วัน 275

ความทะเยอทะยานในทางพระเจ้า

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 116:1-11
พันธสัญญาใหม่ ฟีลิปปี 3:1-4:1
พันธสัญญาเดิม เยเรมีย์ 4:10-5:31

เกริ่นนำ

ชัค โคลสัน ในสมัยเป็นนักเรียน เขาปฏิเสธทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอย่างหยิ่งผยอง เขาเข้าร่วมเป็นทหารนาวิกโยธิน ตั้งสำนักงานกฎหมายของตัวเองและผันชีวิตเข้าสู่การเมือง เมื่ออายุ 40 ปี เขาได้กลายเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาใกล้ชิดของประธานาธิบดีนิกสัน ต่อมาเขาบรรยายตัวเองว่าเป็น ‘ราชาหนุ่มผู้ทะเยอทะยานทางการเมือง' เขาเป็นที่รู้จักในนาม ‘มือขวาน’ ของนิกสัน

เขายอมสารภาพความผิดที่ปกปิดข้อมูลโจรกรรมในคดีวอเตอร์เกท และถูกส่งตัวเข้าคุก ที่นั่นเขาได้พบกับพระเยซู เมื่อเขาออกจากศาลหลังจากได้ยินคำพิพากษาให้พ้นโทษ เขากล่าวว่า ‘สิ่งที่เกิดขึ้นในศาลในวันนี้... คือความประสงค์ของศาลและพระประสงค์ของพระเจ้า ผมได้มอบชีวิตของผมไว้กับพระเยซูคริสต์ และผมสามารถรับใช้พระองค์ได้ทั้งใน และนอกเรือนจำ’

หลังจากได้รับการปล่อยตัว โคลสันได้จัดตั้งกลุ่มสามัคคีธรรมในเรือนจำและนำผู้คนหลายพันคนมาถึงพระเยซูคริสต์ ครั้งหนึ่งผมได้ยินเขาพูดว่า ‘ผมเคยทะเยอทะยาน และวันนี้ผมยังมีทะเยอทะยานอยู่ แต่ผมหวังว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สำหรับชัค โคลสัน (แม้ว่าผมจะต่อสู้กับเรื่องนั้นค่อนข้างมากก็ตาม) แต่ผมทะเยอทะยานเพื่อพระคริสต์

ความทะเยอทะยานเคยถูกนิยามว่าเป็น ‘ความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จ’ ท้ายที่สุดแล้วมีความทะเยอทะยานในการควบคุมเพียงสองอย่างเท่านั้น ซึ่งทำให้ความทะเยอทะยานอื่น ๆ อาจลดลงได้ คือ ความรุ่งโรจน์ของเรา และอีกอย่างคือ พระเกียรติสิริของพระเจ้า

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 116:1-11

คำขอบพระคุณพระเจ้า เพราะทรงช่วยให้หายป่วย

1ข้าพเจ้ารักพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงฟังเสียงและคำวิงวอนของข้าพเจ้า
2พระองค์เงี่ยพระกรรณฟังข้าพเจ้า
 เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจะทูลพระองค์ตราบที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่
3บ่วงมรณาล้อมข้าพเจ้า
 ความเจ็บปวดแห่งแดนคนตายจับข้าพเจ้าไว้
 ข้าพเจ้าพบความทุกข์โศกและความระทม
4แล้วข้าพเจ้าร้องทูลออกพระนามพระยาห์เวห์ว่า
 “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงช่วยชีวิตข้าพระองค์เถิด”
5พระยาห์เวห์ทรงมีพระคุณและทรงชอบธรรม
 พระเจ้าของเราทั้งหลายทรงพระกรุณา
6พระยาห์เวห์ทรงปกป้องคนรู้น้อยไว้
 เมื่อข้าพเจ้าตกต่ำ พระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอด
7จิตใจของข้าเอ๋ย กลับไปสู่ที่พักของเจ้าเถิด
 เพราะพระยาห์เวห์ทรงดีต่อเจ้าแล้ว
8เพราะพระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์จากความตาย
 ช่วยนัยน์ตาข้าพระองค์จากน้ำตา
 ช่วยเท้าข้าพระองค์จากการสะดุด
9ข้าพเจ้าดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระยาห์เวห์
 ในดินแดนของคนเป็น
10ข้าพเจ้ายังเชื่ออยู่ แม้เมื่อข้าพเจ้ากล่าวว่า
 “ข้าพเจ้าทุกข์ยากยิ่งนัก”
11ข้าพเจ้ากล่าวในเวลาตกใจว่า
 “มนุษย์ทุกคนเป็นคนโกหก”
12ข้าพเจ้าจะเอาอะไรตอบแทนพระยาห์เวห์?
 สำหรับความดีทั้งสิ้นของพระองค์ที่มีต่อข้าพเจ้า
13ข้าพเจ้าจะยกถ้วยแห่งความรอด
 และร้องออกพระนามพระยาห์เวห์
14ข้าพเจ้าจะแก้บนแด่พระยาห์เวห์
 ต่อหน้าประชาชนทั้งปวงของพระองค์
15ความตายของผู้จงรักภักดีต่อพระองค์
 สำคัญในสายพระเนตรพระยาห์เวห์
16ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์
 ข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ เป็นบุตรชายของหญิงคนใช้ของพระองค์
 พระองค์ทรงถอดโซ่ตรวนของข้าพระองค์
17ข้าพระองค์จะถวายเครื่องบูชาขอบพระคุณแด่พระองค์
 และร้องออกพระนามพระยาห์เวห์
18ข้าพเจ้าจะแก้บนแด่พระยาห์เวห์
 ต่อหน้าประชาชนทั้งปวงของพระองค์
19ในบริเวณพระนิเวศของพระยาห์เวห์
 ในท่ามกลางเยรูซาเล็ม

สรรเสริญพระยาห์เวห์

อรรถาธิบาย

จงทะเยอทะยานเรื่องความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้า

จงทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้าสำคัญเป็นอันดับแรก เช่นเดียวกับผู้เขียนสดุดีที่ประกาศว่า ความทะเยอทะยานของคุณ คือ การดำเนินชีวิตต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า ‘ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ต่อหน้าพระเจ้า’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ขอให้ตรวจสอบจนแน่ใจว่าชีวิตของคุณมีศูนย์กลางอยู่ที่ความสัมพันธ์รักกับพระเจ้า นี่คือวิธีค้นหา ‘ที่หยุดพัก’ สำหรับ ‘จิตวิญญาณ’ ของคุณ (ข้อ 7)

ความสัมพันธ์นี้มีพื้นฐานมาจากหลาย ๆ ทางที่เราประสบกับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เช่นเดียวกับผู้เขียนสดุดี ผมจำได้ว่าพระเจ้า ‘ทรงฟังเสียงและคำวิงวอนของข้าพเจ้า’ (ข้อ 1) ‘เมื่อข้าพเจ้าตกต่ำ พระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอด’ (ข้อ 6) ‘พระยาห์เวห์ทรงดีต่อข้าพเจ้า’ (ข้อ 7) และวิธีที่พระเจ้า ‘ทรงช่วยข้าพระองค์จากความตาย ช่วยนัยน์ตาข้าพระองค์จากน้ำตา ช่วยเท้าข้าพระองค์จากการสะดุด’ (ข้อ 8) นี่คือพื้นฐานของความปรารถนาของเราที่จะ ‘ดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระยาห์เวห์’ (ข้อ 9)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รักพระองค์ ข้าพระองค์ปรารถนาให้ความทะเยอทะยานของข้าพระองค์ในวันนี้และตลอดชีวิตที่เหลือของข้าพระองค์ที่จะดำเนินอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ในดินแดนของคนเป็น
พันธสัญญาใหม่

ฟีลิปปี 3:1-4:1

ความชอบธรรมที่แท้จริง

 1สุดท้ายนี้ พี่น้องของข้าพเจ้า จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า การเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลายซ้ำอีกไม่ใช่เรื่องลำบากสำหรับข้าพเจ้า และยังเป็นเรื่องปลอดภัยสำหรับท่าน 2จงระวังพวกสุนัข จงระวังพวกที่ทำชั่ว จงระวังพวกเชือดเนื้อเถือหนัง 3เพราะว่าเราต่างหากที่เป็นพวกเข้าสุหนัต เป็นพวกที่นมัสการโดยพระวิญญาณของพระเจ้า อวดพระเยซูคริสต์ และไม่ไว้ใจในเนื้อหนัง 4แม้ว่าข้าพเจ้าเองก็มีเหตุที่จะไว้ใจในเนื้อหนังด้วย ถ้าคนอื่นคิดว่าเขามีเหตุที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง ข้าพเจ้าก็มีมากยิ่งกว่านั้นอีก 5ข้าพเจ้าเข้าสุหนัตในวันที่แปดที่คลอดมา เป็นชนชาติอิสราเอล อยู่ในเผ่าเบนยามิน เป็นชาวฮีบรูที่เกิดจากคนฮีบรู ในด้านธรรมบัญญัติก็อยู่ในคณะฟาริสี 6ในด้านความกระตือรือร้นก็ได้ข่มเหงคริสตจักร ในด้านความชอบธรรมตามธรรมบัญญัติก็ไม่มีที่ติ 7แต่ว่าอะไรที่เคยเป็นกำไรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ถือว่าสิ่งนั้นเป็นการขาดทุนแล้วเพราะเหตุพระคริสต์ 8ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าถือว่าทุกสิ่งเป็นการขาดทุน เพราะเหตุคุณค่าอันสูงยิ่งของการได้รู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ข้าพเจ้ายอมขาดทุนทุกอย่าง และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนเศษขยะเพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์เป็นกำไร 9และจะได้เห็นว่าข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมที่ได้มาจากธรรมบัญญัติ มีแต่ที่ได้มาโดยความเชื่อในพระคริสต์ คือความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้าโดยความเชื่อ 10ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ คือ ฤทธิ์เดชแห่งการคืนพระชนม์ของพระองค์และรู้จักการมีส่วนร่วมในความทุกข์ของพระองค์ และเป็นเหมือนกับพระองค์ในความตายนั้น 11ทั้งมุ่งหวังที่จะได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย

บากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย

 12ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าได้รับแล้ว หรือดีพร้อมแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปเพื่อที่จะฉวยไว้เพราะสิ่งที่เป็นเหตุให้พระเยซูคริสต์ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้ 13พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมา แล้วโน้มตัวไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า 14และข้าพเจ้าบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัลคือการทรงเรียกแห่งเบื้องบนซึ่งมีในพระเยซูคริสต์ 15เพราะฉะนั้น เราที่เป็นผู้ใหญ่แล้วจงคิดอย่างนี้ และถ้าพวกท่านคิดอีกอย่างหนึ่ง พระเจ้าก็จะทรงให้เรื่องนี้ประจักษ์แก่ท่านด้วย 16อย่างไรก็ตาม เราได้แค่ไหนแล้ว ก็จงดำเนินตามนั้นต่อไป
 17พี่น้องทั้งหลาย จงร่วมกันทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า ท่านมีเราเป็นตัวอย่างแล้ว จงสังเกตดูคนเหล่านั้นที่ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างที่เราวางไว้ให้พวกท่านนั้น 18เพราะว่ามีหลายคนที่ดำเนินชีวิตเป็นศัตรูต่อกางเขนของพระคริสต์ ซึ่งข้าพเจ้าเคยบอกท่านถึงเรื่องของพวกเขาเสมอ และเวลานี้บอกอีกด้วยน้ำตาไหล 19ปลายทางของพวกเขาคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะอาหาร เขาโอ้อวดในสิ่งที่น่าอับอายของพวกเขา พวกเขาคิดแต่เรื่องทางโลก 20แต่เราเป็นพลเมืองแห่งสวรรค์ และเรารอคอยผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า 21พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงร่างกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายของพระองค์ที่เต็มด้วยพระรัศมี ตามพลังอำนาจที่ทำให้พระองค์สามารถให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของพระองค์

ฟีลิปปี 4

1เพราะฉะนั้นพี่น้องของข้าพเจ้า ผู้เป็นที่รัก เป็นที่ปรารถนาอย่างยิ่ง เป็นที่ยินดี และเป็นมงกุฎของข้าพเจ้า ท่านที่รักทั้งหลาย จงยืนหยัดมั่นคงเช่นนี้ในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

อรรถาธิบาย

จงทะเยอทะยานเพื่อพระคริสต์

บางครั้งคริสเตียนสงสัยว่าการมีความทะเยอทะยานนั้นถูกต้องหรือไม่ พวกเขาเชื่อมโยงความทะเยอทะยานกับความเย่อหยิ่ง และคิดว่าความอ่อนน้อมถ่อมตนหมายถึงไม่ทะเยอทะยาน

อย่างไรก็ตาม เปาโลมีความทะเยอทะยานอย่างแรงกล้า ก่อนที่จะเป็นคริสเตียน เปาโลมีความทะเยอทะยานในความเชื่อของชาวยิว อันนำไปสู่ความปรารถนาที่จะข่มเหงคริสตจักร หลังจากที่กลับใจใหม่ ท่านไม่ได้สูญเสียความทะเยอทะยาน แต่ทิศทางของมันเปลี่ยนไป ถ้ามีสิ่งใดขัดขวาง เขาจะยิ่งทะเยอทะยานมากขึ้นอีก ท่านอธิบายตัวเองในข้อนี้ว่าเป็นเหมือนนักกีฬาที่หมดหวังที่จะชนะการแข่งขัน (3:13–14)

เปาโลเปรียบเทียบความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ของท่านที่มีต่อพระเยซูกับความทะเยอทะยานผิด 2 ประการ ประการแรก คือ ความทะเยอทะยานของท่านเองก่อนที่เขาจะมาเป็นคริสเตียน โดยอธิบายว่าท่านวางใจในเนื้อหนังอย่างไร ('สิทธิพิเศษ ข้อได้เปรียบและรูปลักษณ์ภายนอก’, ข้อ 3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) โดยวางใจมาตรฐานต่าง ๆ ในความเชื่อเดิม (ข้อ 3–6) แต่อย่างที่ คาร์ล บาร์ธ นักศาสนศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า ‘พระเยซูคริสต์เสด็จมาเพื่อทำลายความเชื่อของมนุษย์’

พระเจ้าต้องการให้คุณมีความมั่นใจ แต่ไม่ใช่ ‘ในเนื้อหนัง’ แต่ความมั่นใจของคุณควรอยู่ในพระเจ้าเท่านั้น ความรักและการจัดเตรียมของพระองค์ ความทะเยอทะยาน และความกระตือรือร้นทางความเชื่อของเปาโลนำไปผิดทาง ท่านจบลงด้วยการ ‘ข่มเหงคริสตจักร’ (ข้อ 6)

ความทะเยอทะยานผิดๆ ประการที่สอง คือ วัตถุและจุดสนใจของโลกจำนวนมากรอบตัวเรา ‘พระเจ้าของพวกเขาคือท้องของพวกเขา [‘ความอยากอาหารของพวกเขา, ความเย้ายวนของพวกเขา’, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล] และสง่าราศีของพวกเขาอยู่ในความอัปยศ จิตใจของพวกเขาอยู่ที่โลก’ (ข้อ 19)

ตอนนี้เปาโลทะเยอทะยานในพระเจ้า ท่านบรรยายถึงความล้ำเลิศของการรู้จัก ‘พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า’ (ข้อ 8) และความทะเยอทะยานที่หลั่งไหลออกมา (ข้อ 8–11)

เปาโลตระหนักว่าตนเองไม่สามารถบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบได้ ความทะเยอทะยานทั้งหมดของตนที่จะบรรลุ ‘ความชอบธรรมด้วยตัวเอง’ ตอนนี้เขาจึงนับว่าเป็น ‘ขยะ’ (ข้อ 9) เช่นเดียวกับเปาโล จงชื่นชมยินดีกับข้อเท็จจริงที่ว่า โดยการไว้วางใจในพระคริสต์ ตอนนี้คุณเองก็ได้รับ ‘ความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้าและโดยความเชื่อ’ (ข้อ 9) เช่นเดียวกัน

เราจะไม่มีวันบรรลุความสมบูรณ์แบบในชีวิตนี้ ความอ่อนแอของเราทำให้เราไว้วางใจพระเจ้า พึ่งพาพระองค์ในความรักและพระคุณของพระองค์

ความทะเยอทะยานของคุณควรเป็นแบบไหน?

1. รู้จักพระคริสต์อย่างใกล้ชิด
ความทะเยอทะยานของเปาโลคือการ ‘รู้จักพระคริสต์’ (ข้อ 10) คำภาษากรีกสำหรับ ‘รู้’ มีความหมายมากกว่าความรู้ทางปัญญา หรือการรู้จักสิ่งต่าง ๆ แต่เป็นความรู้จักส่วนตัวเช่นเดียวกับเปาโล จงสร้างความทะเยอทะยานของคุณไม่ใช่แค่การรู้เกี่ยวกับพระคริสต์ แต่เพื่อรู้จักพระองค์อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น

2. มีประสบการณ์ในพลังแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์
เปาโลอธิบายว่า ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระคริสต์มีหน้าตาเป็นอย่างไร หมายถึงการรู้จัก ‘ฤทธิ์เดชแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์’ (ข้อ 10) ไม่ใช่แค่เพียงเหตุการณ์ในอดีตเท่านั้น แต่ยังหมายถึงพลังที่เปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น และมีชีวิตชีวาที่ทำงานในชีวิตของคุณด้วย

พระวิญญาณของพระเจ้านำพลังการฟื้นคืนพระชนม์มาสู่ชีวิตของคุณ โดยการตายและการเป็นขึ้นของพระองค์ พระเยซูทรงปลดอาวุธของซาตาน ทำลายบาปและมีชัยชนะเหนือความตาย พลังนี้มีให้คุณเพื่อให้คุณมีชีวิตที่บริสุทธิ์และปรนนิบัติผู้อื่นด้วยพลังแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ ทำให้ความทะเยอทะยานของคุณที่จะรู้จักพลังนั้นมากขึ้นและมากขึ้น

3. ร่วมทนทุกข์กับพระเยซูคริสต์
สำหรับเปาโล ‘การรู้จักพระเยซูคริสต์’ เกี่ยวข้องกับ ‘การมีส่วนร่วมในความทุกข์ของพระองค์ และเป็นเหมือนกับพระองค์ในความตายนั้น’ (ข้อ 10) ท่านมองว่าความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของการรู้จักพระคริสต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นสิทธิพิเศษ

การทนทุกข์และการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูนั้นแตกต่างจากของเราตรงที่พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา เพื่อช่วยเราให้รอดจากสิ่งที่เราสมควรได้รับ คุณจะไม่มีวันทนทุกข์อย่างที่พระองค์ทำ แต่บางครั้งคุณจะต้องทนทุกข์เพื่อความทะเยอทะยานของคุณในทางพระเจ้า

ความทุกข์ทรมานนี้เป็นผลจากชีวิตคริสเตียนของเรา สำหรับบางคน นี่จะหมายถึงการข่มเหงอย่างรุนแรง

สำหรับเราทุกคน สิ่งนี้รวมถึง ‘ความเจ็บปวดและความทุกข์ทั้งหมด... ในการต่อสู้กับบาปไม่ว่าจะภายในหรือไม่มีก็ตาม’ (เจ บี ไลท์ฟุทท์) ในช่วงเวลาแห่งความทนทุกข์นี้เรามี ‘ส่วนร่วม’ กับพระคริสต์ จงมีส่วนร่วมในทะเยอทะยานของคุณไม่ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเท่าไร

4. รู้จุดหมายปลายทางของคุณ
การรู้จักพระคริสต์หมายถึงการมีส่วนในพระองค์ ‘อย่างไรก็ตาม เพื่อจะได้เป็นขึ้นจากความตาย’ (ข้อ 11) เมื่อเปาโลพูดว่า ‘อย่างไร’ ท่านไม่ได้สงสัยในความหวังนี้ แต่ยอมรับว่านี่เป็นความล้ำลึกที่ยอดเยี่ยม

แจ๊คกี้ พูลลิงเกอร์ กล่าวว่า พระเจ้าประทาน ‘ดวงตาแห่งการฟื้นคืนชีพ’ ให้เธอ เธอกล่าวว่า ‘พระเยซูเท่านั้นที่มีสายตาที่เปิดออก... แต่ทุกคนที่เชื่อในการฟื้นคืนพระชนม์จะรู้ว่าปลายทางของพวกเขาคือดินแดนแห่งความสุขใจ คือประเทศที่ดีกว่า คือแผ่นดินสวรรค์’

เปาโลบอกว่าเขายังไม่ได้ไปที่นั่น แต่นี่เป็นเป้าหมาย และความทะเยอทะยานของท่าน (ข้อ 12) ‘ข้าพเจ้าจับตาดูเป้าหมาย’ (ข้อ 14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อย่าเพ่งเล็งไปที่อดีต คุณล้มมาไกลแค่ไหน ความล้มเหลวของคุณ หรือแม้แต่ความสำเร็จของคุณ แทนที่จะ ‘ลืมสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง’ ให้จดจ่ออยู่กับพระเยซู มีใจเดียว มุ่งไปข้างหน้า และตอบสนองต่อการเรียกของพระองค์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ทะเยอทะยานอย่างถูกต้อง โปรดช่วยข้าพระองค์ให้จดจ่ออยู่กับ ‘ความยิ่งใหญ่ที่เหนือชั้นของการรู้จักพระเยซูคริสต์ ​องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์’ (ข้อ 8)
พันธสัญญาเดิม

เยเรมีย์ 4:10-5:31

10แล้วข้าพเจ้าจึงทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย พระองค์ทรงล่อลวงชนชาตินี้ และกรุงเยรูซาเล็มแน่นอนทีเดียว ว่า ‘เจ้าทั้งหลายจะอยู่เย็นเป็นสุข’ แต่ที่จริงดาบได้มาถึงชีวิตของพวกเขา”
11“ในครั้งนั้น เขาจะกล่าวแก่ชนชาตินี้ และแก่กรุงเยรูซาเล็มว่า ‘ลมร้อนจากที่สูงโล่งในถิ่นทุรกันดารพัดมาสู่บุตรีประชากรของเราหมายถึง ประชาชนของพระเจ้า ไม่ใช่จะมาฝัดหรือมาชำระ 12กระแสลมแรงเกินแก่การเหล่านี้พัดมาเพื่อเรา เราเองเป็นผู้กล่าวคำพิพากษาพวกเขา’
13“นี่แน่ะ เขาขึ้นมาเหมือนเมฆ
 รถรบของเขาเหมือนลมบ้าหมู
ม้าทั้งหลายของเขาเร็วยิ่งกว่านกอินทรี
 วิบัติแก่พวกเรา เพราะว่าเราจะต้องพินาศ
14กรุงเยรูซาเล็มเอ๋ย จงล้างจิตใจของเจ้าให้พ้นจากความชั่วร้าย
 เพื่อเจ้าจะรอดได้
ความคิดชั่วร้ายของเจ้านั้น
 จะสิงอยู่ในใจของเจ้านานสักเท่าใด?
15เพราะว่ามีเสียงป่าวร้องมาจากเมืองดาน
 และประกาศความชั่วร้ายจากภูเขาเอฟราอิม
16จงเตือนบรรดาประชาชาติถึงสิ่งเหล่านี้
 จงประกาศแก่กรุงเยรูซาเล็มว่า
บรรดาผู้ล้อมมาจากแผ่นดินไกล
 พวกเขาโห่ร้องเข้าใส่เมืองต่างๆ ของยูดาห์
17เขาทั้งหลายล้อมรอบยูดาห์ไว้เหมือนผู้ดูแลเฝ้านา
 เพราะว่ายูดาห์ได้กบฏต่อเรา”
 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
18“วิถีและการกระทำทั้งหลายของเจ้า
 ได้นำเรื่องนี้มาเหนือเจ้า
นี่แหละเป็นผลกรรมของเจ้าซึ่งขมขื่น
 และสะเทือนใจของเจ้า”
 ความโศกเศร้าต่อชนชาติที่ประสบหายนะ
19แสนระทม แสนระทม ข้าบิดตัวด้วยความเจ็บปวด
 โอ ผนังดวงใจของข้าเอ๋ย
จิตใจของข้าก็สั่นระรัว
 ข้าจะนิ่งอยู่ไม่ได้
เพราะข้าได้ยินเสียงเขาสัตว์
 เสียงปลุกของสงคราม
20หายนะซ้อนหายนะถูกเร้าขึ้นมา
 แผ่นดินทั้งสิ้นถูกทิ้งร้าง
บรรดาเต็นท์ของข้าถูกทำลายในฉับพลัน
 และชั่วครู่เดียวผ้าเต็นท์ทั้งหลายของข้าก็ย่อยยับไป
21ข้าจะต้องมองดูธง
 และฟังเสียงเขาสัตว์นานสักเท่าใด?
22“เพราะประชากรของเราโง่เขลา พวกเขาไม่รู้จักเรา
 เขาเป็นลูกหลานที่โง่เง่า
เขาไม่มีความเข้าใจ
 เขาช่ำชองในการทำชั่ว
 และเขาไม่รู้จักทำดี”
23ข้าพเจ้ามองดูแผ่นดิน และนี่แน่ะ เป็นที่ร้างและว่างเปล่า
 และมองดูท้องฟ้า ในนั้นก็ไม่มีความสว่าง
24ข้าพเจ้ามองดูภูเขา นี่แน่ะ มันกำลังสั่นสะเทือน
 เนินเขาก็เคลื่อนตัวไปมา
25ข้าพเจ้ามองดู และนี่แน่ะ ไม่มีมนุษย์เลย
 นกทั้งปวงบนท้องฟ้าได้หนีไปแล้ว
26ข้าพเจ้ามองดู และนี่แน่ะ เรือกสวนไร่นาก็เป็นถิ่นทุรกันดาร
 และเมืองทั้งสิ้นก็ปรักหักพังไป
 ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ต่อพระพิโรธร้อนแรงของพระองค์
27เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “แผ่นดินทั้งหมดจะเป็นที่ร้างเปล่า แต่เราก็จะไม่ทำให้ถึงอวสานเสียทีเดียว
28เพราะเรื่องนี้โลกจะไว้ทุกข์
 และท้องฟ้าเบื้องบนจะดำมืด
เพราะเราได้ลั่นวาจาแล้ว เราได้มุ่งหมายไว้แล้ว
 เราจะไม่เปลี่ยนใจหรือหันกลับ”
29เมื่อได้ยินเสียงพลม้าและพลธนู
 ชาวเมืองทุกแห่งก็หนีไป
พวกเขาเข้าไปอยู่ในพงไม้หนาทึบ และปีนป่ายไปตามศิลา
 เมืองทุกแห่งก็ถูกทอดทิ้ง
 และไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้นเลย
30เจ้าผู้ถูกทิ้งร้างเอ๋ย เจ้าทำอะไรกัน?
 ที่เจ้าแต่งตัวสีแดงนั้น
และที่เจ้าประดับตัวด้วยอาภรณ์ทองคำ
 ที่เจ้าขยายดวงตาให้กว้างด้วยแต้มสี
เออ เจ้าแต่งตัวให้งามเสียเปล่า
 คนรักของเจ้าดูหมิ่นเจ้า
 พวกเขาแสวงชีวิตของเจ้า
31เพราะเราได้ยินเสียงเหมือนเสียงหญิงคลอดบุตรร้อง
 แสนเจ็บปวดอย่างกับจะคลอดบุตรหัวปี
เสียงร้องแห่งบุตรีศิโยนนั้นแทบจะขาดใจ
 เหยียดแขนของเธอออกร้องว่า
 “วิบัติแก่ข้า ข้าอ่อนแรงอยู่ต่อหน้าฆาตกร”

เยเรมีย์ 5

ความทุจริตของประชากรของพระเจ้า

1“จงวิ่งไปมาบนถนนในกรุงเยรูซาเล็ม
 จงมองและสังเกต
จงค้นตามลานเมืองดูทีว่า
 จะหาสักคนหนึ่งได้หรือไม่ คือคนที่ทำการยุติธรรม
 และแสวงหาความจริง
 เพื่อเราจะได้อภัยโทษให้แก่เมืองนั้น
2แม้พวกเขากล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด’
 เขาก็ยังสาบานเท็จ”
3“ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเนตรของพระองค์ทรงหาความสัตย์จริงไม่ใช่หรือ?
 พระองค์ทรงเฆี่ยนตีเขาทั้งหลาย
แต่เขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด
 พระองค์ทรงล้างผลาญเขา
แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะรับการแก้ไข
 เขาได้ทำให้หน้าของตนกระด้างยิ่งกว่าหิน
 เขาปฏิเสธที่จะหันกลับ”
4แล้วข้าพเจ้าทูลว่า “คนเหล่านี้เป็นแต่ผู้น้อย
 เขาไม่มีความคิด
เพราะเขาไม่รู้จักพระมรรคาของพระยาห์เวห์
 ไม่รู้จักพระบัญญัติของพระเจ้าของเขา
5ข้าพระองค์จะไปหาพวกผู้ใหญ่
 และจะพูดกับพวกเขา
เพราะเขารู้จักพระมรรคาของพระยาห์เวห์
 และรู้จักพระบัญญัติของพระเจ้าของเขา”
แต่พวกเขาทุกคนก็ได้หักแอกเสีย
 เขาได้ทำลายโซ่ตรวนเสีย
6เพราะฉะนั้น สิงห์จากป่าจะมาสังหารเขา
 สุนัขป่าจากที่ราบแห้งแล้งจะทำลายเขา เสือดาวเฝ้าเมืองทั้งหลายของเขา
 ทุกคนที่ไปจากเมืองเหล่านั้นจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
เพราะการละเมิดของเขาก็มากมาย
 ความไม่ซื่อสัตย์ของเขาก็ใหญ่โต
7“เราจะให้อภัยเจ้าได้อย่างไร?
 ลูกหลานของเจ้าได้ละทิ้งเราแล้ว และได้สาบานโดยผู้ที่ไม่ใช่พระเจ้า
เมื่อเราเลี้ยงเขาให้อิ่ม เขาก็ล่วงประเวณี
 แล้วชุมนุมกันที่บ้านของหญิงแพศยา
8พวกเขาเหมือนม้าผู้ที่อิ่มหนำและกลัดมัน
 ทุกคนต่างร้องหาภรรยาของเพื่อนบ้านของตน
9เพราะสิ่งเหล่านี้เราจะไม่ลงโทษเขาหรือ?”
 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
 “และเราไม่ควรจะแก้แค้นชนชาติที่เป็นอย่างนี้หรือ?”
10“ไปเถอะ ไปตามแถวต้นองุ่นของมันและทำลายเสีย
 แต่อย่าให้ถึงอวสานเสียทีเดียว
ตัดกิ่งก้านของมันออก
 เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้เป็นของพระยาห์เวห์
11เพราะพงศ์พันธุ์ของอิสราเอล และพงศ์พันธุ์ของยูดาห์
 ได้ทรยศต่อเราอย่างสิ้นเชิงแล้ว”
 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
12เขาทั้งหลายพูดมุสาในเรื่องพระยาห์เวห์
 และได้กล่าวว่า “พระองค์จะไม่ทรงกระทำอะไร
ไม่มีการร้ายใดจะเกิดขึ้นกับเรา
 เราจะไม่เห็นดาบหรือการกันดารอาหาร”
13ผู้เผยพระวจนะก็จะเป็นเพียงลม
 พระวจนะไม่มีในคนเหล่านั้น
 ขอให้เป็นอย่างนั้นแก่พวกเขาเถิด
14เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพจึงตรัสดังนี้ว่า
 “เพราะพวกเขากล่าวถ้อยคำเหล่านี้
นี่แน่ะ เราจะทำถ้อยคำของเราที่อยู่ในปากของเจ้าให้เป็นไฟ
 และประชาชนนี้เป็นฟืน และไฟนั้นจะเผาผลาญเขาเสีย
15ดูสิ คนอิสราเอลเอ๋ย
 เราจะนำชนชาติจากแดนไกลมาสู้เจ้าทั้งหลาย
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
 เป็นชนชาติที่มั่นคง
เป็นชนชาติดึกดำบรรพ์
 เป็นชนชาติที่เจ้าไม่รู้ภาษาของเขา
 เขาจะพูดอะไร เจ้าก็ไม่เข้าใจ
16แล่งธนูของเขาเหมือนหลุมฝังศพ
 ทุกคนเป็นนักรบ
17เขาจะกินสิ่งซึ่งเจ้าเกี่ยวได้ และกินอาหารของเจ้า
 เขาจะกินบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้า
เขาจะกินฝูงแกะฝูงโคของเจ้า
 เขาจะกินเถาองุ่นและต้นมะเดื่อของเจ้า
เขาจะใช้ดาบทำลายบรรดาเมืองที่มีป้อมของเจ้า
 ซึ่งเจ้าวางใจนั้น”
 18พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “ถึงแม้ในวันเหล่านั้น เราก็ยังไม่ทำให้เจ้าถึงอวสาน 19และเมื่อพวกเจ้ากล่าวว่า ‘ทำไมพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทั้งหลายจึงทรงทำสิ่งเหล่านี้แก่เรา?’ เจ้าจงกล่าวแก่เขาว่า ‘เพราะเจ้าได้ละทิ้งเราไปปรนนิบัติพระต่างด้าวในแผ่นดินของเจ้า เพราะฉะนั้น เจ้าจะต้องไปปรนนิบัติคนต่างชาติในแผ่นดินซึ่งไม่ใช่ของเจ้า’ ”
20“จงป่าวร้องข้อความต่อไปนี้ในวงศ์วานยาโคบ
 จงประกาศเรื่องนี้ในยูดาห์
21“ประชาชนที่โง่เขลาและไร้ความคิดเอ๋ย
 ผู้มีตา แต่มองไม่เห็น
ผู้มีหู แต่ฟังไม่ได้ยิน
 จงฟังข้อความนี้
22เจ้าไม่ยำเกรงเราหรือ?”
 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
“เจ้าไม่ตัวสั่นอยู่ต่อหน้าเราหรือ?
 คือเราผู้วางกองทรายไว้เป็นเขตล้อมทะเล
เป็นเครื่องกีดขวางเป็นนิตย์ไม่ให้ผ่านไปได้
 แม้ว่าคลื่นจะซัด ก็เอาชนะไม่ได้  แม้ว่าคลื่นจะคะนอง ก็ข้ามไปไม่ได้
23แต่ประชาชนเหล่านี้มีใจดื้อดึงและกบฏ
 เขาได้หันเหและจากไปเสีย
24พวกเขาไม่ได้คิดในใจของตนว่า
 ‘ให้เรายำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา
ผู้ประทานฝนตามฤดูของมัน
 คือฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดู
และทรงรักษา
 กฎเกณฑ์ของสัปดาห์แห่งการเก็บเกี่ยวไว้ให้เรา’
25ความผิดบาปของเจ้าได้ทำให้สิ่งเหล่านี้หันเหไปเสีย
 และบาปของพวกเจ้าก็กันความดีไว้เสียจากเจ้า
26เพราะจะพบคนอธรรมท่ามกลางประชากรของเรา
 เขาซุ่มคอยเหมือนคนดักนกซุ่มอยู่
เขาวางกับไว้
 เขาดักจับคน
27เหมือนกรงที่เต็มไปด้วยนก
 บ้านของพวกเขาก็เต็มด้วยการทรยศ
 เพราะฉะนั้น เขาจึงใหญ่โตและมั่งมี
28เขาจึงตัวอ้วนอ่อนนิ่ม
 ในเรื่องทำชั่วเขาล้ำหน้า
เขาไม่ได้ตัดสินด้วยความยุติธรรม
 ในคดีของลูกกำพร้า เพื่อให้คดีนั้นก้าวหน้า
 เขาไม่ได้ป้องกันสิทธิของคนขัดสน
29เพราะสิ่งเหล่านี้เราจะไม่ลงโทษเขาหรือ?”
 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
 “และไม่ควรที่เราจะแก้แค้นประชาชาติที่เป็นอย่างนี้หรือ?
30“สิ่งน่าหวาดหวั่นและน่ากลัว
 ได้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้
31คือผู้เผยพระวจนะได้เผยพระวจนะเท็จ
 และบรรดาปุโรหิตก็ปกครองตามอำนาจของตน
และประชากรของเราก็ชอบแบบนี้
 แต่พวกเจ้าจะทำอย่างไรเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง?”

อรรถาธิบาย

จงทะเยอทะยานที่จะกล่าวพระวจนะของพระเจ้า

พระเจ้าตรัสผ่านเยเรมีย์และตรัสว่า 'เพราะประชากรของเราโง่เขลา พวกเขาไม่รู้จักเรา..เขาช่ำชองในการทำชั่ว และพวกเขาไม่รู้ว่าจะทำความดีอย่างไร’ (4:22) เขาเตือนว่าการพิพากษากำลังมาถึงเพราะผู้คนมุ่งความทะเยอทะยานไปในทิศทางที่ผิด

เยเรมีย์คิดว่าผู้นำจะต้องรู้วิธีที่ถูกต้องแน่นอน ‘ข้าพระองค์จะไปหาพวกผู้ใหญ่ และจะพูดกับพวกเขา เพราะเขารู้จักพระมร​คาของพระยาห์เวห์ และรู้จักพระบัญญัติของพระเจ้าของเขา’ (5:5) แต่พวกเขา ‘ปฏิเสธที่จะกลับใจ’ เช่นเดียวกับประชาชน (ข้อ 3ค) ความทะเยอทะยานของพวกเขามุ่งหาเทพเจ้าจอมปลอมแห่งเงิน เพศ และอำนาจ

พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถตอบสนองความต้องการส่วนลึกที่สุดของเราได้ (ข้อ 7ข) พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเจ้าตรัสกับพวกเขาว่า ‘เราจัดหาสิ่งจำเป็นทั้งหมดให้กับพวกเขา แต่พวกเขาก็ล่วงประเวณีและถูกรุมเร้าไปที่บ้านของหญิงแพศยา เป็นเหมือนม้าพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่มีอาหารดี มีกำลังวังชา ต่าง ​ร้องหาภรรยาของเพื่อนบ้านของตน’ (ข้อ 7ข–8)

เขาพูดต่อไปว่าบ้านของพวกเขาเต็มไปด้วยการหลอกลวง พวกเขา ‘ใหญ่โตและมั่งมี เขาจึงตัวอ้วนอ่อนนิ่ม’ (ข้อ 27–28ก) แม้ว่าพวกเขาจะร่ำรวยและมีอำนาจ แต่พวกเขาก็ไม่สนใจคนยากจน ‘ความถูกและความผิดไม่มีความหมายสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่ได้ยืนหยัดเพื่อใคร พวกเขาโยนเด็กกำพร้าให้เป็นเหยื่อของหมาป่า หาประโยชน์จากคนยากจน’ (ข้อ 28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พระเจ้าทรงเรียกเยเรมีย์ให้เปี่ยมด้วยคำพูดที่ทรงพลัง ‘เราจะใส่คำพูดของเราเป็นไฟในปากของเจ้า’ (5:14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) คุณเองก็สามารถมีประสบการณ์ในการกล่าวพระวจนะอันทรงพลังที่เปลี่ยนแปลงชีวิตคนรอบข้าง

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอถ้อยคำในปากของข้าพระองค์เป็นเหมือนไฟ เพื่อคนอื่น ๆ จะได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่อันหาที่สุดมิได้ของการรู้จักพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ฟีลิปปี 3:13ข

‘ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมา แล้วโน้มตัวไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า...’

เป็นสิ่งสำคัญที่จะไม่ถูกขัดขวางโดยอดีตไม่ว่าในทางใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลว และความผิดหวัง หรือความสำเร็จซึ่งอาจทำให้เรามั่นใจมากเกินไป แทนที่จะทำเช่นนั้น เราต้องจับตาดูที่พระเยซู

ข้อพระคำประจำวัน

(สดุดี 116:1)

ข้าพเจ้ารักองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงฟังเสียงข้าพเจ้า พระองค์ทรงได้ยินเสียงร้องทูลขอความเมตตาจากข้าพเจ้า

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม