา ไม่ใช่หรือ?” ​พระ​เจ้า​ตรัส​ดังนี้​แหละ’ (ข้อ 16)

ตรงนี้เราได้เห็นความห่วงใยของพระเจ้า ทั้งตอนนั้นและตอนนี้ พระองค์ทรงห่วงใยเรื่องความยุติธรรม; ที่เกี่ยวข้องกับคนยากจน และคนเร่ร่อน; เกี่ยวกับแม่ม่ายและลูกกำพร้า; เกี่ยวกับเหยื่อแห่งความอยุติธรรม วิธีที่เราปฎิบัติต่อชนกลุ่มน้อยในสังคมของเราสำคัญสำหรับพระเจ้า

ประชากรของพระเจ้าอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระองค์ในความล้มเหลวในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ พวกเขากลายเป็น ‘ระบอบการปกครองที่ชั่วร้าย’ (21:14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขากำลังจะถูกเนรเทศ กระนั้นท่ามกลางคำเผยพระวจนะแห่งความหายนะและการถูกเนรเทศ ก็ยังมีรังสีแห่งความหวัง

‘พระ​เจ้า​ตรัส​ว่า “นี่แน่ะ วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะให้กิ่งชอบธรรมงอกออกมาสำหรับดาวิด ผู้ที่จะทรงเป็นกษัตริย์และทรงครองราชย์อย่างสุขุมรอบคอบ และจะทรงนำความยุติธรรมและความชอบธรรมมาสู่แผ่นดินนั้น ในสมัยของท่าน ยูดาห์จะได้รับความรอด และอิสราเอลจะอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย นี่จะเป็นนามซึ่งเราจะเรียกท่าน คือ ‘พระ​เจ้า​เป็น​ความ​ชอบธรรม​ของ​เรา”’ (23:5–6)

ผ่านทางมุมมองของพันธสัญญาใหม่ เราเห็นวิธีที่พระเยซูทรงทำให้คำพยากรณ์นี้เป็นจริงเรื่อง ‘กิ่งชอบธรรม’ (23:5, ดูอิสยาห์ 11 เอเสเคียล 17 และเยเรมีย์ 33:15 เป็นต้นไป) พระองค์ทรงสืบเชื้อสายจากดาวิด กษัตริย์ของชาวยิว พระผู้ช่วยให้รอด องค์พระเจ้าผู้ทรงชอบธรรมของเรา

พระเยซูทรงเป็นผู้เดียวที่เราพบความชื่นชมยินดีอย่างบริบูรณ์ได้ในพระองค์ พระองค์ทรงเป็น ‘กิ่งชอบธรรม’ (ข้อ 5) ที่ซึ่งกิ่งอื่น ๆ ทุกกิ่งจะมา ‘กิ่งชอบธรรม’ เชื่อมโยงเข้ากับเถาต่าง ๆ (เอเสเคียล 17) พระเยซูตรัสว่า ‘เราเป็น​เถา​องุ่น​แท้ และพระ​บิดา​ของ​เรา​ทรง​เป็น​ผู้​ดู​แล​รักษา’ (ยอห์น 15:1) ‘เราบอกสิ่งเหล่านี้กับพวกท่านแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่ในท่าน และให้ ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม’ (ข้อ 11)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับความชื่นชมยินดีซึ่งมาจากการได้อยู่ใกล้ชิดกับพระเยซู ขอทรงช่วยข้าพระองค์ในแต่ละวันให้อยู่ใกล้ชิดกับ ‘กิ่งชอบธรรม’ เพื่อความชื่นชมยินดีของพระเยซูจะดำรงอยู่ในข้าพระองค์ และความชื่นชมยินดีของข้าพระองค์จะเต็มเปี่ยม

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สดุดี 119:11

‘ข้าพระองค์ได้เก็บรักษาพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์’

เป็นสิ่งน่าทึ่งเมื่อข้อพระคัมภีร์ที่เหมาะเจาะนี้เข้ามาในความคิดในสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง ฉันหวังว่า ฉันจะได้เรียนรู้ข้อพระคัมภีร์มากกว่านี้เมื่อตอนที่ความจำฉันยังดีกว่านี้ ตอนนี้ วิธีเดียวที่ฉันสามารถเรียนรู้ข้อพระคัมภีร์ใหม่ ๆ คือ เมื่อมันอยู่ในเพลงที่เราร้องกันเป็นประจำ เพลงของเด็กนั้นมักจะเยี่ยมที่สุด!

ข้อพระคำประจำวัน

ข้อพระคำประจำวัน

1 เธสะโลนิกา 3:12

‘ขอองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงให้ท่านทั้งหลายจำเริญและบริบูรณ์ในการรักซึ่งกันและกัน และการรักทุกคน เหมือนเรารักท่าน…’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม