พระเจ้าทรงแสนดี และพระองค์ทรงโปรดปรานคุณ
เกริ่นนำ
‘ข้อเท็จจริงที่ดูเหมือนไร้สาระนี้ปฏิวัติชีวิตผม' เอเดรียน พลาส ผู้เขียนหนังสือชื่อ The Sacred Diary of Adrian Plass Aged 37¾ เขาได้เขียนไว้ และยังมีต่อว่า ‘ผมมาเป็นคริสเตียนเมื่ออายุ 16 ปี แต่รอจนกระทั่งอายุ 37 ปีนั่นแหละ ผมค่อยซึมซับความจริงที่สำคัญว่า พระเจ้าทรงแสนดีและพระองค์ทรงโปรดปรานผม’
น่าเศร้า ที่ลึก ๆ หลายคนคิดว่าพระเจ้าไม่ดี หรือพระองค์ไม่ชอบพวกเรานัก และเชื่อไปว่าพระองค์ใช้เวลาส่วนใหญ่โดยไม่ได้ใส่ใจเรา นี่ไม่ใช่เรื่องจริง
ในข้อพระคัมภีร์สำหรับวันนี้ เราจะได้เห็นมากกว่าพระเจ้าทรง ‘แสนดี’ เพียงใด พระองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความดีงาม พระองค์ทรงมีความรักอันอัศจรรย์และสัตย์ซื่อ พวกเรายังได้เห็นว่าพระองค์ไม่เพียง ‘โปรดปราน’ คุณเท่านั้น แต่พระองค์ทรงรักคุณ เพราะคุณเป็นลูกที่ ‘มีค่าและได้รับเกียรติ’ ในสายพระเนตรของพระองค์ (อิสยาห์ 43:4)
สดุดี 108:1-5
คำสรรเสริญและคำอธิษฐานขอชัยชนะ
บทเพลงสดุดีของดาวิด
1ข้าแต่พระเจ้า ใจของข้าพระองค์มั่นคง
ข้าพระองค์จะร้องเพลง ข้าพระองค์จะเล่นดนตรีสดุดี
ด้วยจิตใจของข้าพระองค์
2พิณใหญ่และพิณเขาคู่เอ๋ย จงตื่นเถิด
ข้าจะปลุกอรุณ
3ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จะยกย่องพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย
ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระองค์ท่ามกลางชาวประเทศทั้งหลาย
4เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ใหญ่ยิ่งเหนือฟ้าสวรรค์
ความซื่อสัตย์ของพระองค์สูงถึงเมฆ
5ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเป็นที่ยกย่องเหนือฟ้าสวรรค์
ขอพระสิริของพระองค์อยู่ทั่วทั้งแผ่นดินโลก
อรรถาธิบาย
สูงกว่ากัลปักศจักรวาลท้ังปวง
นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้ค้นพบความเวิ้งว้างอันกว้างใหญ่ของจักรวาลมากขึ้น - สวรรค์นั้นอยู่สูงเพียงใดกันนะ
ถึงกระนั้น ความรักที่พระเจ้ามีต่อคุณนั้นยิ่งใหญ่จริง ๆ สูงกว่าสวรรค์ใด ๆ ‘ความซื่อสัตย์ของพระองค์สูงถึงเมฆ’ (ข้อ 4) ‘ยิ่งรักยิ่งลึกซึ้ง’ (ข้อ 4 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ดาวิดนมัสการพระเจ้าด้วยเสียงดนตรีและขับร้องในตอนเช้า ‘ข้าจะปลุกอรุณ’ (ข้อ 2ข) จดจ่อการนมัสการของคุณในวันนี้บนความรักและความสัตย์ซื่อของพระเจ้า
คำอธิษฐาน
กาลาเทีย 3:26-4:20
26เพราะว่าพวกท่านทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27เพราะว่าพวกท่านทุกคนที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระคริสต์แล้ว ก็ได้สวมชีวิตของพระคริสต์ด้วย 28จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระเยซูคริสต์ 29และถ้าท่านทั้งหลายเป็นของพระคริสต์แล้ว ท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม คือเป็นทายาทตามพระสัญญา
กาลาเทีย 3
ธรรมบัญญัติหรือความเชื่อ
1โอ ชาวกาลาเทียคนเขลา ใครสะกดดวงจิตของพวกท่านให้เห็นผิดไปได้? ทั้งๆ ที่ภาพการถูกตรึงของพระเยซูคริสต์ได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านแล้ว 2ข้าพเจ้าใคร่รู้ข้อเดียวจากท่านว่า ท่านได้รับพระวิญญาณโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ หรือได้รับโดยความเชื่อตามที่ได้ฟัง? 3ท่านทั้งหลายเขลาถึงเพียงนั้นทีเดียวหรือ? พวกท่านเริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ แต่จะจบลงด้วยเนื้อหนังกระนั้นหรือ? 4ท่านทั้งหลายได้รับประสบการณ์มากมายโดยไร้ประโยชน์หรือ? ถ้าเป็นการไร้ประโยชน์จริงๆ แล้วหมายความว่า ที่จริงมีประโยชน์มาก 5พระองค์ผู้ประทานพระวิญญาณแก่ท่านทั้งหลาย และทรงสำแดงฤทธานุภาพท่ามกลางพวกท่าน ทรงทำเช่นนั้นโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ หรือโดยความเชื่อของพวกท่านตามที่ได้ฟัง?
6อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรมอย่างไร 7ขอให้รู้เถิดว่าเหล่าชนแห่งความเชื่อเป็นบุตรของอับราฮัมอย่างนั้น 8และพระคัมภีร์นั้นรู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงให้คนต่างชาติเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า ชนทุกชาติจะได้รับพรเพราะเจ้า 9เพราะฉะนั้น คนที่เชื่อจึงได้รับพรร่วมกับอับราฮัมผู้ซึ่งเชื่อ
10เพราะว่าคนทั้งหลายซึ่งพึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า“ทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง” 11เป็นที่แน่ชัดว่า ไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าด้วยธรรมบัญญัติได้เลย เพราะว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ” 12แต่ธรรมบัญญัติไม่ได้อาศัยความเชื่อ เพราะผู้ที่ประพฤติตาม ธรรมบัญญัติ ก็จะมีชีวิตอยู่โดยธรรมบัญญัตินั้น 13พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นการสาปแช่งแห่งธรรมบัญญัติ โดยการทรงถูกสาปแช่งเพื่อเรา (เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ทุกคนที่ถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้องถูกสาปแช่ง”) 14เพื่อพรของอับราฮัมจะได้มาถึงบรรดาคนต่างชาติ ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญาโดยความเชื่อ
ธรรมบัญญัติและพระสัญญา
15พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างจากชีวิตจริงสักเรื่องหนึ่ง ถึงแม้เป็นพันธสัญญาของมนุษย์ เมื่อได้รับรองกันแล้ว ไม่มีใครจะล้มเลิกหรือเพิ่มเติมขึ้นอีก 16บรรดาพระสัญญาที่ได้ประทานไว้แก่อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของท่านนั้น ไม่ได้ตรัสว่า “และแก่พงศ์พันธุ์ทั้งหลาย” เหมือนอย่างกับประทานแก่คนหลายคน แต่เหมือนกับประทานแก่คนผู้เดียวคือ “แก่พงศ์พันธุ์ของท่าน” นั่นคือพระคริสต์ 17ข้าพเจ้าว่าธรรมบัญญัติซึ่งมาภายหลังถึงสี่ร้อยสามสิบปี จะทำให้พันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงตั้งไว้เมื่อก่อนนั้นเป็นโมฆะไม่ได้ 18เพราะว่าถ้าได้รับมรดกโดยธรรมบัญญัติ ก็ไม่ใช่ได้โดยพระสัญญาอีกต่อไป แต่พระเจ้าประทานมรดกนั้นให้แก่อับราฮัมโดยพระสัญญา
19ถ้าเช่นนั้น มีธรรมบัญญัติไว้ทำไม? ที่เพิ่มธรรมบัญญัติก็เพราะการละเมิด จนกว่าพงศ์พันธุ์ตามพระสัญญานั้นจะมาถึง พวกทูตสวรรค์ได้ตั้งธรรมบัญญัตินั้นไว้โดยมือของคนกลาง 20ที่จริงคนกลางไม่ได้เป็นตัวแทนของฝ่ายเดียว แต่พระเจ้าทรงเป็นหนึ่ง
ทาสกับบุตร
21ถ้าเช่นนั้นธรรมบัญญัติขัดแย้งกับพระสัญญาของพระเจ้าหรือ? ไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน เพราะว่าถ้าธรรมบัญญัติที่ถูกตั้งไว้นั้นสามารถให้ชีวิต ความชอบธรรมก็จะมีได้โดยธรรมบัญญัตินั้นจริง 22แต่พระคัมภีร์ได้จองจำทุกคนไว้ในบาป เพื่อพระสัญญาที่ตั้งอยู่บนความเชื่อในพระเยซูคริสต์จะถูกมอบให้แก่บรรดาผู้ที่เชื่อ
23ก่อนที่ความเชื่อมานั้น เราถูกธรรมบัญญัติจองจำไว้ ถูกกักบริเวณไว้จนความเชื่อจะปรากฏ 24เพราะฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงเป็นผู้ควบคุมของเราแปลได้อีกว่า เป็นครูของเรา จนพระคริสต์เสด็จมา เพื่อเราจะถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อ 25แต่เมื่อความเชื่อนั้นได้มาแล้ว เราจึงไม่ได้อยู่ใต้บังคับของผู้ควบคุมอีกต่อไปแล้ว 26เพราะว่าพวกท่านทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27เพราะว่าพวกท่านทุกคนที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระคริสต์แล้ว ก็ได้สวมชีวิตของพระคริสต์ด้วย 28จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระเยซูคริสต์ 29และถ้าท่านทั้งหลายเป็นของพระคริสต์แล้ว ท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม คือเป็นทายาทตามพระสัญญา
กาลาเทีย 4
1ข้าพเจ้าหมายความว่า ตราบใดที่ทายาทยังเป็นเด็กอยู่ เขาก็ไม่ต่างอะไรกับทาสเลย ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งหมด 2แต่เขาก็อยู่ใต้บังคับของผู้ปกครองและพ่อบ้าน จนถึงเวลาที่บิดาได้กำหนดไว้ 3เราก็เหมือนกัน เมื่อเป็นเด็กอยู่ เราก็เป็นทาสอยู่ใต้บังคับของภูตผีที่ครอบงำของจักรวาล 4แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าก็ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ประสูติจากสตรีเพศและทรงถือกำเนิดใต้ธรรมบัญญัติ 5เพื่อจะทรงไถ่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อให้เราได้รับฐานะเป็นบุตร 6และเพราะท่านทั้งหลายเป็นบุตรแล้วพระองค์จึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์ เข้ามาในใจของเราร้องว่า “อับบาเป็นภาษาอาราเมค ที่เด็กๆ ใช้เรียกบิดาของตน ซึ่งแสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนม (พ่อ)” 7เพราะฉะนั้น โดยพระเจ้าท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไปแต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรแล้ว ท่านก็เป็นทายาท
เปาโลห่วงใยชาวกาลาเทีย
8แต่ก่อนนี้ เมื่อท่านทั้งหลายยังไม่รู้จักพระเจ้า พวกท่านเป็นทาสของสิ่งซึ่งโดยสภาพแล้วไม่ใช่เทพเจ้าเลย 9แต่บัดนี้ เมื่อพวกท่านรู้จักพระเจ้าแล้ว หรือที่ถูกก็คือ พระเจ้าทรงรู้จักพวกท่านแล้ว ทำไมท่านทั้งหลายจึงกลับไปหาภูตผีที่ครอบงำของจักรวาลซึ่งอ่อนแอและอเนจอนาถ และอยากจะเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นอีก? 10ท่านทั้งหลายถือวัน เดือน ฤดู และปี 11ข้าพเจ้าเกรงว่าการที่ข้าพเจ้าได้ตรากตรำเพื่อพวกท่านนั้นจะไร้ประโยชน์
12พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าวิงวอนพวกท่านให้เป็นเหมือนข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนพวกท่าน พวกท่านไม่ได้ทำผิดต่อข้าพเจ้าเลย 13ท่านทั้งหลายคงจำได้ว่า เมื่อข้าพเจ้าเริ่มต้นประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกท่านนั้น ก็เป็นเพราะข้าพเจ้าเจ็บป่วยทางกาย 14และแม้ว่าสภาพของข้าพเจ้าจะเป็นการทดลองใจพวกท่าน ท่านทั้งหลายก็ไม่ได้ดูหมิ่นหรือรังเกียจข้าพเจ้าเลย แต่ได้ต้อนรับข้าพเจ้าเหมือนกับว่าเป็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า หรือเหมือนกับองค์พระเยซูคริสต์ 15ความปลื้มใจแปลได้อีกว่า ความสุข หรือ พรของท่านทั้งหลายหายไปไหนเสียแล้ว? เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นพยานให้พวกท่านได้ว่า ถ้าเป็นไปได้ พวกท่านก็คงจะควักตาของท่านทั้งหลายออกให้ข้าพเจ้า 16บัดนี้ ข้าพเจ้าได้กลายเป็นศัตรูของท่านทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าบอกท่านทั้งหลายอย่างตรงไปตรงมาหรือ? 17คนเหล่านั้นเอาอกเอาใจท่านทั้งหลายแต่ไม่ใช่ด้วยความหวังดีเลย พวกเขาอยากจะกีดกันพวกท่าน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เอาอกเอาใจพวกเขา 18การเอาอกเอาใจด้วยความหวังดีก็เป็นการดีตลอดไป ไม่ใช่เฉพาะแต่เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับพวกท่านเท่านั้น 19ลูกน้อยของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าต้องเจ็บครรภ์เพราะท่านทั้งหลายอีก จนกว่าพระคริสต์จะได้ทรงก่อร่างขึ้นในตัวท่าน 20ข้าพเจ้าปรารถนาจะอยู่กับพวกท่านเดี๋ยวนี้ และเปลี่ยนน้ำเสียงของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีข้อสงสัยในตัวท่านทั้งหลาย
อรรถาธิบาย
ยิ่งใหญ่กว่าความรักใดของมนุษย์
ลองนึกภาพความรักของมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก สำหรับบางคนอาจเป็นความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก กระนั้น ความรักที่พระเจ้ามีต่อคุณยิ่งใหญ่กว่า
เมื่อคุณเชื่อในพระเยซู คุณก็กลายเป็นลูกของพระเจ้าเช่นกัน: ‘เพราะว่าพวกท่านทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์’ (3:26) พวกเรารับบัพติศมาในพระคริสต์ คุณได้สวมชีวิตของคุณในพระคริสต์ (ข้อ 27) นี่คือวิธีที่ความสัมพันธ์ของคุณกับพระเยซูได้ใกล้ชิดกันมากขนาดนี้
ในพระคริสต์ ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ยศ หรือเพศ: ‘ไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน’ (ข้อ 28) เรา ‘เท่าเทียมกัน...เมื่อทั้งหมดอยู่ในความสัมพันธ์ร่วมกับพระเยซูคริสต์’ (ข้อ 28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับการเลือกปฏิบัติ อคติ หรือความเกลียดชัง อาจารย์เปาโลไม่ได้บอกปราศจากซึ่งความแตกต่าง แต่เขากล่าวว่าความแตกต่างเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
คุณเป็นของพระคริสต์ คุณเป็นทายาทของพระสัญญาที่น่าอัศจรรย์ทั้งหมดที่พระเจ้าทำกับอับราฮัม (ข้อ 29) ตอนนี้คุณได้รับมรดก ‘ทรัพย์สมบัติทั้งหมด’ (4:1)
เปาโลใช้การเปรียบเทียบจากกฎหมายโรมัน ในสมัยของกรุงโรมโบราณ ทายาทต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของครูพี่เลี้ยงที่ได้รับเลือกจากบิดาของเขาจนกระทั่งอายุได้สิบสี่ปี เมื่อถึงตอนนั้นเด็กจะถูกปฏิบัติไม่ต่างจากทาส โดยปกติทายาทเหล่านี้จะเป็นอิสระเมื่ออายุสิบสี่ปี เปาโลอธิบายว่าขณะที่ประชากรของพระเจ้าอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติของโมเสส มันราวกับว่าอยู่ภายใต้อำนาจครูพี่เลี้ยง ในรูปแบบของการตกเป็นทาส (ข้อ 3)
แต่ตอนนี้ พระเยซูคริสต์ได้ปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระ: ‘ดังนั้นเราจึงได้รับอิสระที่จะได้สัมผัสกับมรดกอันชอบธรรมของเรา ท่านสามารถบอกได้อย่างแน่นอนว่าตอนนี้ท่านได้ถูกรับเลี้ยงเป็นบุตรของพระเจ้า พระเจ้าส่งพระวิญญาณของพระบุตรเข้ามาในชีวิตของเรา ร้องได้เลยถึง ‘ปาป๊า! คุณพ่อ!’ สิทธิการสนทนาใกล้ชิดกับพระเจ้าไม่ใช่หรือทำให้ท่านเห็นชัดเจนว่าท่านไม่ใช่ทาส แต่เป็นลูก ใช่ไหม และถ้าท่านเป็นลูก ท่านก็ยังเป็นทายาทด้วย สามารถเข้าถึงมรดกได้อย่างสมบูรณ์’ (ข้อ 5–7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ช่างเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง มีสิทธิเต็มที่ในฐานะลูกของพระเจ้า และพระเจ้าส่งพระวิญญาณของพระเยซูมาอยู่ในคุณ ผลก็คือ คุณสามารถพูดกับพระเจ้าในลักษณะที่สนิทสนมเช่นเดียวกับที่พระเยซูตรัสกับพระองค์
เปาโลยังคงเตือนชาวกาลาเทียไม่ให้ถอยหลัง ราวกับว่าพวกเขายังอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ ก่อนหน้านี้ พวกเขา ‘ไม่รู้จักพระเจ้า’ (ข้อ 8) บัดนี้ พวกเขารู้จักพระองค์ หรือที่ถูกคือ ‘พระเจ้าทรงรู้จัก’ (ข้อ 9) การเป็นที่รู้จักจากพระเจ้าสำคัญกว่าการรู้จักพระองค์ แต่แน่นอนว่า การมีชีวิตอยู่ในความสัมพันธ์กับพระเจ้าหมายความว่าการรู้จักกันแบบสองทางนี้เป็นความจริง
ท่านกระตุ้นบรรดาคนเหล่านั้นไม่ให้หวนกลับไปสู่ยึดถือกฏเกณฑ์เหล่านั้น (ข้อ 10–11) ซึ่งผู้สอนเท็จพยายามชักนำพวกเขาให้หลงผิด
เปาโลวิงวอนกับพวกเขา และย้ำเตือนถึงความรักที่พวกเขามีต่อท่าน ขณะประกาศพระกิตติคุณแก่พวกเขาเป็นครั้งแรก ที่พวกเขาต้อนรับเปาโลราวกับว่าเขาคือพระเยซูคริสต์ (ข้อ 14) ตอนนั้นที่พบกันเปาโลล้มป่วยลง อาจเป็นอาการทางสายตา เนื่องจากเขากล่าวว่า ‘พวกท่านก็คงจะควักตาของท่านทั้งหลายออกให้ข้าพเจ้า’ (ข้อ 15) จะเห็นว่าชาวกาลาเทียรักเปาโลมากเพียงใด
บัดนี้พวกผู้สอนเท็จพยายามจะทำให้พวกเขาเหินห่างเปาโล (ข้อ 17) แต่ความรักที่เปาโลมีต่อพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง: ‘พวกท่านรู้ไหมว่าตอนนี้ข้าพเจ้ารู้สึกอย่างไร และจะรู้สึกอย่างไรจนกว่าชีวิตของพระคริสต์จะปรากฏให้เห็นในชีวิตของพวกท่าน มันเหมือนมารดาที่คลอดบุตรอย่างเจ็บปวด’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เมื่อคุณรู้จักความรักที่พระเจ้ามีต่อคุณ ยิ่งใหญ่กว่าความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก และพระวิญญาณของพระองค์มาสถิตอยู่ในตัวคุณ พระวิญญาณจะมอบความรักให้กับคุณเพื่อผู้อื่น จริง ๆ นี่ก็ไม่ได้ต่างจากพ่อแม่ที่รักลูก เป็นความรักแบบนี้ที่เปาโลมีต่อชาวกาลาเทีย
บางครั้งการไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้น เปาโลฉุนเฉียวที่ไม่สามารถอยู่กับชาวกาลาเทีย และพูดคุยกับพวกเขาที่รักแบบเห็นหน้าต่อหน้า ท่านไม่ต้องการที่จะ ‘ถูกลดการส่งความรู้สึกลง เพราะต้องใช้ภาษาเขียนในจดหมาย’ (ข้อ 20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ถ้าเปาโลมีหนทาง จดหมายถึงชาวกาลาเทียคงไม่เกิดขึ้น เช่นเดิมที่ท่านจำใจต้องทำสิ่งที่เขาไม่อยากท ำและด้วยเหตุนี้เองชีวิตนับไม่ถ้วนได้เปลี่ยนไปและได้รับพรมากมาย
คำอธิษฐาน
อิสยาห์ 43:1-44:23
พระเจ้าสัญญาจะฟื้นฟูและพิทักษ์รักษา
1แต่บัดนี้ ยาโคบเอ๋ย พระยาห์เวห์ผู้ทรงสร้างท่าน
อิสราเอลเอ๋ย พระองค์ผู้ทรงปั้นท่านตรัสดังนี้ว่า
“อย่ากลัวเลย เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว
เราได้เรียกเจ้าตามชื่อ เจ้าเป็นของเรา
2เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า
และเมื่อข้ามแม่น้ำ มันจะไม่ท่วมเจ้า
เมื่อเจ้าเดินผ่านไฟ เจ้าจะไม่ถูกไหม้
และเปลวเพลิงจะไม่เผาเจ้า
3เพราะเราคือยาห์เวห์เป็นพระเจ้าของเจ้า
vองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลผู้ช่วยให้รอดของเจ้า
เราให้อียิปต์เป็นค่าไถ่ของเจ้า
ให้คูชและเสบาเพื่อแลกกับเจ้า
4เพราะว่าเจ้ามีค่าในสายตาของเรา
เจ้าได้รับเกียรติและเราเองรักเจ้า
เราจึงให้คนเพื่อแลกกับเจ้า
และให้ชนทั้งหลายเพื่อแลกกับชีวิตของเจ้า
5อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า
เราจะนำลูกหลานของเจ้ามาจากตะวันออก
และเราจะรวบรวมเจ้ามาจากตะวันตก
6เราจะพูดกับทิศเหนือว่า จงคืนให้
และกับทิศใต้ว่า อย่ายึดไว้
จงนำบุตรชายของเรามาจากแดนไกล
และบุตรสาวของเราจากปลายแผ่นดินโลก
7คือทุกคนที่ถูกขนานนามตามชื่อของเรา
และผู้ที่เราสร้างเพื่อพระสิริของเรา
คือผู้ที่เราปั้นและทำขึ้นมา”
8จงนำประชาชนที่ตาบอดแต่ยังมีตา
และที่หูหนวกแต่ยังมีหู ออกมา
9ให้ประชาชาติทั้งหมดประชุมพร้อมกัน
และให้ชนชาติทั้งหลายชุมนุมกัน
มีใครในพวกเขาที่แจ้งสิ่งนี้ได้?
และเล่าสิ่งที่ล่วงเลยมาแล้วให้เราฟังได้?
ให้พวกเขานำสักขีพยานของเขามาพิสูจน์ว่าเขาถูกต้อง
และให้พวกเขาฟังและพูดว่า “เป็นความจริง”
10พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นสักขีพยานของเรา
และเป็นผู้รับใช้ของเราซึ่งเราเลือกไว้
เพื่อเจ้าจะรู้จักและเชื่อถือเรา
และเข้าใจว่าเราเป็นผู้นั้นแหละ
ก่อนหน้าเราไม่มีเทพเจ้าใดถูกปั้นขึ้น
และภายหลังเราก็จะไม่มี
11เรา เราเองคือยาห์เวห์
และนอกจากเรา ไม่มีพระผู้ช่วยให้รอด
12เราแจ้งให้ทราบและช่วยให้รอด ทั้งประกาศให้รู้
ไม่มีพระเจ้าอื่นในหมู่พวกเจ้า
และพวกเจ้าเป็นสักขีพยานของเรา เราคือพระเจ้า”
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
13“ยิ่งกว่านั้น ตั้งแต่นิรันดร์กาล
ไม่มีใครช่วยจากมือของเราได้
เราทำการใด ใครจะเปลี่ยนแปลงได้อีก? ”
14พระยาห์เวห์พระผู้ไถ่ของพวกท่าน
องค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า
“เพื่อเห็นแก่เจ้า เราจะส่งไปยังบาบิโลน
และเราจะนำพวกเขาทุกคนมาเป็นผู้ลี้ภัย
คือพวกเคลเดียมาในเรือที่เขาทั้งหลายเคยภูมิใจ
15เราคือยาห์เวห์ องค์บริสุทธิ์ของพวกเจ้า
เป็นผู้สร้างของอิสราเอล เป็นกษัตริย์ของพวกเจ้า”
16พระยาห์เวห์ ผู้ทรงสร้างทางในทะเล
และทรงสร้างวิถีในน้ำที่มีอานุภาพอย่างยิ่ง
17ผู้ทรงนำรถรบและม้า
กองทัพ และนักรบออกมา
เขาทั้งหลายนอนลงด้วยกันและลุกขึ้นไม่ได้
พวกเขาสูญสิ้นไปและดับเหมือนไส้ตะเกียง
18พระองค์ตรัสดังนี้ว่า “อย่าจดจำสิ่งที่ล่วงเลยมาแล้วนั้น
อย่าพิเคราะห์เรื่องในอดีต
19นี่แน่ะ เรากำลังทำสิ่งใหม่ๆ
บัดนี้ มันงอกขึ้นมา เจ้าไม่เห็นหรือ?
และเราจะทำทางในถิ่นทุรกันดาร
และแม่น้ำในที่แห้งแล้ง
20สัตว์ในป่าทุ่งจะให้เกียรติเรา
คือหมาป่าและนกกระจอกเทศ
เพราะว่าเราให้น้ำในถิ่นทุรกันดาร
และให้แม่น้ำในที่แห้งแล้ง
เพื่อให้น้ำดื่มแก่ชนชาติผู้ที่เราเลือกสรร
21คือชนชาติที่เราปั้นเพื่อเราเอง
เพื่อเขาจะกล่าวคำสรรเสริญเรา
22“ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่เราที่เจ้าเรียกหา โอ ยาโคบ
คือเจ้าไม่ได้เหน็ดเหนื่อยเพื่อเราเลย โอ อิสราเอล
23เจ้าไม่ได้นำแพะแกะที่เป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวมายังเรา
หรือให้เกียรติเราด้วยเครื่องบูชาของเจ้า
เราไม่ได้ให้เจ้าแบกภาระเรื่องธัญบูชา
หรือให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยด้วยเรื่องกำยาน
24เจ้าไม่ได้เอาเงินซื้อตะไคร้ให้เรา
หรือให้เราพอใจด้วยไขมันเครื่องบูชาของเจ้า
แต่เจ้าได้ให้เราแบกภาระเรื่องบาปของเจ้า
เจ้าให้เราเหน็ดเหนื่อยด้วยเรื่องความผิดของเจ้า
25“เรา เราเองคือผู้นั้น
ผู้ลบล้างการทรยศของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเอง
และเราจะไม่จดจำบาปของเจ้า
26จงฟื้นความจำให้เรา ให้พวกเรามาโต้แย้งกัน
เจ้าจงให้การเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้าถูก
27บรรพบุรุษของเจ้าทำบาป
และคนกลางของเจ้าทรยศเรา
28ดังนั้น เราทำให้เจ้านายของสถานศักดิ์สิทธิ์เป็นมลทิน
เรามอบยาโคบให้ถูกทำลายถวายทำลายถวาย คือการบัญชาจากพระเจ้าให้ลงโทษผู้ทำบาป
และมอบอิสราเอลให้แก่การถูกกล่าวหยาบช้า”
อิสยาห์ 44
พระเจ้าทรงอวยพรอิสราเอล
1แต่บัดนี้ ยาโคบผู้รับใช้ของเรา
อิสราเอลผู้ที่เราเลือกสรร จงฟังเถิด
2พระยาห์เวห์ผู้ทรงสร้างเจ้า
ผู้ทรงปั้นเจ้าตั้งแต่ในครรภ์ และจะทรงช่วยเจ้า ตรัสดังนี้ว่า
“อย่ากลัวเลย ยาโคบผู้รับใช้ของเรา
เยชูรูน ผู้ที่เราเลือกสรร
3เพราะเราจะเทน้ำลงบนแผ่นดินที่กระหาย
และลำธารลงบนพื้นดินแห้ง
เราจะเทวิญญาณของเราบนเชื้อสายของเจ้า
และเทพรของเราบนลูกหลานของเจ้า
4เขาทั้งหลายจะงอกขึ้นมาท่ามกลางต้นหญ้า
เหมือนต้นหลิวข้างลำธารน้ำไหล
5คนนี้จะพูดว่า ‘ข้าเป็นของพระยาห์เวห์’
และอีกคนหนึ่งจะเรียกชื่อตนด้วยนามของยาโคบ
และอีกคนหนึ่งจะเขียนบนมือของเขาว่า ‘เป็นของพระยาห์เวห์’
และขนานนามด้วยนามของอิสราเอล”
6พระยาห์เวห์ พระมหากษัตริย์ของอิสราเอล
และพระผู้ไถ่ของเขา พระยาห์เวห์จอมทัพ ตรัสดังนี้ว่า
“เราเป็นเบื้องต้นและเราเป็นเบื้องปลาย
นอกจากเราแล้วไม่มีพระเจ้า
7ใครเป็นเหมือนเรา? จงให้เขาป่าวร้อง
ให้เขาแจ้งให้ทราบและให้เขาลำดับเรื่องให้เรา
ตั้งแต่เราสถาปนาประชาชนโบราณ
และให้เขาแจ้งแก่พวกเขาถึงสิ่งที่จะมาและสิ่งซึ่งจะเกิดขึ้นนั้น
8อย่ากลัวเลย และอย่าหวาดหวั่น
เราเล่าให้เจ้าฟังตั้งแต่ดึกดำบรรพ์และแจ้งให้ทราบแล้วไม่ใช่หรือ?
และเจ้าทั้งหลายเป็นสักขีพยานของเรา
มีพระเจ้าอื่นอีกนอกจากเราหรือ?
ไม่มีพระศิลาอื่น เราไม่เคยรู้จักเลย”
ความโง่เขลาของการไหว้รูปเคารพ
9พวกปั้นรูปเคารพล้วนเป็นความว่างเปล่า และสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบนั้นก็ไม่เป็นผลกำไร บรรดาสักขีพยานของพวกเขานั้นก็ไม่อาจจะเห็นและไม่อาจจะรู้ เพื่อพวกเขาจะได้อับอาย 10ใครปั้นพระหรือหล่อรูปเคารพที่ไม่เป็นประโยชน์อะไร? 11ดูซิ ทุกคนที่เป็นพวกเดียวกับเขาจะต้องอับอาย และช่างฝีมือนั้นก็เป็นเพียงมนุษย์ จงให้เขาทุกคนชุมนุมกัน ให้เขายืนขึ้น ให้เขาสยดสยอง และให้เขาอับอายด้วยกัน
12ช่างเหล็กทำงานอยู่เหนือก้อนถ่านด้วยเครื่องมือ และขึ้นรูปด้วยค้อนและทำด้วยแขนที่มีกำลังของเขา เออเขาหิวและกำลังของเขาหมดลง เขาไม่ได้ดื่มน้ำเลย และเขาอ่อนเปลี้ย 13ช่างไม้ขึงเชือกวัด เขาวาดโครงด้วยดินสอ เขาแต่งมันด้วยสิ่ว และวาดโครงด้วยวงเวียน เขาทำให้มันเหมือนรูปคนตามความงามของมนุษย์เพื่อให้มันอยู่ในเรือน 14เขาตัดต้นสนสีดาร์มาให้กับตัวเอง เขาเลือกต้นสนฉัตร หรือต้นโอ๊กคือต้นก่อซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เขาปลูกมันไว้อย่างแข็งแรงท่ามกลางต้นไม้ในป่า เขาปลูกต้นเทพทาโรอาจเป็นต้นสนชนิดหนึ่งและฝนทำให้มันเติบโต 15แล้วมันก็กลายเป็นเชื้อเพลิงของคน และเขาเอามันมาส่วนหนึ่งและใช้มันอุ่นตัว เออ เขาก่อไฟและปิ้งขนมปัง และเขาเอามันมาทำรูปพระรูปหนึ่งแล้วนมัสการมันด้วย เขาทำเป็นรูปเคารพและกราบรูปนั้น 16ครึ่งหนึ่งของไม้นั้นเขาเผาในกองไฟ บนครึ่งนี้เขาย่างและกินเนื้อย่างจนอิ่ม และเขาก็อบอุ่นด้วย แล้วพูดว่า “เอ้อ ข้าอุ่นจัง ข้าเห็นเปลวไฟแล้ว” 17และไม้ที่เหลือนั้นเขาทำเป็นรูปพระรูปหนึ่ง คือเป็นรูปเคารพของเขา เขากราบลงต่อรูปนั้นและนมัสการมัน และอธิษฐานต่อรูปนั้นและกล่าวว่า “ขอทรงช่วยข้าพระองค์ เพราะพระองค์เป็นพระของข้าพระองค์”
18เขาทั้งหลายไม่รู้และเขาไม่เข้าใจ เพราะตาของพวกเขาถูกปิด เขาจึงไม่เห็นอะไร และใจของเขาก็ถูกปิด เขาจึงไม่เข้าใจ 19ไม่มีใครกลับมาคิดเลย และไม่มีความรู้หรือวิจารณญาณที่จะพูดว่า “ข้าเผาครึ่งหนึ่งของมันในกองไฟ แล้วข้าก็เอาถ่านของมันมาปิ้งขนมปัง และข้าย่างเนื้อกินแล้ว ควรที่ข้าจะทำส่วนที่เหลือให้เป็นสิ่งน่าเกลียดน่าชัง และควรที่ข้าจะกราบลงต่อท่อนไม้จากต้นนั้นหรือ?” 20เขากินขี้เถ้า ใจที่หลอกลวงนำเขาให้หลง เขาช่วยกู้ตัวเขาเองไม่ได้และไม่สามารถพูดว่า “มีการล่อลวงอยู่ในมือขวาของข้าไม่ใช่หรือ? ”
อิสราเอลไม่ถูกลืม
21จงจำสิ่งเหล่านี้ไว้ โอ ยาโคบเอ๋ย
เพราะเจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา โอ อิสราเอล
เราได้ปั้นเจ้า เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา
อิสราเอลเอ๋ย เราจะไม่ลืมเจ้า
22เราได้ลบล้างการทรยศของเจ้าเสียเหมือนเมฆ
และลบล้างบาปของเจ้าเหมือนหมอก
จงกลับมาหาเรา เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว
23โอ ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงร้องเพลง เพราะพระยาห์เวห์ทรงทำการนี้
ห้วงลึกของแผ่นดินโลกเอ๋ย จงโห่ร้อง
ภูเขาเอ๋ย จงร้องเป็นเพลงออกมา
ป่าไม้และต้นไม้ทุกต้นในนั้นด้วย
เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงไถ่ยาโคบ
และจะทรงได้รับเกียรติในอิสราเอล
อรรถาธิบาย
มีค่ามากกว่าสิ่งอื่นใด
พวกเราทุกคนจะต้องเผชิญกับการทดลอง การทดสอบ และการล่อลวง เราจะผ่าน ‘ไฟ’ และ ‘น้ำเชี่ยว’ จะมีบางครั้งที่ ‘ท่านอยู่ระหว่างหินกับที่ที่แข็งแกร่ง’ (43:2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก บางครั้งคุณอาจอยากที่จะยอมแพ้ คุณไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
พระเจ้าตรัสว่า ‘อย่ากลัวเลย...เจ้าเป็นของเรา เมื่อเราอยู่ในหัวของเจ้า เราจะอยู่ที่นั่นกับเจ้า...มันจะไม่เป็นทางตัน' (ข้อ 1–2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระเจ้ากำลังหล่อหลอมคุณ (44:21, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระองค์มักจะใช้ความยากลำบากและความท้าทายในชีวิตของเราให้เป็นเหมือนกระดาษทราย เพื่อขัดขอบที่หยาบให้เรียบขึ้น พระองค์ทรงใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับบุคลิกของคุณ เปลี่ยนแปลงคุณ และพัฒนาคุณไปยังชีวิตตามวัตถุประสงค์
พระองค์สำแดงความรักอยู่เสมอ ‘เราคือพระเจ้า พระเจ้าส่วนตัวของเจ้า...เราจ่ายราคามหาศาลให้เจ้า...นั่นเพราะเรารักเจ้ามาก! เราจะขายโลกทั้งใบเพื่อให้ได้เจ้ากลับมา แลกเปลี่ยนสิ่งทรงสร้างทั้งสิ้นเพื่อเจ้าเท่านั้น’ (43:3–4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คุณมีค่าและได้รับเกียรติในสายพระเนตรของพระองค์เพราะพระองค์รักคุณ (ข้อ 4) คุณรู้หรือไม่ว่าคุณมีค่าต่อพระเจ้าแค่ไหน คุณค่าของคุณคือคุณค่าต่อพระเจ้า พระองค์จ่ายราคามหาศาลให้คุณ พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อคุณ
ในทุกการต่อสู้และความยากลำบากของชีวิต พระเจ้ามีแผนที่ดีสำหรับอนาคตของคุณ พระองค์กล่าวว่า ‘เรากำลังจะทำสิ่งใหม่...เรากำลังสร้างถนนผ่านทะเลทราย แม่น้ำในที่รกร้าง’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) หากคุณอยู่ใน ‘ทะเลทราย’ หรือ 'ที่รกร้าง' ในตอนนี้ จงวางใจพระเจ้าว่าพระองค์มีแผนที่ดีสำหรับอนาคตของคุณ
ความรักและการให้อภัยของพระเจ้าเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ต่อมาในพระธรรมตอนนี้ พระเจ้าตรัสว่า ‘เรา เราเองคือผู้นั้น ผู้ลบล้างการทรยศของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเอง และเราจะไม่จดจำบาปของเจ้า’ (ข้อ 25) เรารู้ว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ และสิ่งที่พระองค์ทำเพื่อคุณ
อิสยาห์เตือนต่อไปถึงความไร้สาระของการบูชารูปเคารพ (ดู 44:6–23) เมื่อเรานมัสการสิ่งใดหรือใครก็ตามที่ไม่ใช่พระเจ้าที่ทรงสร้างเรา เรากำลังนมัสการคำโกหก เรากำลังนมัสการ ‘สิ่งที่ถูกสร้างขึ้น แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง’ (โรม 1:25)
พระเจ้าทรงกระตุ้นให้ผู้คนของพระองค์กลับมาหาพระองค์ พระองค์ตรัสว่า ‘เราได้เช็ดกระดานชนวนของการกระทำผิดทั้งหมดของเจ้าแล้ว บาปของเจ้าไม่เหลือเลย กลับมาหาเรา กลับมา เราได้ไถ่เจ้าแล้ว’ (อิสยาห์ 44:22, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
อิสยาห์ 43:1-5ก
มีข้อพระคัมภีร์ที่วิเศษมากและหนุนใจมากเมื่อคุณหรือคนที่คุณรักกำลังเผชิญกับเรื่องยากลำบากบางอย่าง พระเจ้าไม่ได้เอาสิ่งเหล่านั้นออกไป แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าจะอยู่กับคุณ เดินไปกับคุณ ปกป้องคุณเมื่อคุณต้องเผชิญเรื่องยากลำบากและพยายามผ่านมันไปให้ได้
ข้อพระคำประจำวัน
อิสยาห์ 43:4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Christian Standard Bible โดยผู้แปล
‘...เจ้ามีค่าในสายตาของเรา เจ้าได้รับเกียรติและเราเองรักเจ้า’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)