วัน 229

เพลิดเพลินกับพระเจ้าอย่างไร

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 98:1-9
พันธสัญญาใหม่ 1 โครินธ์ 11:2-34
พันธสัญญาเดิม 2 พงศาวดาร 7:11-9:31

เกริ่นนำ

คุณและผมถูกสร้างมาเพื่อนมัสการพระเจ้า แต่ทำไมพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เพื่อเพียงแค่ได้รับการสรรเสริญจากพวกเขา? นี่มิใช่ความไร้สาระอย่างที่บางคนบอกหรือ?

หลายปีก่อน ผมถูกช่วยให้เข้าใจการนมัสการผ่านทางคำอธิบายของ ซี. เอส. ลูอิส ในการใคร่ครวญพระธรรมสดุดี

เขาเขียนว่า ‘ข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัดที่สุดเรื่องการสรรเสริญ… ซึ่งผมพลาดไปอย่างน่าประหลาด…ผมไม่เคยสังเกตว่าทุกความเพลิดเพลินล้วนหลั่งไหลออกมาทันทีเมื่อสิ่งนั้นได้รับการสรรเสริญ...รอบตัวของเราล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยเสียงแห่งการสรรเสริญ ไม่ว่าจะเป็นนักเดินทางที่สรรเสริญชีวิตชนบท ผู้เล่นที่สรรเสริญเกมโปรด ทั้งยังมีการสรรเสริญดินฟ้าอากาศ ไวน์ อาหารจานอร่อย นักแสดง ม้า วิทยาลัย บ้านเมือง บุคคลในประวัติศาสตร์ เด็ก ๆ ดอกไม้ ภูเขา แสตมป์ดวงที่หายาก หนังสือหายาก บางครั้งแม้กระทั่งนักการเมืองและนักวิชาการ…

‘ผมคิดว่า เราปีติยินดีที่ได้สรรเสริญกับสิ่งที่เราเพลิดเพลิน เพราะการสรรเสริญไม่เพียงแค่แสดงออก แต่เติมเต็มความเพลิดเพลิน เป็นความบริบูรณ์ที่ถูกกำหนดไว้ ไม่ใช่แบบคำชมที่คู่รักต่างบอกซึ่งกันและกันว่าพวกเขางดงามอย่างไร ความปีติยินดียังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะถูกสำแดงออกมา’

พูดอีกอย่างก็คือ การนมัสการ คือ การบรรลุความชื่นชมยินดี ความชื่มยินดีของเราไม่อาจครบบริบูรณ์ได้จนกว่าสิ่งนั้นได้สำแดงออกมาผ่านทางการนมัสการ ซึ่งออกมาจากความรักของพระเจ้าที่มีต่อคุณในการที่พระเจ้าทรงสร้างคุณเพื่อนมัสการพระองค์ ตามหนังสือ The Westminster Shorter Catechism ที่ว่าเบื้องปลายที่สำคัญของมนุษยชาติ คือการถวายเกียรติแด่พระเจ้าและเพลิดเพลินกับพระองค์ตลอดไป’

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 98:1-9

สรรเสริญพระผู้ทรงพิพากษาโลก

เพลงสดุดี

1จงร้องเพลงบทใหม่ถวายแด่พระยาห์เวห์
 เพราะพระองค์ได้ทรงทำการอัศจรรย์ต่างๆ
พระหัตถ์ขวาและพระกรบริสุทธิ์ของพระองค์
 ได้ให้ชัยชนะแก่พระองค์
2พระยาห์เวห์ทรงให้ชัยชนะของพระองค์ประจักษ์
 พระองค์ทรงเปิดเผยความชอบธรรมของพระองค์ต่อสายตาบรรดาประชาชาติ
3พระองค์ทรงระลึกถึงความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์
 ต่อวงศ์วานอิสราเอล
 ที่สุดปลายแผ่นดินโลกทั้งสิ้นได้เห็นชัยชนะของพระเจ้าของเรา
4แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเอ๋ย จงโห่ร้องด้วยความชื่นบานถวายแด่พระยาห์เวห์
 จงโห่ร้องด้วยความยินดีและร้องเพลงสดุดี
5จงร้องเพลงสดุดีพระยาห์เวห์ด้วยพิณเขาคู่
 ด้วยพิณเขาคู่ คลอด้วยเสียงเพลง
6ด้วยเสียงแตรและเสียงเป่าเขาสัตว์
 จงโห่ร้องด้วยความชื่นบานเฉพาะพระพักตร์พระมหากษัตริย์ คือพระยาห์เวห์
7ให้ทะเลกับทุกอย่างที่อยู่ในนั้นคำราม
 อีกทั้งพิภพกับบรรดาผู้อาศัยอยู่ในนั้น
8ให้กระแสน้ำตบมือของมัน
 ให้บรรดาเนินเขาร้องเพลงด้วยความยินดีด้วยกัน
9เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์
 เพราะพระองค์เสด็จมาพิพากษาโลก
พระองค์จะทรงพิพากษาโลกด้วยความชอบธรรม
 และจะทรงพิพากษาชนชาติทั้งหลายด้วยความเที่ยงธรรม

อรรถาธิบาย

การร้องเพลงและดนตรี

ผู้เขียนสดุดีเรียกผู้คนให้นมัสการพระเจ้าด้วยการร้องเพลงและดนตรี ‘จง​ร้อง​เพลง​บท​ใหม่​ถวาย​แด่​พระ​ยาห์​เวห์… จง​โห่​ร้อง​ด้วย​ความ​ยินดี​และ​ร้อง​เพลง​สดุดี จง​ร้อง​เพลง​สดุดี​พระ​ยาห์​เวห์​ด้วย​พิณ​เขา​คู่ ด้วย​พิณ​เขา​คู่ คลอ​ด้วย​เสียง​เพลง’ (ข้อ 1,4–5)

สดุดีบทนี้เต็มไปด้วยสรรพเสียง เมื่อประชากรถูกขอให้ฉลองความดีงามของพระเจ้าในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย มีการเรียกให้ร้องเพลง โห่ร้องด้วยความยินดี เล่นเครื่องดนตรี และแม้แต่ปรบมือในการเฉลิมฉลองพระเจ้าของเรา

‘ทุกคน จง​โห่​ร้อง​สรรเสริญถวาย​แด่​พระ​เจ้า!
 จงปล่อยวางและร้องเพลง! กระหน่ำเสียงเพลง!
จงตั้งวงดนตรีเพื่อเล่นแด่พระเจ้า
 พร้อมด้วยเสียงประสานนับร้อย
ด้วยเสียงแตรและแตรใหญ่
 เติมบรรยากาศให้เต็มด้วยเสียงสรรเสริญต่อกษัตริย์องค์จอมราชา
ให้ทะเลและปลาในทะเลส่งเสียงชื่นชม
 ให้ทุกสิ่งบนแผ่นดินโลกร่วมกันชื่นชม’ (ข้อ 4–7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

นี่ล้วนเป็นการตอบสนองต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อเรา คุณถูกเรียกให้นมัสการพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด (ข้อ 1–3) พระมหากษัตริย์ (ข้อ 4–6) และองค์ผู้พิพากษา (ข้อ 7–9)

เมื่อเราได้อ่านบทนี้ผ่านทางมุมมองของพระเยซู เราสามารถเห็นว่านี่เป็นสดุดีแบบเผยพระวจนะ พระเยซูทรงเป็นผู้เดียวที่เป็น ‘พระหัตถ์ขวา’ ของพระเจ้า ผู้ทรง ‘ให้ชัยชนะ’ (ข้อ 1) พระองค์ทรงทำให้ความรอดของพระเจ้าเป็นที่รู้จัก และ ‘เปิดเผยความชอบธรรมของพระองค์ต่อสายตาบรรดาประชาชาติ’ (ข้อ 2) (ดูโรม 3:21 ด้วย)

มีความคาดหวังอย่างปีติยินดีในการฟื้นฟูทุกสรรพสิ่งทั่วทั้งโลกาเมื่อพระผู้ช่วยให้รอดจะเสด็จมาพิพากษาโลก (สดุดี 98:9) จากนั้นทุกการทรงสร้างจะได้รับการรื้อฟื้น (ข้อ 7–8) ตามที่อาจารย์เปาโลเขียนไว้ว่า ‘เพราะ​สรรพ​สิ่ง​ที่​ทรง​สร้าง​แล้ว คอย​ด้วย​ความ​ปรารถ​นา​อย่าง​ยิ่ง​ให้​บุตร​ทั้ง​หลาย​ของ​พระ​เจ้า​ปรา​กฎ...สรรพ​สิ่ง​เหล่า​นั้น​จะ​ได้​รอด​จาก​อำ​นาจ​แห่ง​ความ​เสื่อม​สลาย และ​จะ​เข้า​ใน​เสรี​ภาพ​และ​ศักดิ์​ศรี​แห่ง​ลูก ๆ ของ​พระ​เจ้า’ (โรม 8:19–21)

สดุดีบทนี้เป็นการสรรเสริญที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากชุมชนการนมัสการแห่งประชากรของพระเจ้า (สดุดี 98:1–3) สู่คนทุกคน (ข้อ 4–6) และสุดท้ายก็ไปสู่ทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้าง (ข้อ 7–9)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์นมัสการพระองค์ ขอบพระคุณสำหรับการช่วยกู้ข้าพระองค์ ขอบพระคุณสำหรับความรักและความสัตย์ซื่อของพระองค์ ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์สามารถนมัสการพระองค์ด้วยความยินดี บทเพลงแห่งความปีติยินดี ดนตรี และการโห่ร้อง ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์สามารถมั่นใจได้ในความยุติธรรมของการพิพากษาของพระองค์ พระองค์จะทรงพิพากษาโลกนี้อย่างยุติธรรม และประชาชนด้วยความเที่ยงธรรม
พันธสัญญาใหม่

1 โครินธ์ 11:2-34

การคลุมศีรษะในการนมัสการ

 2ข้าพเจ้าขอชมท่านทั้งหลายเพราะท่านระลึกถึงข้าพเจ้าในทุกเรื่อง และรักษาคำสอนสืบทอดต่างๆ ตามที่ข้าพเจ้ามอบไว้กับท่าน 3แต่ข้าพเจ้าต้องการให้พวกท่านเข้าใจว่า พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของชายทุกคน และชายเป็นศีรษะของหญิง และพระเจ้าเป็นพระเศียรของพระคริสต์ 4ผู้ชายทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระวจนะโดยมีผ้าบนศีรษะ ก็ทำความอับอายแก่ศีรษะของเขา 5แต่ผู้หญิงทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระวจนะโดยไม่คลุมศีรษะ ก็ทำความอับอายแก่ศีรษะของเธอ เพราะเหมือนกับว่าเธอได้โกนผมเสียแล้ว 6เพราะว่าถ้าผู้หญิงไม่คลุมศีรษะ ก็ควรจะตัดผมเสีย แต่ถ้าการตัดผมหรือโกนผมเป็นเรื่องน่าอับอายของผู้หญิง จงคลุมศีรษะเสีย 7ผู้ชายไม่สมควรคลุมศีรษะเพราะว่าผู้ชายเป็นพระฉายาและพระรัศมีของพระเจ้า ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นรัศมีของผู้ชาย 8(เพราะว่าผู้ชายไม่ได้มาจากผู้หญิง แต่ผู้หญิงมาจากผู้ชาย 9และไม่ได้ทรงสร้างผู้ชายเนื่องเพราะผู้หญิง แต่ทรงสร้างผู้หญิงเนื่องเพราะผู้ชาย) 10เพราะเหตุนี้เอง ผู้หญิงจึงสมควรจะมีสัญลักษณ์แห่งภาษากรีกไม่มีคำว่า สัญลักษณ์แห่งสิทธิอำนาจนี้อยู่บนศีรษะ เพราะเห็นแก่พวกทูตสวรรค์ 11(แต่อย่างไรก็ดี ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ชายก็ขาดผู้หญิงไม่ได้ และผู้หญิงก็ขาดผู้ชายไม่ได้ 12เพราะว่าเช่นเดียวกับที่ผู้หญิงมาจากผู้ชาย ผู้ชายก็มาโดยผู้หญิงเช่นกัน แต่ทุกสิ่งก็มาจากพระเจ้า) 13ท่านทั้งหลายจงตัดสินเองว่า การที่ผู้หญิงไม่คลุมศีรษะเมื่ออธิษฐานต่อพระเจ้านั้นสมควรหรือ? 14ธรรมชาติเองก็สอนท่านว่า ถ้าผู้ชายไว้ผมยาวก็เป็นเรื่องน่าอายของเขาไม่ใช่หรือ? 15แต่ถ้าผู้หญิงไว้ผมยาวก็เป็นศักดิ์ศรีของเธอ เพราะว่าผมเป็นสิ่งที่ประทานให้แก่เธอเพื่อคลุมศีรษะ 16แต่ถ้าใครคิดจะโต้แย้ง เราและคริสตจักรต่างๆ ของพระเจ้าก็ไม่รับธรรมเนียมดังกล่าวนี้

การถือพิธีมหาสนิทอย่างไม่ถูกต้อง

 17ในการกำชับต่อไปนี้ ข้าพเจ้าชมพวกท่านไม่ได้ คือว่าการชุมนุมกันของท่านมักจะได้ผลเสียมากกว่าผลดี 18ประการแรก ข้าพเจ้าได้ยินว่า เมื่อมาชุมนุมกันในคริสตจักร พวกท่านมีการแตกแยกกัน และข้าพเจ้าเชื่อว่าคงมีส่วนที่เป็นจริง 19เพราะจะต้องมีการขัดแย้งกันในพวกท่าน เพื่อฝ่ายถูกในพวกท่านจะปรากฏ 20เมื่อท่านทั้งหลายมาชุมนุมพร้อมกันนั้น จึงไม่ใช่การกินในงานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า 21เพราะว่าในการกินอาหารนั้น แต่ละคนต่างกินอาหารของตนก่อน บ้างก็ยังหิวอยู่ และบ้างก็เมา 22อะไรกันนี่ พวกท่านไม่มีบ้านที่จะกินและดื่มหรือ? หรือว่าท่านดูหมิ่นคริสตจักรของพระเจ้า และสร้างความอับอายให้กับคนที่ขัดสน จะให้ข้าพเจ้าพูดอย่างไร? จะให้ชมพวกท่านหรือ? ข้าพเจ้าไม่ขอชมท่านในเรื่องนี้เลย

การตั้งพิธีมหาสนิท

 23เพราะว่าเรื่องซึ่งข้าพเจ้ามอบไว้กับพวกท่านนั้น ข้าพเจ้าได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คือในคืนที่เขาทรยศพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงหยิบขนมปัง 24เมื่อขอบพระคุณแล้วจึงทรงหัก และตรัสว่า “นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อระลึกถึงเรา” 25หลังจากรับประทานอาหารแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วยด้วยอากัปกิริยาเดียวกัน ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา จงทำอย่างนี้ คือเมื่อใดที่พวกท่านดื่มจากถ้วยนี้ จงดื่มเพื่อระลึกถึงเรา” 26เพราะว่าเมื่อใดที่พวกท่านกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา

การถือพิธีมหาสนิทอย่างไม่เหมาะสม

 27ฉะนั้นถ้าใครกินขนมปัง หรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่เหมาะสม เขาก็ทำผิดต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า 28ทุกคนจงสำรวจตัวเอง แล้วจึงกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ 29เพราะว่าคนที่กินและดื่มโดยไม่ได้ตระหนักถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็กินและดื่มเป็นเหตุให้ตนเองถูกลงโทษ 30เพราะเหตุนี้พวกท่านหลายคนจึงอ่อนแอและเจ็บป่วย และบ้างก็ล่วงหลับไป 31แต่ถ้าเราวินิจฉัยตัวเอง เราคงไม่ต้องถูกพิพากษา 32เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเรา เพื่อไม่ให้เราถูกพิพากษาด้วยกันกับโลก
 33ฉะนั้นพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายมาชุมนุมกันเพื่อรับประทานอาหารนั้น จงรอกันและกัน 34ถ้ามีใครหิว ก็ให้กินที่บ้านก่อน เพื่อว่าเมื่อมาชุมนุมกัน พวกท่านจะไม่ถูกลงโทษ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น ข้าพเจ้าจะสั่งสอนเมื่อข้าพเจ้ามา

อรรถาธิบาย

ความยำเกรงและความขอบพระคุณ

เปาโลกล่าวถึงประเด็นการให้เกียรติและความเหมาะสมในการนมัสการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาได้พิจารณาบทบาทและสถานที่ของสตรีในการนมัสการ น้ำหมึกจำนวนมหาศาลหลั่งไหลออกมาเพื่ออภิปรายถึงความหมายของเนื้อหาตอนนี้

ความกังวลของเปาโลคือ ไม่ควรมีอะไรเป็นเหตุมาขัดขวางข่าวประเสริฐ มีข้อตกลงทั่วไปที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องของวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น มีคริสตจักรเพียงไม่กี่แห่งในปัจจุบันที่คาดหวังให้ผู้หญิงคลุมผม

สิ่งที่ชัดเจนคือ ทั้งชายและหญิงถูกคาดหวังให้อธิษฐาน และเผยพระวจนะในการประชุมนมัสการ (ข้อ 4–5) ชัดเจนด้วยว่า มีความเท่าเทียมกันในเรื่องเพศ และการพึ่งพาอาศัยกัน (ข้อ 11–12) 'ไม่ว่าทั้งผู้​ชายและผู้หญิง​ก็​ขาดกันและกัน หรืออ้างว่าตนสำคัญกว่าไม่ได้...ให้เลิกทำกิจวัตร "ใครมาก่อน" เหล่านี้กันเถิด’ (ข้อ 11–12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ถัดมา เปาโลอภิปรายต่อไปเรื่อง ‘งานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ (ข้อ 20) หรือ “พิธีมหาสนิท - the Eucharist” ตามที่ท่านเรียกไว้ในที่อื่น ๆ (Eucharistéin เป็นคำกริยากรีกแปลว่า ‘เพื่อขอบคุณ’)

นี่อาจเป็นเรื่องราวแรกสุดขององค์ประกอบนี้ในการประชุมนมัสการของเรา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการนมัสการแบบคริสเตียนมาตลอด 2,000 ปี ซึ่งได้รับการเฉลิมฉลองอย่างกว้างขวางโดยคริสตจักรทั่วโลก อีกครั้ง มีการอภิปรายจำนวนมหาศาลว่า เปาโลหมายความว่าอะไรกันแน่ อย่างไรก็ตาม สำหรับผม มีหลายสิ่งที่ชัดเจนจากพระธรรมตอนนี้:

  1. เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
    มีความคาดหวังว่า เมื่อพวกเขา ‘มาชุมนุม’ ใน ‘การชุมนุม’ ของพวกเขา (ข้อ 17,20) จะมีการจัด ‘งานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า’

  2. นี่เป็นสิ่งสำคัญ
    พระเยซูทรงบอกเราว่า ‘จงทำอย่างนี้’ (ข้อ 24) ผลสืบเนื่องของการไม่ทำสิ่งนี้อย่างเหมาะสมนั้นร้ายแรงมาก (ข้อ 27 เป็นต้นไป) ‘จงสำรวจแรงจูงใจของท่าน ทดสอบจิตใจของตนเอง ร่วมรับอาหารมื้อนี้ด้วยความยำเกรงอันบริสุทธิ์’ (ข้อ 28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

  3. นี่เป็นการประกาศ
    นี่เป็นวิธีหนึ่งที่คุณจะประกาศพระกิตติคุณ ‘เพราะว่าเมื่อใดที่พวกท่านกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ ท่าน​ก็​ประ​กาศ​การ​วาย​พระ​ชนม์​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า จน​กว่า​พระ​องค์​จะ​เสด็จ​มา’ (ข้อ 26)

  4. นี่เกี่ยวข้องกับทั้งการระลึกถึงพระเยซู (ข้อ 24–25) และ ‘ตระหนักถึงพระ​กาย​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า’ (ข้อ 29) จงคาดหวังที่จะพบพระเยซูเมื่อคุณรับขนมปังและเหล้าองุ่น

  5. นี่เป็นการเข้าส่วนในพระกายและพระโลหิตของพระคริสต์ (10:14 เป็นต้นไป) คำกรีกที่ใช้ตรงนี้คือคำว่า คอยโนเนีย – koinonia ซึ่งอาจหมายถึง ‘การแบ่งปัน’ หรือ ‘การสามัคคีธรรม’ นี่เป็นวิธีสำหรับเราที่จะรับและแบ่งปันในประโยชน์แห่งการวายพระชนม์ของพระเยซู

  6. นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของการขอบพระคุณ เราดื่มจาก ‘ถ้วยแห่งพร’ (10:16)

  7. นี่เป็นการแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน ‘แม้เรา​เป็น​บุค​คล​หลาย​คน แต่​เนื่อง​จาก​มี​ขนม​ก้อน​เดียว เรา​จึง​เป็น​ร่าง​กาย​เดียว เพราะ​ว่า​เรา​ทุก​คน​รับ​ประ​ทาน​ขนม​ก้อน​เดียว​กัน’ (ข้อ 17) หนึ่งในเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดของประวัติศาสตร์คริสตจักร คือ วิธีที่เป็นการแสดงออกอันยอดเยี่ยมของการเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ กลายเป็นเหตุให้แบ่งแยกกัน

  8. นี่เป็นการคาดการณ์ถึงการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า คุณกำลังประกาศว่า ‘การ​วาย​พระ​ชนม์​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า จน​กว่า​พระ​องค์​จะ​เสด็จ​มา’ (11:26)

ขนมปังและเหล้าองุ่นคือพระกาย และพระโลหิตของพระเยซู (ข้อ 24–25) นี่เป็นหนึ่งในวิธีที่เราจะมีประสบการณ์กับการทรงสถิตของพระองค์ในปัจจุบัน แน่นอนว่าความหมายจริง ๆ ของสิ่งนี้คือเป็นหัวข้อแห่งการคาดการณ์ การโต้แย้ง และการทะเลาะวิวาท แนวทางหนึ่งอาจเป็นเพียงการยอมรับมันเป็นความลึกลับและไม่ขุดค้นเบื้องหลังของพระคริสตธรรมคัมภีร์ และคาดเดามากเกินไปถึงวิธีที่สิ่งนี้ทำงานอย่างไรกันแน่

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้นมัสการพระองค์ในแบบที่ถูกต้องและเหมาะสม และทำให้พระองค์พอพระทัย ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้สนใจที่พระเยซู ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พบวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการนมัสการพระองค์ และเพลิดเพลินกับพระองค์ตลอดนิจนิรันดร์
พันธสัญญาเดิม

2 พงศาวดาร 7:11-9:31

พระเจ้าทรงปรากฏต่อซาโลมอน ครั้งที่ 2

 11ดังนี้แหละ ซาโลมอนทรงสร้างพระนิเวศของพระยาห์เวห์และพระราชวังเสร็จ คือทุกอย่างซึ่งพระองค์ทรงดำริจะทำในเรื่องพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และพระราชวังของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้สำเร็จ 12แล้วพระยาห์เวห์ทรงปรากฏแก่ซาโลมอนในเวลากลางคืนและตรัสกับพระองค์ว่า “เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้า และได้เลือกสถานที่นี้สำหรับเราให้เป็นนิเวศแห่งเครื่องสัตวบูชา 13ถ้าเราปิดฟ้าสวรรค์ไม่ให้ฝนตก หรือบัญชาตั๊กแตนให้มากินแผ่นดิน หรือส่งโรคระบาดมาท่ามกลางประชากรของเรา 14ถ้าประชากรของเราผู้ซึ่งเขาเรียกกันโดยนามของเรานั้นจะถ่อมตัวลง อธิษฐานและแสวงหาหน้าของเรา ทั้งหันเสียจากทางชั่วของพวกเขา เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่บาปของเขาและจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย 15และบัดนี้ตาของเราจะลืมอยู่และหูของเราจะฟังคำอธิษฐานซึ่งเขาทั้งหลายอธิษฐาน ณ สถานที่นี้ 16เพราะบัดนี้เราได้เลือกสรรและทำให้นิเวศนี้เป็นที่บริสุทธิ์เพื่อนามของเราจะอยู่ที่นั่นเป็นนิตย์ และตาของเรา ใจของเราจะอยู่ที่นั่นตลอดเวลา 17ส่วนเจ้า ถ้าเจ้าดำเนินต่อหน้าเราเหมือนอย่างดาวิดบิดาของเจ้าดำเนินนั้น และทำทุกอย่างตามที่เราได้บัญชาเจ้าไว้ ทั้งรักษากฎเกณฑ์และกฎหมายของเรา 18แล้วเราจะสถาปนาบัลลังก์ของเจ้า ดังที่เราได้ทำพันธสัญญาไว้กับดาวิดบิดาของเจ้าว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดชายที่จะครอบครองเหนืออิสราเอล’
 19“แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายหันไปและละทิ้งกฎเกณฑ์และบัญญัติของเราซึ่งเราตั้งไว้ต่อหน้าพวกเจ้า และไปปรนนิบัติพระอื่นๆ และนมัสการพระเหล่านั้น 20แล้วเราจะถอนเขาทั้งหลายจากแผ่นดินของเรา ซึ่งเราได้ให้แก่พวกเขาและเราจะเหวี่ยงนิเวศซึ่งเราทำให้บริสุทธิ์เพื่อนามของเราไปจากสายตาของเรา และเราจะทำให้เขาเป็นคำเปรียบเปรยและเป็นขี้ปากในหมู่ชนชาติทั้งหลาย 21และนิเวศนี้ซึ่งสูงส่ง ทุกคนที่ผ่านไปจะประหลาดใจ แล้วกล่าวว่า ‘ทำไมพระยาห์เวห์จึงทรงทำเช่นนี้แก่แผ่นดินนี้และพระนิเวศนี้?’ 22แล้วพวกเขาจะตอบว่า ‘เพราะเขาทั้งหลายละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา ผู้ทรงนำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์และไปยึดถือพระอื่นๆ อีกทั้งนมัสการและปรนนิบัติพระเหล่านั้น ฉะนั้นพระองค์จึงทรงนำเหตุร้ายทั้งหมดนี้มาเหนือเขาทั้งหลาย’ ”

2 พงศาวดาร 8

พระราชกิจอื่นๆ ของซาโลมอน

 1อยู่มาเมื่อสิ้นยี่สิบปี ที่ซาโลมอนใช้ทรงสร้างพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และพระราชวังของพระองค์ 2ซาโลมอนทรงบูรณะเมืองซึ่งกษัตริย์ฮีรามถวายแด่พระองค์ แล้วให้คนอิสราเอลอาศัยอยู่ในนั้น
 3ซาโลมอนเสด็จไปยังฮามัทโศบาห์ และยึดเมืองนั้นไว้ 4พระองค์ทรงสร้างเมืองทัดโมร์ไว้ในถิ่นทุรกันดาร นอกเหนือจากเมืองคลังหลวงทั้งหมดที่พระองค์ทรงสร้างไว้ในฮามัท 5พระองค์ทรงสร้างเมืองเบธโฮโรนบนและเบธโฮโรนล่างด้วย (เป็นเมืองปราการที่มีกำแพง ประตูเมือง และดาลประตู) 6พระองค์ทรงสร้างเมืองบาอาลัท และเมืองคลังหลวงทั้งหมดที่ซาโลมอนทรงมีอยู่ นอกเหนือจากเมืองสำหรับรถรบ และเมืองสำหรับทหารม้าทั้งหมดของพระองค์ รวมทั้งสิ่งใดที่พระองค์ทรงประสงค์จะสร้างในเยรูซาเล็ม ในเลบานอน และในแผ่นดินทั้งหมดที่พระองค์ทรงครอบครองอยู่ 7ประชาชนทั้งหมดที่เหลืออยู่ในพวกคนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ผู้ที่ไม่ใช่อิสราเอล 8จากเชื้อสายของพวกเขาที่เหลืออยู่ต่อมาในแผ่นดิน ซึ่งประชาชนอิสราเอลไม่ได้ทำลาย ซาโลมอนทรงให้ประชาชนเหล่านี้เป็นทาสแรงงานจนทุกวันนี้ 9แต่ส่วนคนอิสราเอลนั้นซาโลมอนไม่ได้ทรงทำให้เป็นทาสแรงงาน เขาทั้งหลายเป็นทหารและเป็นนายทหารของพระองค์ เป็นผู้บังคับบัญชารถรบ และทหารม้าของพระองค์ 10และคนพวกนี้เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของพระราชาซาโลมอนซึ่งมี 250 คน ที่เป็นผู้ปกครองประชาชน
 11ซาโลมอนทรงนำพระราชธิดาของฟาโรห์จากนครดาวิดหมายถึงกรุงเยรูซาเล็มมายังพระราชวังที่พระองค์ทรงสร้างไว้ให้พระนาง เพราะพระองค์ตรัสว่า “มเหสีของเราไม่ควรอยู่ในวังของดาวิดพระราชาแห่งอิสราเอล เพราะว่าสถานที่ต่างๆ ซึ่งหีบของพระยาห์เวห์ได้เข้าไปถึงนั้นล้วนบริสุทธิ์”
 12แล้วซาโลมอนทรงถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแด่พระยาห์เวห์บนแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ ซึ่งซาโลมอนทรงสร้างไว้ที่หน้ามุข 13ตามหน้าที่ประจำวันที่ต้องทำคือการถวายบูชาตามบัญญัติของโมเสส ในวันสะบาโต ในวันขึ้นหนึ่งค่ำ และในเทศกาลเลี้ยงประจำปีสามเทศกาล คือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลสัปดาห์ และเทศกาลอยู่เพิง 14และตามกฎหมายของดาวิดพระราชบิดาของพระองค์ พระองค์ทรงแบ่งเวรของบรรดาปุโรหิตในการปรนนิบัติ และแบ่งเวรของบรรดาเลวีในหน้าที่ของการสรรเสริญ และการรับใช้ต่อหน้าปุโรหิตตามหน้าที่ประจำวันที่ต้องทำ และแบ่งคนเฝ้าประตูเป็นเวรเฝ้าประตู เพราะว่าดาวิดคนของพระเจ้าทรงบัญชาไว้อย่างนั้น 15และเขาทั้งหลายไม่ได้หันไปจากสิ่งที่พระราชาทรงบัญชาพวกปุโรหิตและคนเลวีไว้ ไม่ว่าในเรื่องใด รวมทั้งเรื่องการคลัง
 16พระราชกิจทั้งหมดของซาโลมอนก็ลุล่วงตั้งแต่วันที่วางรากฐานพระนิเวศของพระยาห์เวห์ จนถึงวันที่งานเสร็จ พระนิเวศของพระยาห์เวห์ก็สำเร็จครบถ้วน 17แล้วซาโลมอนเสด็จไปยังเมืองเอซิโอนเกเบอร์และเมืองเอโลทที่ชายทะเลในดินแดนเอโดม 18และฮีรามก็ทรงให้ข้าราชการของพระองค์ส่งเรือ และส่งคนงานที่คุ้นเคยกับทะเลไปให้ซาโลมอน แล้วพวกเขาก็ไปกับคนงานของซาโลมอนถึงเมืองโอฟีร์ และนำเอาทองคำหนักประมาณ 15,000 กิโลกรัมจากที่นั่นมายังกษัตริย์ซาโลมอน

2 พงศาวดาร 9

พระราชินีแห่งเชบาเสด็จเยี่ยมซาโลมอน

 1เมื่อพระราชินีแห่งเชบาทรงได้ยินกิตติศัพท์ของซาโลมอน พระนางก็เสด็จมายังเยรูซาเล็ม เพื่อทดสอบพระองค์ด้วยปัญหายุ่งยากต่างๆ พร้อมด้วยข้าราชบริพารมากมาย กับฝูงอูฐบรรทุกเครื่องเทศทองคำเป็นอันมาก และอัญมณีล้ำค่า และเมื่อพระนางเสด็จมาถึงซาโลมอนแล้ว พระนางทูลเรื่องทุกอย่างในใจต่อพระองค์ 2และซาโลมอนตรัสตอบปัญหาทุกข้อของพระนาง ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้นจากซาโลมอนที่พระองค์จะทรงตอบพระนางไม่ได้ 3และเมื่อพระราชินีแห่งเชบาทรงเห็นพระสติปัญญาของซาโลมอน และพระราชวังที่พระองค์ทรงสร้าง 4ทั้งอาหารที่โต๊ะเสวย กับที่นั่งของบรรดาข้าราชการ การปรนนิบัติของพวกมหาดเล็ก เครื่องแต่งกายของพวกเขา ทั้งพนักงานเชิญถ้วยเสวยของพระองค์ ตลอดจนเครื่องแต่งกายของพวกเขา รวมทั้งเครื่องบูชาเผาทั้งตัวของพระองค์ที่ทรงถวายบูชา พระทัยของพระนางก็ตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
 5พระนางทูลพระราชาว่า “ข่าวคราวซึ่งหม่อมฉันได้ยินในประเทศของหม่อมฉัน เกี่ยวกับพระราชกิจและพระสติปัญญาของฝ่าพระบาทเป็นความจริง 6แต่หม่อมฉันไม่เชื่อถ้อยคำเหล่านั้น จนกระทั่งหม่อมฉันได้มาเฝ้าและเห็นกับตาเอง ดูสิ ที่เขาบอกกับหม่อมฉันก็ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของพระสติปัญญายิ่งใหญ่ของฝ่าพระบาท ฝ่าพระบาทเลิศล้ำยิ่งกว่าข่าวคราวที่หม่อมฉันได้ยินเสียอีก 7บรรดาคนของฝ่าพระบาทก็เป็นสุข บรรดาข้าราชการเหล่านี้ของฝ่าพระบาทก็เป็นสุข คือผู้ที่คอยปรนนิบัติเฉพาะพระพักตร์ฝ่าพระบาทเป็นประจำและฟังพระสติปัญญาของฝ่าพระบาท 8สาธุการแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท ผู้พอพระทัยในฝ่าพระบาทและทรงแต่งตั้งฝ่าพระบาทไว้บนบัลลังก์ เป็นพระราชาเพื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท เพราะพระเจ้าของฝ่าพระบาททรงรักอิสราเอลและจะสถาปนาอิสราเอลไว้เป็นนิตย์ พระองค์จึงทรงแต่งตั้งให้ฝ่าพระบาทเป็นพระราชาเหนือเขาทั้งหลาย เพื่อฝ่าพระบาทจะทรงอำนวยความยุติธรรมและความชอบธรรม” 9แล้วพระนางก็ถวายทองคำหนัก 4,000 กิโลกรัมแด่พระราชา ทั้งเครื่องเทศอีกเป็นจำนวนมาก และอัญมณีล้ำค่า ไม่เคยมีเครื่องเทศเหมือนอย่างที่พระราชินีแห่งเชบาถวายแด่พระราชาซาโลมอน
 10ยิ่งกว่านั้นอีก ข้าราชการของฮีรามและข้าราชการของซาโลมอน ผู้ซึ่งนำทองคำมาจากโอฟีร์ ได้นำไม้ประดู่และอัญมณีล้ำค่ามาด้วย 11แล้วพระราชาทรงใช้ไม้ประดู่ทำขั้นบันไดความหมายในภาษาฮีบรูไม่ชัดเจนพระนิเวศของพระยาห์เวห์และพระราชวังของพระราชา ทั้งทำพิณเขาคู่และพิณใหญ่สำหรับพวกนักร้อง ซึ่งไม่เคยเห็นมีอย่างนั้นมาก่อนในแผ่นดินยูดาห์
 12พระราชาซาโลมอนประทานแก่พระราชินีแห่งเชบาทุกอย่างที่พระนางทรงประสงค์ตามที่ทูลขอ มากยิ่งกว่าสิ่งที่พระนางนำมาถวายพระราชา ดังนั้นพระนางก็เสด็จกลับไปยังแผ่นดินของพระนางพร้อมกับพวกข้าราชการ

ความมั่งคั่งของซาโลมอน

 13น้ำหนักทองคำที่นำมาส่งซาโลมอนในปีหนึ่งนั้นหนัก 23,000 กิโลกรัม 14นอกเหนือจากทองซึ่งนักธุรกิจและพ่อค้านำมา และกษัตริย์ทั้งหมดแห่งอาระเบียและบรรดาเจ้าเมืองแห่งแผ่นดินก็ได้นำทองคำและเงินมายังซาโลมอน 15พระราชาซาโลมอนทรงให้เอาทองคำมาทุบเป็นโล่ใหญ่ 200 อัน โล่อันหนึ่งใช้ทองคำหนักประมาณ 7 กิโลกรัม 16และพระองค์ทรงให้เอาทองคำมาทุบเป็นโล่ 300 อัน โล่อันหนึ่งใช้ทองคำหนักประมาณ 3.5 กิโลกรัม และพระราชาทรงเก็บโล่ไว้ในพระตำหนักพนาเลบานอน 17พระราชาทรงทำพระที่นั่งงาช้างขนาดใหญ่ และทรงบุด้วยทองคำบริสุทธิ์ 18พระที่นั่งนั้นมีบันไดหกขั้นกับที่รองพระบาททำด้วยทองคำ ซึ่งติดอยู่กับพระที่นั่ง และสองข้างของพระที่นั่งมีที่วางพระหัตถ์ มีรูปสิงโตสองตัวยืนอยู่ข้างๆ ที่วางพระหัตถ์ 19และมีสิงโตอีกสิบสองตัวยืนอยู่บนข้างบันไดหกขั้นขั้นละสองตัว ไม่มีราชอาณาจักรใดๆ เคยทำสิ่งที่เหมือนอย่างนี้เลย 20ถ้วยทั้งสิ้นของพระราชาซาโลมอนทำด้วยทองคำ และภาชนะทั้งสิ้นของพระตำหนักพนาเลบานอนทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ เงินนั้นถือว่าเป็นของไม่มีค่าอะไรในสมัยของซาโลมอน 21เพราะเรือของพระราชาแล่นไปยังทารชิชพร้อมกับข้าราชการของฮีราม กองเรือเมืองทารชิชนำทองคำ เงิน งาช้าง ลิง และนกยูงแปลได้อีกว่า ลิงบาบูนมาสามปีต่อครั้ง
 22ดังนั้น พระราชาซาโลมอนจึงทรงยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์อื่นๆ ในโลกในเรื่องสมบัติและสติปัญญา 23และพระราชาทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลกก็แสวงหาที่จะเข้าเฝ้าซาโลมอน เพื่อจะฟังพระสติปัญญาซึ่งพระเจ้าประทานไว้ในใจของพระองค์ 24ทุกคนนำเครื่องบรรณาการของเขามา คือภาชนะเงินและภาชนะทอง เสื้อผ้า อาวุธ เครื่องเทศ ม้า และล่อ ตามจำนวนกำหนดทุกๆ ปี 25และซาโลมอนทรงมีคอกสำหรับม้าและรถรบ 4,000 ช่อง และมีทหารม้า 12,000 คน ซึ่งพระองค์ทรงให้ประจำในเมืองรถรบและอยู่กับพระราชาที่กรุงเยรูซาเล็ม 26และพระองค์ทรงครอบครองเหนือพระราชาทั้งหมดตั้งแต่แม่น้ำยูเฟรติสถึงแผ่นดินของคนฟีลิสเตีย และถึงพรมแดนของอียิปต์ 27และพระราชาทรงทำให้เงินในกรุงเยรูซาเล็มเป็นเหมือนก้อนหิน และทำให้ไม้สนสีดาร์มีมากมายเหมือนต้นมะเดื่อที่เนินเชเฟลาห์ 28และเขานำม้าเข้ามาถวายซาโลมอนจากอียิปต์ และจากดินแดนทุกแห่ง

การสิ้นพระชนม์ของซาโลมอน

 29ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของซาโลมอน ตั้งแต่ต้นจนจบได้บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของนาธันผู้เผยพระวจนะ และในคำเผยพระวจนะของอาหิยาห์ชาวชีโลห์ รวมทั้งในนิมิตของอิดโดผู้ทำนายเกี่ยวกับเยโรโบอัมบุตรเนบัทไม่ใช่หรือ? 30ซาโลมอนครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มเหนืออิสราเอลทั้งสิ้น 40 ปี 31และซาโลมอนทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้ในนครของดาวิดพระราชบิดาของพระองค์ และเรโหโบอัมพระราชโอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน

อรรถาธิบาย

ความสัตย์ซื่อและความร้อนรน

ซาโลมอน ‘ทรงสร้างพระนิเวศของพระ​ยาห์​เวห์​และ​พระ​ราช​วัง​เสร็จ คือ​ทุก​อย่าง​ซึ่ง​พระ​องค์​ทรง​ดำริ​จะ​ทำ​ใน​เรื่อง​พระ​นิเวศ​ของ​พระ​ยาห์​เวห์’ (7:11) เขาถวายเกียรติพระเจ้าผ่านทางสิ่งที่พระองค์ทรงทำสำเร็จ

ผู้เขียนพงศาวดารเน้นเรื่องราวของเขาไปที่รัชสมัยของดาวิด และซาโลมอน แวดล้อมด้วยอาคารซึ่งเป็นสถานนมัสการพระเจ้า พระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างในรัชสมัยของพวกเขากลับกลายเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ พวกเขาสร้างสถานนมัสการและพระเจ้าทรงอวยพรพวกเขาอย่างอุดมสมบูรณ์

ชื่อเสียงของซาโลมอนกระจายออกไป (ดังที่เราได้อ่านในบทที่ 8 และ 9) พระราชินีแห่งเชบา (น่าจะเป็นประเทศเยเมนในยุคปัจจุบัน) มาเยือนและทรงตกตะลึงในสิ่งที่พระนางได้ทอดพระเนตร (9:1–7) จนพระนางเองได้สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า (ข้อ 8) (น่าสนใจว่าในแง่ของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เกี่ยวกับผู้หญิง ไม่มีคำถามใด ๆ ถูกยกมาในตอนนี้เรื่องที่กษัตริย์สตรีปกครองประเทศ)

ความอัจฉริยะของซาโลมอนนั้นยอดเยี่ยม หลังจากที่ซาโลมอนได้สร้างพระวิหาร องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงปรากฎแก่เขาและตรัสว่า '… ถ้า​ประ​ชา​กร​ของ​เรา​ผู้​ซึ่ง​เขา​เรียก​กัน​โดย​นาม​ของ​เรา​นั้น​จะ​ถ่อม​ตัว​ลง อธิษ​ฐาน​และ​แสวง​หา​หน้า​ของ​เรา ทั้ง​หัน​เสีย​จาก​ทาง​ชั่ว​ของ​พวก​เขา เรา​ก็​จะ​ฟัง​จาก​สวรรค์ และ​จะ​ให้​อภัย​แก่​บาป​ของ​เขา​และ​จะ​รักษา​แผ่น​ดิน​ของ​เขา​ให้​หาย’ (7:14)

พระคริสตธรรมคัมภีร์ข้อนี้มีชื่อเสียงพอสมควร และบ่อยครั้งถูกใช้เพื่อเป็นแบบอย่างสำหรับการนมัสการและการอธิษฐาน ในจุดนี้เราได้เห็นเงื่อนไขในเรื่องความสัตย์ซื่อในการนมัสการ และยังมีเงื่อนไขในการฟื้นฟูอีกด้วย จากสถานการณ์โควิด-19 เป็นที่น่าสังเกตว่าบริบทก่อนและหลังมีความเป็นไปได้ที่อาจเกิดโรคระบาดใหญ่ (‘โรคระบาด’ ข้อ 13) เราเห็นในข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์นี้ว่า เราจำเป็นต้องทำสี่สิ่ง:

  1. ถ่อมตัวของเราลง
  2. อธิษฐาน
  3. แสวงหาพระพักตร์พระเจ้า
  4. หัน​เสีย​จาก​ทาง​ชั่ว​ของเรา

จากนั้นพระเจ้าทรงสัญญาว่า พระองค์จะทรงกระทำสามสิ่ง ได้แก่

  1. ฟังจากสวรรค์
  2. ให้อภัยแก่บาปของพวกเรา
  3. รักษาแผ่นดินให้หาย

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า วันนี้ ข้าพระองค์ต้องการจะถ่อมตัวลงและอธิษฐานและแสวงหาพระพักตร์พระองค์ และกลับใจจากความบาปของข้าพระองค์ ข้าพระองค์อธิษฐานขอให้พระองค์ทรงฟังจากสวรรค์และทรงอภัยบาปของพระองค์และรักษาแผ่นดินของเรา ขอให้เราได้ถวายเกียรติแด่พระองค์และเพลิดเพลินกับพระองค์ตลอดนิจนิรันดร์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

2 พงศาวดาร 8:11

‘มเห​สี​ของ​เรา​ไม่​ควร​อยู่​ใน​วัง​ของ​ดาวิดพระ​ราชา​แห่ง​อิส​รา​เอล เพราะว่า​สถาน​ที่​ต่าง ๆ ซึ่ง​หีบ​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​ได้​เข้า​ไป​ถึง​นั้น​ล้วน​บริ​สุทธิ์’

ฉันคาดว่านี่เป็นเพราะบุตรีของฟาโรห์ไม่ได้นมัสการพระเจ้า มากกว่าเหตุผลอื่นใดที่ทำให้พวกเธอไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้

ข้อพระคำประจำวัน

2 พงศาวดาร 7:14

‘… ถ้า​ประ​ชา​กร​ของ​เรา…​จะ​ถ่อม​ตัว​ลง อธิษ​ฐาน​และ​แสวง​หา​หน้า​ของ​เรา ทั้ง​หัน​เสีย​จาก​ทาง​ชั่ว​ของ​พวก​เขา เรา​ก็​จะ​ฟัง​จาก​สวรรค์ และ​จะ​ให้​อภัย​แก่​บาป​ของ​เขา​และ​จะ​รักษา​แผ่น​ดิน​ของ​เขา​ให้​หาย’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม