วัน 260

วิธีที่ดีที่สุดในการเป็นผู้นำ

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 22:28-23:9
พันธสัญญาใหม่ กาลาเทีย 3:10-25
พันธสัญญาเดิม อิสยาห์ 41:1-42:25

เกริ่นนำ

‘ใครคือผู้รับใช้ของพระเจ้า?’ นี่เป็นคำถามของนายคลังทรัพของพระนางคานตาสีพระราชินีของชาวเอธิโอป ถามฟิลิปผู้ประกาศ ‘สิ่งที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวนี้เล็งถึงใคร เล็งถึงตัวท่านเอง หรือเล็งถึงคนอื่น? ขอบอกข้าพเจ้าเถิด’ (กิจการ 8:34)

ตำแหน่ง ‘ผู้รับใช้ของพระเจ้า’ เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติอย่างยิ่ง บ่งชี้ถึงผู้นำเช่นอับราฮัม โมเสส และดาวิด แต่ใน ‘บทเพลงผู้รับใช้’ สี่เพลง (อิสยาห์ 42:1–4; 49:1–7; 50:4–9; 52:13 – 53:12) แนวความคิดที่แตกต่างของ ‘การเป็นผู้รับใช้’ นั้นคมชัดขึ้น

บทบาทของ ‘ผู้รับใช้’ นี้สามารถแสดงให้เห็นเป็นภาพได้ด้วยกางเขนนักบุญแอนดรูว์ (เชื่อกันว่าคือ แอนดรูว์ น้องชายของเปโตรเสียชีวิตบนไม้กางเขนแนวทแยง ซึ่งบางครั้งชาวโรมันใช้สำหรับการประหารชีวิต ดังนั้นต่อมาไม้กางเขนลักษณะนี้ เราเรียกกันว่าไม้กางเขนเซนต์แอนดรูว์ และเป็นสัญลักษณ์ที่อยู่ในธงของประเทศสกอตแลนด์)

แต่ดั้งเดิมพระเจ้าตั้งใจให้มนุษย์ทุกคนเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ หลังจากเกิดการล้มลงในบาป พระเจ้าได้เลือกชนชาติอิสราเอลเพื่อปรนิบัติรับใช้พระองค์ แต่แม้แต่เผ่าพันธุ์ที่พระองค์เลือกก็ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ ดังนั้นจุดสนใจที่แคบลงเรื่อย ๆ จึงกลายเป็นเพียง 'เศษเสี้ยวของความสัตย์ซื่อ' ในที่สุด มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สัตย์ซื่ออย่างสมบูรณ์ (แสดงโดยจุดตัดตรงกลางของไม้กางเขน) คือพระเยซู

พระเยซูทรงเปิดเผยสิ่งที่อิสราเอล (และจริง ๆ คือ มนุษยชาติ) ควรเป็น พระองค์เป็นชาวอิสราเอลที่ถูกส่งไปยังดินแดนอิสราเอล ตัวตนเป็นอิสราเอลโดยแท้ แต่ยังคงมีความแตกต่างออกไป ไม่มีกษัตริย์ของโลกหรือผู้เผยพระวจนะคนใดที่ตรงตามคำอธิบายของผู้รับใช้ในพระธรรมอิสยาห์ทั้งหมด มีแต่พระเยซูเท่านั้นที่กระทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แม้อิสราเอลล้มลงไปในบาป พระเยซูสำเร็จแล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นแผนของพระเจ้าในการที่คริสตจักรสามารถสำเร็จได้ผ่านชัยชนะของพระคริสต์และฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นไม้กางเขนนักบุญแอนดรูว์จึงขยายผลไปอีก สมาชิกของคริสตจักรของพระเยซูคริสต์กลายเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าด้วยพันธกิจที่จะเรียกมนุษยชาติทั้งหมด กลับสู่วัตถุประสงค์ในการทรงสร้างดั้งเดิมของพวกเขา

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 22:28-23:9

28อย่าย้ายหลักเขตเก่าแก่
 ซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้ปักไว้
29เจ้าเห็นคนที่มีฝีมือในงานของเขาหรือ?
 เขาจะยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ทั้งหลาย
 ไม่ใช่ยืนต่อหน้าสามัญชน

สุภาษิต 23

1เมื่อเจ้านั่งรับประทานกับผู้ครอบครอง
 จงสังเกตให้ดีว่าอะไรอยู่ข้างหน้าเจ้า
2เจ้าจงบังคับตัวไว้
 ถ้าเจ้าเป็นคนตะกละ
3อย่าปรารถนาของโอชะของผู้ครอบครองนั้น
 เพราะมันเป็นอาหารที่หลอกลวง
4อย่าโหมงานจนอ่อนล้าเพื่อจะเป็นคนมั่งมี
 จงฉลาดพอที่จะหยุดพัก
5เมื่อเจ้าเหลือบตามองทรัพย์นั้น มันก็หายไปแล้วไม่ใช่หรือ?
 เพราะแน่นอนทีเดียวมันจะสร้างปีกขึ้นมา
 มันจะบินไปในท้องฟ้าเหมือนนกอินทรี
6อย่ากินอาหารของคนตระหนี่
 อย่าปรารถนาของโอชะของเขา
7เพราะเขาคอยนับอยู่ในใจ
 เขาพูดกับเจ้าว่า “จงกินและดื่มเถิด”
 แต่ใจของเขาไม่ได้อยู่กับเจ้า
8เจ้าจะสำรอกอาหารซึ่งเจ้าได้กินเข้าไปนั้น
 และเสียถ้อยคำอ่อนหวานของเจ้าไปเปล่าๆ
9อย่าพูดให้คนโง่ได้ยิน
 เพราะเขาจะดูหมิ่นปัญญาแห่งถ้อยคำของเจ้า

อรรถาธิบาย

ใช้ทักษะความเป็นผู้นำทั้งหมดของคุณเพื่อรับใช้ผู้อื่น

ผู้เขียนหนังสือสุภาษิตเตือนว่าอย่าใช้ชีวิตเพื่อรับใช้พระเทียมเท็จ เช่น อาหาร (บทที่ 23 ข้อ 1–3) หรือความร่ำรวย ‘อย่าโหมงานจนอ่อนล้าเพื่อจะเป็นคนมั่งมี จงฉลาดพอที่จะหยุดพัก เมื่อเจ้าเหลือบตามองทรัพย์นั้น มันก็หายไปแล้วไม่ใช่หรือ? เพราะแน่นอนทีเดียวมันจะสร้างปีกขึ้นมา มันจะบินไปในท้องฟ้าเหมือนนกอินทรีย์’ (ข้อ 4–5) ภาพนกอินทรีย์บนทุกธนบัตรหนึ่งดอลลาร์สหรัฐเป็นการเตือนถึงความจริงนี้

ในทางกลับกัน เราได้รับการสนับสนุนให้ทำสิ่งที่เราทำได้ดี: ‘เจ้าเห็นคนที่มีฝีมือในงานของเขาหรือ? เขาจะยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ทั้งหลาย ไม่ใช่ยืนต่อหน้าสามัญชน’ (22 ข้อ 29) ผมเฝ้าสังเกตคนเหล่านั้นที่รับใช้อย่างเงียบ ๆ ด้วยวิธีที่ถ่อมตัวและไม่เปิดเผยตัวชัดเจน แต่คนเหล่านั้นรับใช้เช่นนั้นด้วยทักษะอันยอดเยี่ยมในงานของพวกเขา และพระเจ้าได้ทรงยกพวกเขาขึ้นสู่ตำแหน่งที่มีอิทธิพล

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับตัวอย่างของบรรดาผู้ที่พยายามรับใช้พระองค์ด้วยทักษะอันยอดเยี่ยมและไม่แสวงหาเกียรติใด ๆ เพื่อตนเอง ขอบพระคุณที่พระองค์ยกคนเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อเป็นตัวอย่างของการรับใช้สำหรับพวกข้าพระองค์ทุกคน
พันธสัญญาใหม่

กาลาเทีย 3:10-25

 10เพราะว่าคนทั้งหลายซึ่งพึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า“ทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง” 11เป็นที่แน่ชัดว่า ไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าด้วยธรรมบัญญัติได้เลย เพราะว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ” 12แต่ธรรมบัญญัติไม่ได้อาศัยความเชื่อ เพราะผู้ที่ประพฤติตาม ธรรมบัญญัติ ก็จะมีชีวิตอยู่โดยธรรมบัญญัตินั้น 13พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นการสาปแช่งแห่งธรรมบัญญัติ โดยการทรงถูกสาปแช่งเพื่อเรา (เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ทุกคนที่ถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้องถูกสาปแช่ง”) 14เพื่อพรของอับราฮัมจะได้มาถึงบรรดาคนต่างชาติ ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญาโดยความเชื่อ

ธรรมบัญญัติและพระสัญญา

 15พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างจากชีวิตจริงสักเรื่องหนึ่ง ถึงแม้เป็นพันธสัญญาของมนุษย์ เมื่อได้รับรองกันแล้ว ไม่มีใครจะล้มเลิกหรือเพิ่มเติมขึ้นอีก 16บรรดาพระสัญญาที่ได้ประทานไว้แก่อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของท่านนั้น ไม่ได้ตรัสว่า “และแก่พงศ์พันธุ์ทั้งหลาย” เหมือนอย่างกับประทานแก่คนหลายคน แต่เหมือนกับประทานแก่คนผู้เดียวคือ “แก่พงศ์พันธุ์ของท่าน” นั่นคือพระคริสต์ 17ข้าพเจ้าว่าธรรมบัญญัติซึ่งมาภายหลังถึงสี่ร้อยสามสิบปี จะทำให้พันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงตั้งไว้เมื่อก่อนนั้นเป็นโมฆะไม่ได้ 18เพราะว่าถ้าได้รับมรดกโดยธรรมบัญญัติ ก็ไม่ใช่ได้โดยพระสัญญาอีกต่อไป แต่พระเจ้าประทานมรดกนั้นให้แก่อับราฮัมโดยพระสัญญา
 19ถ้าเช่นนั้น มีธรรมบัญญัติไว้ทำไม? ที่เพิ่มธรรมบัญญัติก็เพราะการละเมิด จนกว่าพงศ์พันธุ์ตามพระสัญญานั้นจะมาถึง พวกทูตสวรรค์ได้ตั้งธรรมบัญญัตินั้นไว้โดยมือของคนกลาง 20ที่จริงคนกลางไม่ได้เป็นตัวแทนของฝ่ายเดียว แต่พระเจ้าทรงเป็นหนึ่ง

ทาสกับบุตร

 21ถ้าเช่นนั้นธรรมบัญญัติขัดแย้งกับพระสัญญาของพระเจ้าหรือ? ไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน เพราะว่าถ้าธรรมบัญญัติที่ถูกตั้งไว้นั้นสามารถให้ชีวิต ความชอบธรรมก็จะมีได้โดยธรรมบัญญัตินั้นจริง 22แต่พระคัมภีร์ได้จองจำทุกคนไว้ในบาป เพื่อพระสัญญาที่ตั้งอยู่บนความเชื่อในพระเยซูคริสต์จะถูกมอบให้แก่บรรดาผู้ที่เชื่อ
 23ก่อนที่ความเชื่อมานั้น เราถูกธรรมบัญญัติจองจำไว้ ถูกกักบริเวณไว้จนความเชื่อจะปรากฏ 24เพราะฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงเป็นผู้ควบคุมของเราแปลได้อีกว่า เป็นครูของเรา จนพระคริสต์เสด็จมา เพื่อเราจะถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อ 25แต่เมื่อความเชื่อนั้นได้มาแล้ว เราจึงไม่ได้อยู่ใต้บังคับของผู้ควบคุมอีกต่อไปแล้ว

อรรถาธิบาย

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับหัวหน้าผู้รับใช้ที่ทำพันธกิจสูงสุด องค์พระเยซูคริสต์

พระเยซูตรัสว่าพวกเราที่ติดตามพระองค์ ควรนำผู้คนไปในทางที่ต่างไปจากคนรอบข้าง เราไม่เอาตัวตนของเราไปใส่คนรอบข้าง ไม่ควรปล่อยให้ความคิดหลงอำนาจมาฝังในหัวของเรา (มาระโก 10:42–45, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เราควรทำตามแบบอย่างความเป็นผู้นำของผู้รับใช้ คือพระเยซู พระองค์ตรัสไว้ว่า ‘เพราะว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติคนอื่น และให้ชีวิตของท่านเป็นค่าไถ่คนจำนวนมาก’ (ข้อ 45)

ในพระธรรมข้อดังกล่าว เปาโลอธิบายว่าพระเยซูทรงทำอย่างนั้นได้อย่างไร ไม้กางเขนเป็นการแสดงออกถึงการรับใช้ของพระองค์อย่างถึงที่สุด

เราทุกคนล้มเหลวในการรักษาธรรมบัญญัติของพระเจ้า ตามกฎของโมเสส ‘ทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง' (กาลาเทีย 3:10, เฉลยธรรมบัญญัติ 27:26) เพื่อให้ชอบธรรมตามธรรมบัญญัติ บุคคลจะต้องรักษาธรรมบัญญัติทั้งหมด (กาลาเทีย 3:12) ไม่เคยมีใครเคยทำสิ่งนี้ได้ ดังนั้นเราทุกคนจึงถูกสาปแช่ง

บนไม้กางเขน พระเยซูรับคำสาปแช่งนี้ไว้กับพระองค์เอง พระองค์ทรง ‘ทรงไถ่เราให้พ้นการสาปแช่งแห่งธรรมบัญญัติ โดยการทรงถูกสาปแช่งเพื่อเรา’ (ข้อ 13ก) เปาโลชี้ให้เห็นว่าที่เฉลยธรรมบัญญัติบันทึกไว้ว่า ‘ทุกคนที่ถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้องถูกสาปแช่ง’ (ข้อ 13ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Revised Standard Version โดยผู้แปล; เฉลยธรรมบัญญัติ 21:23) มันเป็นความลึกในความอัปยศที่จะถูกตรึงบนไม้กางเขน ‘พระองค์กลายเป็นคำสาป และในขณะเดียวกันก็ละลายคำสาป’ (ข้อ 13, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระองค์จงใจมอบพระองค์เองให้ถูกทำลายเพื่อคุณ และผม

คุณได้รับความชอบธรรม โดยสิ่งที่พระเยซูผู้รับใช้ของพระเจ้ากระทำบนไม้กางเขนเพื่อคุณ พระองค์รับคำสาปแช่งแทนคุณ ‘เพื่อพรของอับราฮัมจะได้มาถึงบรรดาคนต่างชาติ ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญาโดยความเชื่อ’ (ข้อ 14)

เดิมทีพระสัญญาของพระเจ้าให้ไว้กับอับราฮัม และพงศ์พันธุ์ของเขา (ข้อ 16ก) เปาโลอธิบายว่าพระเยซูเป็นพระสัญญาของพระเจ้า เนื่องจาก ‘บรรดาพระสัญญาที่ได้ประทานไว้แก่อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของท่านนั้น ไม่ได้ตรัสว่า “และแก่พงศ์พันธุ์ทั้งหลาย” เหมือนอย่างกับประทานแก่คนหลายคน แต่เหมือนกับประทานแก่คนผู้เดียวคือ “แก่พงศ์พันธุ์ของท่าน” นั่นคือพระคริสต์’ (ข้อ 16ข)

‘ถ้าเช่นนั้น มีธรรมบัญญัติไว้ทำไม?’ (ข้อ 19) ธรรมบัญญัติมีวัตถุประสงค์หลักอย่างน้อยสองประการ ประการแรก ชี้ให้เราเห็นความบาปของเรา (ข้อ 19) มันเปิดโปงปัญหา มันให้นิยามความบาป จุดประสงค์ของธรรมบัญญัติคือเพื่อแยกเราออกจากความบาป

ประการที่สอง ธรรมบัญญัติชี้ให้เราไปถึงพระเยซู มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเราไปสู่พระคริสต์ (ข้อ 21–25) ‘กฎหมายก็เหมือนครูสอนภาษากรีก… ที่พาเด็กไปสถานศึกษาและปกป้องพวกเขาจากอันตรายหรือสิ่งที่จะมารบกวนขัดขวาง ทำให้แน่ใจว่าเด็ก ๆ จะไปถึงที่ที่กำหนดไว้จริง ๆ’ (ข้อ 24 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ธรรมบัญญัตินำเราไปสู่พระคริสต์ พวกเราได้รับการชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อ (ข้อ 24)

พระเยซูคริสต์ผู้รับใช้สูงสุดของพระเจ้าได้ทรงลบล้างคำแช่งสาปแห่งธรรมบัญญัติ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้หลายคนได้รับความชอบธรรม คุณได้รับอิสรภาพจากธรรมบัญญัติเพื่อมาเป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้องค์พระเจ้า

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่ในการรับใช้ขั้นสูงสุดนี้ พระองค์ทรงรับคำสาปที่ควรจะตกอยู่กับข้าพระองค์ ขอบพระคุณที่กระทำผลให้ข้าพระองค์ได้รับความชอบธรรมโดยความเชื่อในพระองค์ ขอบพระคุณที่ปลดปล่อยข้าพระองค์ให้มีเสรีภาพในการรับใช้
พันธสัญญาเดิม

อิสยาห์ 41:1-42:25

คำยืนยันที่จะทรงช่วยกู้อิสราเอล

1โอ แผ่นดินชายทะเล จงนิ่งเงียบต่อเรา
 จงให้ชนชาติทั้งหลายฟื้นกำลังขึ้นใหม่
ให้พวกเขาเข้ามาใกล้ แล้วให้เขาพูด
 ให้เราเข้ามาใกล้ด้วยกันเพื่อการพิพากษา
2ใครได้เร้าใจคนหนึ่งมาจากตะวันออก
 และเรียกท่านด้วยความชอบธรรมมายังพระบาทพระองค์?
ทั้งมอบบรรดาประชาชาติให้แก่ท่าน
 ท่านจึงเหยียบบรรดากษัตริย์ไว้ใต้เท้า
ท่านทำให้พวกเขาเหมือนผงคลีด้วยดาบของท่าน
 และเหมือนตอข้าวที่ถูกลมพัดด้วยคันธนูของท่าน
3ท่านไล่ตามพวกเขาและผ่านเขาไปอย่างปลอดภัย
 ตามทางที่เท้าของท่านไม่เคยเหยียบ
4ใครได้ประกอบกิจและทำเช่นนี้
 ที่เรียกชาติพันธุ์ทั้งหลายออกมาตั้งแต่ปฐมกาล?
คือตัวเรายาห์เวห์ ผู้เป็นเบื้องต้น และเป็นเบื้องปลาย
 เราคือผู้นั้น
5แผ่นดินชายทะเลเห็นแล้วก็กลัว
 ปลายแผ่นดินโลกก็สั่นเทา
 เขาทั้งหลายมาใกล้และเข้ามาแล้ว
6แต่ละคนช่วยเพื่อนบ้านของตน
 และพูดกับพี่น้องของตนว่า “จงเข้มแข็ง”
7ช่างฝีมือก็หนุนใจช่างทอง
 ผู้ใช้ค้อนทุบให้เรียบก็หนุนใจผู้ตีทั่ง
พูดเรื่องการบัดกรีแปลได้อีกว่า การเชื่อมว่า “ดีแล้ว”
 และเขาก็ทำให้มันมั่นคงด้วยตะปูเพื่อไม่ให้มันเลื่อน
8แต่เจ้า อิสราเอล ผู้รับใช้ของเรา
 ยาโคบผู้ซึ่งเราเลือกไว้
 เชื้อสายของอับราฮัมสหายของเรา
9เจ้าผู้ที่เรานำมาจากปลายแผ่นดินโลก
 และเรียกมาจากที่ไกลสุดของโลก
แล้วพูดกับเจ้าว่า “เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา
 เราได้เลือกเจ้าและไม่ปฏิเสธเจ้า”
10อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า
 อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า
เราจะเสริมกำลังเจ้า เราจะช่วยเจ้า
 เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา
11นี่แน่ะ ทุกคนที่โกรธเคืองเจ้า
 จะต้องอายและอดสู
คนทั้งหลายที่ต่อสู้กับเจ้า
 จะกลายเป็นศูนย์และพินาศไป
12เจ้าจะค้นคนที่ต่อสู้กับเจ้า
 แต่เจ้าจะไม่พบเขา
ผู้ทำสงครามกับเจ้า
 จะกลายเป็นศูนย์และไม่เหลืออยู่
13เพราะเราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า
 เราฉวยมือขวาของเจ้าไว้
คือเราที่พูดกับเจ้าว่า “อย่ากลัวเลย
 เราเองจะช่วยเจ้า”
14พระยาห์เวห์ตรัสว่า “อย่ากลัวเลย เจ้าหนอนยาโคบ
 เจ้าอิสราเอลผู้เล็กน้อย
เราเองจะช่วยเจ้า
 ผู้ไถ่ของเจ้าคือองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล
15ดูสิ เราจะทำเจ้าให้เป็นเลื่อนนวดข้าว
 ทั้งใหม่ ทั้งคม และมีฟันหลายๆ อัน
เจ้าจะนวดและบดภูเขา
 และเจ้าจะทำให้เนินเขาเป็นเหมือนแกลบ
16เจ้าจะฝัดร่อนพวกมัน แล้วลมจะพัดมันไปเสีย
 และพายุจะกระจายพวกมัน
เจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระยาห์เวห์
 เจ้าจะอวดอ้างในองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล
17“คนจนและคนขัดสนแสวงหาน้ำ
 แต่ไม่พบ
และลิ้นของเขาก็แห้งผากด้วยความกระหาย
 เรา ยาห์เวห์ จะตอบพวกเขาเอง
 เรา พระเจ้าของอิสราเอลจะไม่ทอดทิ้งเขา
18เราจะเปิดแม่น้ำบนที่สูงโล้นทั้งหลาย
 และน้ำพุท่ามกลางหุบเขาทั้งปวง
เราจะทำถิ่นทุรกันดารให้เป็นสระน้ำ
 และแผ่นดินแห้งแล้งเป็นน้ำพุ
19เราจะใส่ต้นสนสีดาร์ไว้ในถิ่นทุรกันดาร
 ทั้งต้นกระถินเทศ ต้นน้ำมันเขียวและต้นมะกอก
เราจะวางต้นสนสามใบไว้ในที่ราบแห้งแล้ง
 ด้วยกันกับต้นสนเขาและต้นช้องรำพัน
20เพื่อคนทั้งหลายจะเห็นและรับรู้
 เขาจะใคร่ครวญและเข้าใจด้วยกัน
ว่าพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ทรงทำการนี้
 องค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลได้สร้างสิ่งนี้”
 ความไร้ประโยชน์ของรูปเคารพ
21พระยาห์เวห์ตรัสว่า จงนำคดีของเจ้ามา
 กษัตริย์ของยาโคบตรัสว่า จงเอาข้อพิสูจน์ของเจ้ามา
22ให้พวกเขาเอามา และบอกพวกเราว่า
 จะเกิดอะไรขึ้น
จงบอกว่าสิ่งที่ล่วงเลยมาแล้วมีอะไรบ้าง
 เพื่อเราจะพิจารณาสิ่งเหล่านั้น
แล้วทราบถึงผลที่ตามมาของสิ่งเหล่านั้น
 หรือพูดให้พวกเราฟังถึงสิ่งที่จะบังเกิดมา
23จงบอกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
 เพื่อพวกเราจะรู้ว่าพวกเจ้าเป็นพระ
เออ จงให้สิ่งดีหรือสิ่งร้าย
 เพื่อพวกเราจะจ้องและมองดูพร้อมกัน
24นี่แน่ะ เจ้าเป็นเหมือนความว่างเปล่า
 และการงานของเจ้าก็ว่างเปล่า
 ผู้เลือกเจ้าก็เป็นที่น่าเกลียดน่าชัง
25เราได้เร้าใจผู้หนึ่งจากทิศเหนือและเขามาแล้ว
 จากที่ดวงอาทิตย์ขึ้น เขาจะออกนามของเรา
เขาจะมาเหนือผู้ครอบครองเหมือนเหยียบปูน
 เหมือนช่างปั้นหม้อย่ำดินเหนียว
26ใครบอกไว้ตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะทราบ
 หรือบอกล่วงหน้าเพื่อเราจะพูดว่า “ถูกแล้ว”?
เออ ไม่มีใครบอก ไม่มีใครประกาศ
 เออ ไม่มีใครได้ยินถ้อยคำของเจ้า
27เราเป็นผู้แรกที่กล่าวกับศิโยนว่า “จงดูเถิด จงดูพวกเขา”
 และให้ผู้นำข่าวไปยังเยรูซาเล็ม
28แต่เมื่อเรามองดูก็ไม่พบใคร
 ไม่มีที่ปรึกษาในหมู่คนพวกนี้
 คือคนที่ให้คำตอบได้เมื่อเราถาม
29นี่แน่ะ พระทั้งหมดล้วนเป็นศูนย์
 กิจการของพวกมันก็ไม่มีอยู่
 รูปเคารพหล่อของพวกมันก็เป็นแต่ลมและความว่างเปล่า

อิสยาห์ 42

ผู้รับใช้พระเจ้าผู้เป็นแสงสว่างของประชาชาติ

1ดูสิ ผู้รับใช้ของเรา ผู้ซึ่งเราเชิดชู
 ผู้เลือกสรรของเรา ผู้ซึ่งใจเราปีติยินดี
เราเอาวิญญาณของเราใส่ไว้บนท่าน
 ท่านจะส่งความยุติธรรมออกไปยังบรรดาประชาชาติ
2ท่านจะไม่ร้องเสียงดังหรือเปล่งเสียงของท่าน
 หรือทำให้เสียงของท่านได้ยินตามถนน
3ไม้อ้อช้ำแล้ว ท่านจะไม่หัก
 และไส้ตะเกียงริบหรี่นั้น ท่านจะไม่ดับ
 ท่านจะส่งความยุติธรรมออกไปด้วยความซื่อสัตย์
4ท่านจะไม่อ่อนล้า
 จนกว่าท่านจะสถาปนาความยุติธรรมไว้ในโลก
 และแผ่นดินชายทะเลรอคอยธรรมบัญญัติของท่าน
5พระยาห์เวห์พระเจ้า
 ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และทรงขึงมันไว้
ผู้ทรงแผ่แผ่นดินโลกและสิ่งที่บังเกิดออกมาจากโลก
 ผู้ประทานลมหายใจแก่ประชาชนบนโลก
 และประทานวิญญาณแก่ผู้ดำเนินอยู่บนโลก ตรัสดังนี้ว่า
6“เราคือยาห์เวห์ เราเรียกเจ้ามาด้วยความชอบธรรม
 เราฉวยมือเจ้าและรักษาเจ้าไว้
เราให้เจ้าเป็นเหมือนพันธสัญญาแก่มนุษยชาติ
 และเป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ
7เพื่อเปิดตาคนตาบอดทั้งหลาย
 เพื่อนำผู้ถูกจำจองออกจากคุก
 นำผู้นั่งในความมืดออกจากเรือนจำ
8เราคือยาห์เวห์ นั่นเป็นนามของเรา
 เราไม่ให้สง่าราศีของเราแก่ผู้อื่น
 หรือให้คำที่สรรเสริญเราแก่รูปแกะสลัก
9ดูสิ สิ่งล่วงเลยมาแล้วนั้นก็สำเร็จ
 และเราก็ประกาศถึงสิ่งใหม่ๆ
ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะบังเกิดขึ้น
 เราได้เล่าให้ฟังแล้ว”

บทเพลงสรรเสริญ

10จงร้องเพลงบทใหม่ถวายพระยาห์เวห์
 ร้องเพลงสรรเสริญพระองค์จากปลายแผ่นดินโลก
พวกท่านที่ไปตามทะเล และบรรดาสิ่งที่อยู่ในนั้น
 ทั้งแผ่นดินชายทะเลและพวกอาศัยอยู่ที่นั่น
11จงให้ถิ่นทุรกันดารและเมืองในนั้นเปล่งเสียง
 ทั้งชนบทที่ชาวเคดาร์อาศัยอยู่
จงให้ผู้อาศัยของเส-ลาร้องเพลงด้วยความชื่นบาน
 ให้พวกเขาโห่ร้องมาจากยอดเขา
12ให้พวกเขาถวายพระสิริแด่พระยาห์เวห์
 และถวายสรรเสริญพระองค์ในแผ่นดินชายทะเล
13พระยาห์เวห์จะเสด็จออกไปอย่างผู้กล้า
 พระองค์ทรงเร้าความกระตือรือร้นขึ้นอย่างนักรบ
พระองค์ทรงร้อง พระองค์ทรงโห่ดัง
 พระองค์ทรงสำแดงอานุภาพต่อปฏิปักษ์ของพระองค์
14เราเงียบมานานแล้ว  เรานิ่งอยู่และเหนี่ยวรั้งตัวเองไว้
บัดนี้เราจะร้องออกมาเหมือนผู้หญิงกำลังคลอดลูก
 เราจะหายใจถี่และหอบ
15เราจะทำให้ภูเขาและเนินเขาเป็นที่ร้าง
 และให้พืชและหญ้าของมันเหี่ยวแห้งทั้งหมด
เราจะทำให้แม่น้ำกลายเป็นชายฝั่งทะเล
 และทำให้สระน้ำแห้งไป
16เราจะนำคนตาบอดทั้งหลาย
 ไปในทางที่เขาทั้งหลายไม่รู้จัก เราจะพาเขาเดินไป
 ในวิถีที่เขาไม่รู้จัก
เราจะให้ความมืดข้างหน้าพวกเขากลับเป็นความสว่าง
 ทำที่ขรุขระให้เป็นที่ราบ
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราจะทำ
 และเราจะไม่ละเลยสิ่งเหล่านี้
17พวกเขาจะหันกลับ และต้องขายหน้าอย่างที่สุด
 คือพวกที่วางใจในรูปแกะสลัก
พวกที่พูดกับรูปหล่อด้วยโลหะว่า
 “ท่านทั้งหลายเป็นพระของพวกเรา”
18จงฟังสิ พวกเจ้าคนหูหนวก
 และจงมองดูสิ พวกเจ้าคนตาบอด เพื่อจะได้เห็น
19ใครเป็นคนตาบอด ถ้าไม่ใช่ผู้รับใช้ของเรา?
 หรือใครหูหนวกเช่นเดียวกับทูตของเราที่เราใช้ไป? ใครตาบอดเช่นเดียวกับผู้ผูกพันกับเรา?
 หรือตาบอดเช่นเดียวกับผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์?
20เจ้าเห็นหลายอย่าง แต่ไม่ได้สังเกต
 หูของเจ้าผึ่ง แต่ไม่ได้ยิน
 ความไม่เชื่อฟังของอิสราเอล
21พระยาห์เวห์พอพระทัยเพราะเห็นแก่ความชอบธรรมของพระองค์
 ที่จะทำให้ธรรมบัญญัตินั้นยิ่งใหญ่และมีเกียรติ
22แต่นี่เป็นประชาชนที่ถูกริบและถูกปล้น
 เขาทุกคนติดกับดักอยู่ในหลุม
และซ่อนตัวอยู่ในเรือนจำ
 เขาตกเป็นของริบโดยไม่มีใครช่วยให้รอด
 ถูกปล้นโดยไม่มีใครพูดว่า “คืนให้สิ”
23มีใครในพวกท่านจะเงี่ยหูฟังเรื่องนี้?
 หรือจะตั้งใจรับฟังในภายหน้า?
24ใครมอบยาโคบให้แก่ผู้ปล้น
 และอิสราเอลให้แก่ผู้ริบ?
คือพระยาห์เวห์ผู้ที่เราทำบาปต่อพระองค์ไม่ใช่หรือ?
 ด้วยพวกเขาไม่ยอมดำเนินในทางของพระองค์
 ทั้งไม่เชื่อฟังธรรมบัญญัติของพระองค์
25ดังนั้นพระองค์จึงทรงเทพระพิโรธรุนแรงลงมาบนเขา
 รวมทั้งความน่ากลัวของสงคราม
มันทำให้เขาติดไฟรอบๆ ตัว แต่เขายังไม่เข้าใจ
 มันไหม้เขา แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ

อรรถาธิบาย

ทำตามแบบอย่างของพระเยซู:รับใช้ด้วยการนำ

คำขวัญของแซนด์เฮิสต์บนหมวก ตรา และเข็มขัดทุกอันคือ 'รับใช้ด้วยการนำ' นี่แหละคือสิ่งที่พระเยซูทรงเป็นแบบอย่าง ดังที่ เจ. ออสวัลด์ แซนเดอร์ส เขียนไว้ว่า ‘ความเป็นผู้นำที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นจากการจัดกำลังคนมารับใช้ตนเอง แต่คือการอุทิศตนเองรับใช้อย่างไม่เห็นแก่ตัว’

ดังที่เราได้เห็น เดิมทีพระเจ้าเลือกอิสราเอลให้เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ปรนนิบัติเคียงข้างพระองค์ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะประทานกำลังและช่วยเหลือพวกเขา (บทที่ 41 ข้อ 8–9)

อย่างไรก็ตาม ประชาชนอิสราเอลล้มลงในความบาปและกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา แม้การมีค่าสายตาที่ปกติในระยะ 20/20 ก็สามารถเป็นคนตาบอดทางฝ่ายจิตวิญญาณได้: 'เจ้าเป็นข้ารับใช้ของเรา และเจ้าไม่มองเรา! เจ้าเป็นผู้ส่งสารของเรา และเจ้าไม่ฟังเรา! ผู้คนที่เราหวังไว้ เหล่าผู้รับใช้ของพระเจ้า ตาบอดเหมือนค้างคาว ตาบอดอย่างจงใจ!’ (บทที่ 42 ข้อ19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

อิสยาห์พยากรณ์ถึงผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอีกคนหนึ่งไว้ว่า:

‘ดูคนใช้ของเราให้ดี
 เราสนับสนุนเขามากเท่าที่จะมากได้
เขาคือคนที่เราเลือกไว้
 และเราก็ยินดีกับเขาอย่างที่สุด
เราได้อาบเขาด้วยวิญญาณของเรา ชีวิตของเรา
 เขาจะทำทุกสิ่งให้ถูกต้องท่ามกลางประชาชาติ
เขาจะไม่เรียกร้องความสนใจในสิ่งที่เขาทำ
 ด้วยการกล่าวสุนทรพจน์เสียงดังหรือขบวนพาเหรดอันโอ่อ่า
เขาจะไม่ปัดเป่ารอยฟกช้ำและความเจ็บปวด
 และจะไม่เมินเฉยต่อสิ่งเล็กน้อยและไม่สำคัญ
แต่เขาจะกระทำให้ถูกต้องมั่นคงและหนักแน่น
 เขาจะไม่เหนื่อยและเลิกรา เขาจะไม่หยุดนิ่ง
 จนกว่าเขาจะทำงานสำเร็จ เพื่อสถาปนาสิ่งที่ถูกต้องบนแผ่นดินโลก’ (ข้อ 1–4ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

มัทธิวชี้ให้เห็นว่าพระเยซูทรงทำตามพระวจนะเหล่านี้ซึ่งตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ พระองค์ตรัสอ้างอิสยาห์ บทที่ 42 ข้อ 1–4 โดยตรง (มัทธิว 12:17–21)

ในพระเยซู คำพยากรณ์ในตอนนี้สำเร็จอย่างสมบูรณ์ ข้อความเกี่ยวกับผู้รับใช้อื่น ๆ ทั้งหมดในอิสยาห์ได้สำเร็จอย่างสมบูรณ์ผ่านพระเยซูเช่นเดียวกัน (อิสยาห์ 49:1–7; 50:4–9; 52:13-53:12) พระเยซูจะทรงเป็น 'ประภาคารสำหรับประชาชาติ...เปิดตาที่มืดบอด ปล่อยนักโทษออกจากคุกใต้ดิน กระทำคุกมืดให้ว่างเปล่า' (42:6-7 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เนื่องด้วยสิ่งที่พระเยซูทรงทำเพื่อคุณ คำสัญญาที่ยอดเยี่ยมต่อไปนี้จึงใช้ได้กับคุณ:

‘อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า
 อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า
เราจะเสริมกำลังเจ้า เราจะช่วยเจ้า
 เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา’ (41:10)

พระองค์จะทรงนำคุณไปตามทางที่ไม่คุ้นเคย เปลี่ยนความมืดให้เป็นความสว่างต่อหน้าคุณ และทำให้สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคกลับราบรื่น (42:16)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอบพระคุณที่พระองค์เพียงผู้เดียวได้ทำตามคำพยากรณ์อย่างสมบูรณ์ และพระองค์ไม่ได้ให้เกียรตินี้แด่ผู้อื่น (ข้อ 8) ขอบพระคุณสำหรับแบบอย่างของความอ่อนน้อมถ่อมตนและความอ่อนโยนของพระองค์ ขอบพระคุณที่พระองค์เรียกเราเช่นกันให้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ช่วยข้าพระองค์ให้ทำตามพระองค์ผู้เป็นแบบอย่าง

เพิ่มเติมโดยพิพพา

อิสยาห์ 41:9-10

 'เราได้เลือกเจ้าและไม่ปฏิเสธเจ้า
อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า
 อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า
เราจะเสริมกำลังเจ้า เราจะช่วยเจ้า
 เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา’

นี่เป็นถ้อยคำปลอบโยนที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณกำลังมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก

ข้อพระคำประจำวัน

อิสยาห์ 41:10

‘อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า  อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะเสริมกำลังเจ้า เราจะช่วยเจ้า  เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม