วัน 224

สนุกกับชีวิตในปัจจุบัน

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 19:23-20:4
พันธสัญญาใหม่ 1 โครินธ์ 7:17-35
พันธสัญญาเดิม ปัญญาจารย์ 4:1-6:12

เกริ่นนำ

บางคนมองชีวิตในปัจจุบันว่าเป็นเหมือนแม่มดสามตนในวรรณกรรมเรื่อง แมคเบธ (Macbeth) ของเชคสเปียร์ ที่ว่า ‘สองชั้นซ้ำซ้อน ดิ้นรนทนปัญหา’ ผมมีมุมมองต่อชีวิตตัวเองที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเพื่อนคนหนึ่งชี้ให้ผมเห็นอย่างชาญฉลาดว่า ในแง่หนึ่งของชีวิตเป็นเหมือนชุดของแบบฝึกหัดเกี่ยวกับการแก้ปัญหา เราไม่เคยอยู่โดยปราศจากปัญหาใด ๆ ในชีวิตได้ ท่ามกลางความท้าทายทั้งหมด หากคุณไม่สามารถเรียนรู้ที่จะเติบโตในสถานการณ์ที่จะทำให้คุณค้นพบตัวเอง คุณจะไม่มีวันพบกับความพอใจ

ผู้เขียนปัญญาจารย์กล่าวว่า ‘เราควรใช้ประโยชน์จากสิ่งที่พระเจ้าให้มากที่สุด ทั้งความโปรดปรานและความสามารถในการสนุกไปกับมัน ยอมรับในสิ่งที่ให้มาและยินดีกับงาน นี่เป็นของประทานจากพระเจ้า พระเจ้าประทานความสุขในปัจจุบัน บัดเดี๋ยวนี้’ (ปัญญาจารย์ 5:19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เรียนรู้ที่จะสนุกกับของประทานแห่งชีวิตอันอัศจรรย์นี้ ถ้าคุณไม่ทำเช่นนั้น ชีวิตก็จะผ่านเลยไป และคุณจะไม่มีวันสนุกกับจุดที่คุณอยู่ในตอนนี้

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 19:23-20:4

23ความยำเกรงพระยาห์เวห์นำไปสู่ชีวิต
 และผู้ยำเกรงพระองค์จะอยู่อย่างผาสุก
 จะไม่มีสิ่งร้ายใดๆ มาแผ้วพาน
24คนเกียจคร้านฝังมือของตนในชาม
 และไม่ยอมแม้แต่จะนำอาหารมาสู่ปากของตน
25จงตีคนที่ชอบเยาะเย้ย แล้วคนรู้น้อยจะกลายเป็นคนสุขุม
 จงตักเตือนคนที่มีความเข้าใจและเขาจะได้ความรู้
26คนที่ทำร้ายบิดาและขับไล่มารดา
 เป็นบุตรชายผู้นำความอับอายและความเสื่อมเสียมา
27ลูกเอ๋ย ถ้าเจ้าเลิกฟังคำสั่งสอน
 เจ้าก็จะหลงไปจากคำแห่งความรู้
28พยานชั่วช้าย่อมเยาะเย้ยความยุติธรรม
 และปากของคนอธรรมก็กลืนกินความชั่วร้าย
29การพิพากษามีพร้อมสำหรับคนที่ชอบเยาะเย้ย
 และการโบยก็สำหรับหลังของคนโง่

สุภาษิต 20

1เหล้าองุ่นทำให้ชอบเยาะเย้ย และสุราก็ทำให้เกะกะระราน
 ใครยอมให้มันพาเจิ่นไป ก็ไม่มีปัญญา
2ความกริ้วอันน่ากลัวของพระราชาก็เหมือนเสียงคำรามของสิงห์หนุ่ม
 ใครยั่วพระองค์ให้กริ้วก็เสี่ยงชีวิตตนเอง
3ที่จะหลีกเลี่ยงการวิวาทก็เป็นเกียรติสำหรับคนเรา
 แต่คนโง่ทุกคนจะทะเลาะวิวาทกัน
4คนเกียจคร้านไม่ไถนาในหน้านา
 เขาจะมองหาพืชผลในฤดูเกี่ยวแต่ไม่พบอะไรเลย

อรรถาธิบาย

จงวางใจ ยำเกรง และถวายเกียรติแด่พระเจ้า

คำตอบของปัญหา ตามที่ผู้เขียนสุภาษิตว่าไว้คือ ‘ความยำเกรงพระยาห์เวห์’ (19:23ก) นั่นคือ การดำเนินชีวิตในความสัมพันธ์กับพระเจ้า วางใจในพระองค์ ยำเกรง และถวายเกียรติพระองค์ เขาเขียนว่า ‘ความยำเกรงพระยาห์เวห์นำไปสู่ชีวิต และผู้ยำเกรงพระองค์จะอยู่อย่างผาสุก จะไม่มีสิ่งร้ายใด ๆ มาแผ้วพาน’ (ข้อ 23)

ผู้เขียนพูดต่อไปถึงสาเหตุของปัญหาบางประการ:

  1. ความเกียจคร้าน
    ความเกียจคร้านถูกเน้นในพระธรรมตอนนี้ว่าเป็นสาเหตุของปัญหาในอนาคต ‘ชาวนาที่เกียจคร้านไม่ไถนาในหน้านา เขาจะมองหาพืชผลในฤดูเกี่ยวแต่ไม่พบอะไรเลย’ (20:4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล, ดู 19:24 ด้วย)

  2. การชอบถากถาง
    การเยาะเย้ย (19:25,29) เป็นรูปแบบหนึ่งของการถากถาง ซึ่งเป็นเรื่องปรกติในวัฒนธรรมของเราในปัจจุบัน มันอาจติดเชื้อเข้ามาแม้กระทั่งในคริสตจักร แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่เป็นสิ่งที่นำไปสู่ปัญหา

3.ความอาฆาตพยาบาท
ความไม่สัตย์ซื่อเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของปัญหา การขโมยนำไปสู่ ‘ความอับอายและเสื่อมเสีย’ (ข้อ 26) ‘พยานชั่วช้าย่อมเยาะเย้ยความยุติธรรม และปากของคนอธรรมก็พูดความอาฆาตพยาบาท’ (ข้อ 28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

  1. การใช้สารเสพติด
    'ไวน์ทำให้ท่านหยาบคาย เบียร์ทำให้มีเรื่อง เมาจนเป๋ก็ไม่สนุกเท่าไหร่’ (20:1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ปัญหามากมายมีเหตุมาจากคนเมา อาชญากรรมมากมายปรากฎในสังคมก็เกิดขึ้นภายใต้ผลจากเหล้าหรือยาเสพติด

  2. การทะเลาะเบาะแว้ง (ข้อ 3)
    ‘เครื่องหมายของคนที่มีคุณลักษณะที่ดี คือ หลีกเลี่ยงการวิวาท แต่คนโง่เขลาชอบหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง’ (ข้อ 3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่ความสัมพันธ์กับพระองค์นำไปสู่ชีวิตและความอิ่มใจขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้หลีกเลี่ยงสาเหตุของปัญหาที่ไม่จำเป็นด้วย
พันธสัญญาใหม่

1 โครินธ์ 7:17-35

ลักษณะชีวิตซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดไว้

 17อย่างไรก็ตาม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดสภาพแต่ละคนมาอย่างไร และพระเจ้าทรงเรียกแต่ละคนในสภาพอย่างไร ก็ให้เขาดำเนินต่อไปอย่างนั้น ข้าพเจ้าสั่งคริสตจักรทั้งหมดให้ทำเช่นนี้ 18มีชายคนไหนที่พระเจ้าทรงเรียกเมื่อเขาได้เข้าสุหนัตแล้ว ก็อย่าให้เขาลบรอยนั้นเสีย หรือมีชายคนไหนที่พระเจ้าทรงเรียกเมื่อเขาไม่ได้เข้าสุหนัต ก็อย่าให้เขาเข้าสุหนัต 19การเข้าสุหนัตหรือไม่นั้นไม่สำคัญอะไร แต่การถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้านั้นสำคัญ 20ให้แต่ละคนอยู่ตามสภาพที่เป็นอยู่ 21พระเจ้าทรงเรียกท่านเมื่อยังเป็นทาสอยู่หรือ? อย่าเป็นห่วงเลย แต่ถ้าท่านสามารถเป็นไทได้ ก็จงใช้สิทธิ์นั้นแปลได้อีกว่า แม้ท่านสามารถเป็นไท แต่ก็ควรใช้ประโยชน์จากสภาพที่กำลังเป็นอยู่ 22เพราะว่าผู้ใดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียก เมื่อยังเป็นทาส ผู้นั้นเป็นเสรีชนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในทำนองเดียวกันคนที่ได้รับการทรงเรียกเมื่อเป็นไท คนนั้นเป็นทาสของพระคริสต์ 23พระเจ้าทรงซื้อพวกท่านด้วยราคาสูง อย่าเป็นทาสของมนุษย์เลย 24พี่น้องทั้งหลาย แต่ละคนได้รับการทรงเรียกในสภาพใด ก็ให้อยู่ในสภาพนั้นกับพระเจ้า

พวกคนโสดกับแม่ม่าย

 25เรื่องบรรดาคนโสดนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้รับพระบัญชาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็ขอออกความเห็น ในฐานะที่เป็นคนไว้ใจได้ด้วยพระเมตตาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 26เพราะเหตุความทุกข์ยากที่ใกล้จะมาถึงข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเรื่องดีที่ทุกคนจะอยู่อย่างที่เขาเป็นอยู่ 27ท่านผูกพันกับภรรยาแล้วใช่ไหม? อย่าหาทางทิ้งภรรยาเลย ท่านยังไม่มีภรรยาใช่ไหม? อย่าหาภรรยาเลย 28ถ้าท่านจะแต่งงานก็ไม่ได้ทำผิด และถ้าหญิงพรหมจารีจะแต่งงานก็ไม่ได้ทำผิด แต่คนเหล่านี้จะมีความยากลำบากในชีวิต และข้าพเจ้าอยากจะกันพวกท่านไว้จากความยากลำบากนั้น 29พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความว่าเวลากำหนดก็สั้นมากแล้ว ตั้งแต่นี้ไปให้พวกที่มีภรรยาดำเนินชีวิตเหมือนกับไม่มีภรรยา 30พวกที่เศร้าโศก เหมือนกับไม่ได้เศร้าโศก พวกที่ชื่นชมยินดี เหมือนกับไม่ได้ชื่นชมยินดี บรรดาคนที่ซื้อ ก็เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเลย 31และพวกที่ใช้ของโลกนี้ ก็เหมือนกับว่าไม่ได้ใช้อย่างเต็มที่ เพราะระบอบของโลกนี้กำลังล่วงไป
 32ข้าพเจ้าต้องการให้พวกท่านพ้นจากความพะวง ชายที่ไม่แต่งงานก็ห่วงใยในสิ่งที่เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อจะให้เป็นที่พอพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า 33แต่คนที่แต่งงานก็พะวงในสิ่งที่เป็นของโลกนี้ เพื่อจะให้เป็นที่พอใจของภรรยา 34เป็นการสองฝักสองฝ่าย หญิงที่ไม่แต่งงาน และหญิงพรหมจารี ก็ห่วงใยในสิ่งที่เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเธอจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ทั้งกายและจิตวิญญาณ แต่หญิงที่แต่งงานแล้วก็พะวงในสิ่งที่เป็นของโลกนี้ เพื่อจะให้เป็นที่พอใจของสามี 35ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ ก็เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย ไม่ใช่จะเอาบ่วงคล้องท่าน แต่เพื่อชีวิตที่เหมาะสม และเพื่อให้การอุทิศตัวต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ถูกจำกัด

อรรถาธิบาย

อุทิศตัวอย่างสุดใจให้กับพระเจ้า

หนึ่งในปัญหาหลักทุกวันนี้คือความวิตกกังวลและความกระสับกระส่าย ซึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมที่คอยเปรียบเทียบตลอดเวลา และพฤติกรรมการกลัวตกกระแส (FOMO - Fear of missing out)

คำตอบสำหรับ FOMO นั้น พบได้ในถ้อยคำของเปาโลที่เริ่มต้นในพระธรรมสำหรับวันนี้ ‘อย่าหวังว่าท่านจะอยู่ที่อื่น หรืออยู่กับคนอื่น จุดที่ท่านอยู่ในตอนนี้เป็นจุดที่พระเจ้าทรงเลือกให้ไว้สำหรับท่าน’ (ข้อ 17, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เปาโลให้หลักการซึ่งจากนี้การประยุกต์ใช้ทั้งหมดก็หลั่งไหลออกมา (ข้อ 17–24) คริสเตียนใหม่ควรอยู่ในจุดที่พวกเขาอยู่เมื่อกลับใจมาเชื่อพระเจ้า

ท่านมอบตัวอย่างไว้สามประการ การสมรส การเข้าสุหนัต และการเป็นทาส (ในอดีต คริสเตียนกลุ่มแรกเป็นชนกลุ่มน้อย และไม่มีฐานะที่จะเลิกทาสได้)

อย่างไรก็ตาม ในการประยุกต์ใช้ที่กว้างกว่านั้น เว้นแต่อาชีพของพวกเขาจะผิดกฎหมายหรือผิดศีลธรรม ผู้ที่มาเป็นคริสเตียนไม่ควรออกจากงานโดยไม่ได้รับการทรงเรียกที่ชัดเจนให้ประกอบอาชีพใหม่ พระเจ้าทรงเรียกคุณเข้าสู่สิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่ให้ออกจากสิ่งเหล่านั้น

เปาโลอยากจะกันพวกเขาไว้จาก ‘ความยากลำบากในชีวิต’ (ข้อ 28) ‘อย่าทำให้ชีวิตยุ่งยากโดยไม่จำเป็น’ (ข้อ 29, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อาจารย์เปาโลจัดการกับความกังวลกับคำถามเรื่องการสมรสและการเป็นโสด อันเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของคุณ ก็คือ ‘เพื่อ​ให้​การ​อุทิศ​ตัว​ต่อ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ไม่​ถูก​จำ​กัด’ (ข้อ 35)

เปาโลเขียนถึงความได้เปรียบของการเป็นโสด แน่นอนว่า พระเยซูเองก็ทรงเป็นโสด และพระองค์ตรัสถึงข้อเท็จจริงนั้นว่า สำหรับบางคนการเป็นโสดถือเป็นความไม่สมัครใจ ในขณะที่สำหรับบางคน นี่เป็นทางเลือกเพื่อเห็นแก่แผ่นดินของพระเจ้า (มัทธิว 19:12) การเป็นโสดโดยไม่สมัครใจเป็นเรื่องที่ยากและเจ็บปวด แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเยซูตรัสไว้ในมัทธิว 19 และไม่ใช่สิ่งที่อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงตรงจุดนี้ เปาโลกำลังพูดเรื่องการเป็นโสดเพื่อเห็นแก่แผ่นดินของพระเจ้า นี่อาจเป็นได้ทั้งเรื่องชั่วคราวหรือถาวรก็ได้

ความเสียเปรียบของการเป็นโสดนั้นมีอย่างเห็นได้ชัด บางทีสามสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับคริสเตียนที่เป็นโสดก็คือ อันดับแรก ขาดเพื่อนคู่คิดที่ได้มาจากแต่งงานและผลก็คือความเหงา ประการที่สอง การขาดความอิ่มใจทางเพศ ประการที่สาม การไม่มีบุตร

อย่างไรก็ตามอัครสาวกเปาโลได้ให้เหตุผลตรงนี้ไว้สองข้อว่าเหตุใดสิ่งเหล่านี้สามารถเป็นเรื่องท้าทายได้:

  1. ชีวิตนั้นแสนสั้น ท่านเขียนว่า ‘ไม่มีเวลาที่จะเสียไปเปล่า ๆ’ (1, โครินธ์ 7:29 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ดังนั้น ‘อย่าทำให้ชีวิตยุ่งยากโดยไม่จำเป็น ทำชีวิตให้ง่าย ๆ – ในการสมรส ความโศกเศร้า ความชื่นชมยินดี อะไรก็ตาม แม้ว่าในสิ่งธรรมดาสามัญ – กิจวัตรประจำวันของท่านในการจับจ่ายซื้อของ และอื่น ๆ รับมือกับสิ่งที่โลกเหวี่ยงใส่ท่านให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้’ (ข้อ 29–31, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ท่านไม่ได้ห้ามการแต่งงานมากเท่ากับที่ห้ามการหัวเราะ การโศกเศร้า และการจับจ่ายซื้อของ แต่เขากำลังพูดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างดูไม่สำคัญนอกจากการเป็นเกียรติในการรับใช้พระเจ้า เราจำเป็นต้องไม่ยึดติดกับสิ่งของต่าง ๆ ของโลกนี้ และนี่อาจเป็นเรื่องง่าย หากคน ๆ นั้นยังเป็นโสด

  1. การเป็นอิสระจากความฟุ้งซ่าน สิ่งนี้ประยุกต์ใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาแห่งการข่มเหง ซึ่งทำให้เป็นบริบทสำหรับพระธรรมตอนนี้ ‘เพราะเหตุความทุกข์ยากที่ใกล้จะมาถึง’ (ข้อ 26)

เปาโลเขียนว่า ‘ข้าพเจ้าอยากให้ท่านดำเนินชีวิตที่ปราศจากความซับซ้อนเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อท่านไม่ได้แต่งงาน ท่านก็เป็นอิสระที่จะตั้งใจเพียงแค่ทำให้องค์จอมเจ้านายพอพระทัย คนที่แต่งงานแล้วจะใช้เวลาและพลังงานไปกับการใส่ใจและเลี้ยงดูกันและกัน คนที่ไม่ได้แต่งงานสามารถใช้เวลาและพลังงานเพื่อกลายเป็นเครื่องมืออันบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้อย่างเต็มกำลัง ทั้งสิ้นที่ข้าพเจ้าต้องการสำหรับท่านคือให้สามารถพัฒนาวิถีชีวิตที่ท่านสามารถใช้เวลามากมายร่วมกับองค์จอมเจ้านายได้โดยไม่มีความพะวงมากนัก’ (ข้อ 32–35, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เรามีเวลา พลังงาน และเงินทองอย่างจำกัด ไม่ต้องสงสัยว่ามีความต้องการมากมายในชีวิตสมรส อาจารย์เปาโล เรียกร้องให้มีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการเป็นโสด ไม่ว่าจะเป็นโสดถาวรหรือชั่วคราว เขากำลังพูดว่า การเป็นโสดสามารถอิ่มใจและเป็นอิสระ อย่างที่เป็นในองค์พระเยซู

ในที่อื่น ๆ เปาโลเขียนว่า การสมรส โดยตัวมันเองเป็นแค่ภาพของความสัมพันธ์ระหว่างพระคริสต์กับคริสตจักร (เอเฟซัส 5) ความเป็นจริงนี้พบได้ในพระคริสต์ ทั้งการสมรสและการเป็นโสดเป็นของประทาน สิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือ ‘เพื่อให้การอุทิศตัวต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ถูกจำกัด’ (1 โครินธ์ 7:35) บ่อยครั้งเราทึกทักว่า การสมรสเป็นวิถีของชีวิตที่ดีที่สุด และชัดเจนที่สุดที่จะดำเนินตาม พระธรรมตอนนี้เตือนใจเราให้ไม่มองข้ามประโยชน์ของการเป็นโสด การเป็นโสดนั้นมีสมบูรณ์เท่าเทียมกัน สามารถเกิดผลและบรรลุเป้าหมายได้มาก

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอช่วยข้าพระองค์ให้พบชีวิตและความอิ่มใจไม่ว่าข้าพระองค์จะตกอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม ขอพระองค์ทรงโปรดนำข้าพระองค์ไปสู่ชีวิตที่ ‘เป็นที่พอพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า’ ‘ขอให้ข้าพระองค์ดำเนินชีวิตที่เหมาะสม และเพื่อให้การอุทิศตัวต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ถูกจำกัด’ (ข้อ 35)
พันธสัญญาเดิม

ปัญญาจารย์ 4:1-6:12

 1ข้าพเจ้าหันมาพิจารณาการข่มเหงทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์ และดูเถิด น้ำตาของผู้ถูกข่มเหงไม่มีคนปลอบใจเขา ผู้ข่มเหงเขานั้นมีอำนาจอยู่ในมือ จึงไม่มีใครปลอบใจเขาได้ 2เพราะฉะนั้นข้าพเจ้ายกย่องคนตายที่ตายไปแล้วว่ามีโชคดีกว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่ 3ที่ดียิ่งกว่าคนทั้งสองจำพวกนั้นคือ คนที่ยังไม่เป็นมาและไม่เห็นการชั่วที่อุบัติขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์
 4และข้าพเจ้าเห็นว่าการตรากตรำทุกอย่าง และความชำนาญในการงานทุกอย่างมาจากความริษยาของคนที่มีต่อเพื่อนบ้านของตน นี่ก็อนิจจังด้วยคือ กินลมกินแล้ง

5คนโง่งอมืองอเท้า
 และกินเนื้อของตนเอง
6สิ่งของกำมือหนึ่งที่ได้มาด้วยความสงบ
 ก็ดีกว่าสิ่งของสองกำมือที่ได้มาด้วยการตรากตรำ
 และการกินลมกินแล้ง

 7ข้าพเจ้าหันมาพิจารณาเรื่องอนิจจังภายใต้ดวงอาทิตย์อีกเรื่องหนึ่ง 8คือ คนหนึ่งอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีบุตรหรือพี่น้อง แต่เขาตรากตรำไม่หยุด ตาของเขาไม่เคยอิ่มความมั่งคั่ง เขาไม่เคยคิดว่า “ข้าตรากตรำและอดใจจากสิ่งที่ชื่นชอบเพื่อใครกัน?” นี่ก็อนิจจังด้วยและเป็นเรื่องสามานย์

คุณค่าของเพื่อน

 9สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับรางวัลดีสำหรับการตรากตรำของพวกเขา 10เพราะว่าถ้าพวกเขาล้มลง คนหนึ่งจะได้พยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น แต่วิบัติแก่คนนั้นที่อยู่คนเดียวเมื่อเขาล้มลง และไม่มีใครพยุงเขาให้ลุกขึ้น 11อนึ่ง ถ้าสองคนนอนอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็อบอุ่น แต่ถ้านอนคนเดียวจะอบอุ่นได้อย่างไร? 12และถ้าคนหนึ่งเอาชนะคนคนเดียวได้ คนสองคนย่อมต่อต้านเขาได้แน่ เชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้
 13คนหนุ่มยากจนและมีสติปัญญาก็ดีกว่ากษัตริย์ชราและโฉดเขลา ผู้ไม่รับคำแนะนำอีกแล้ว 14ถึงแม้คนหนุ่มนั้นคนหนุ่มนั้น ออกมาจากเรือนจำแล้วขึ้นเป็นกษัตริย์ หรือเกิดเป็นคนจนในราชอาณาจักรของเขาเอง 15ข้าพเจ้าพิจารณาทุกชีวิตที่เคลื่อนไหวอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ รวมทั้งหนุ่มอีกคนหนึ่งที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 16จำนวนคนทั้งหมดที่อยู่ก่อนพวกเขามีมากมายจนนับไม่ถ้วน และบรรดาคนที่มาภายหลังก็ไม่เปรมปรีดิ์ในตัวคนหนุ่มนั้น นี่ก็อนิจจังด้วยคือ กินลมกินแล้ง

ปัญญาจารย์ 5

ความยำเกรง ความถ่อมใจ และความพึงพอใจ

 1เจ้าจงระวังเท้าของเจ้า เมื่อเจ้าไปยังพระนิเวศของพระเจ้า เพราะการเข้าใกล้ชิดเพื่อฟังก็ดีกว่าคนเขลาถวายเครื่องบูชา เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำสิ่งโง่เขลาอยู่ 2อย่าให้ปากของเจ้าไว และอย่าให้ใจของเจ้าเร็วที่จะพูดสิ่งใดๆ เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าสถิตในสวรรค์ แต่เจ้าอยู่บนแผ่นดินโลก เหตุฉะนั้นเจ้าจงพูดน้อยคำ
 3เพราะฝันเมื่อมีงานมาก และมีเสียงคนเขลาเมื่อพูดมาก
 4เมื่อเจ้าบนไว้ต่อพระเจ้า อย่าชักช้าที่จะแก้บนนั้นให้สำเร็จ เพราะพระองค์ไม่พอพระทัยในคนเขลา จงแก้บนตามที่เจ้าบนไว้เถิด 5ที่เจ้าจะไม่บนก็ยังดีกว่าที่เจ้าบนแล้วไม่แก้ 6อย่าให้ปากของเจ้าเป็นเหตุนำตัวเจ้าให้ทำบาป และอย่าพูดต่อหน้าผู้สื่อสารของพระเจ้าว่า นี่เป็นความผิดพลาด เหตุไฉนจะให้พระเจ้าทรงพระพิโรธเพราะคำพูดของเจ้า แล้วเลยทรงทำลายการงานแห่งน้ำมือของเจ้าเสียเล่า?
 7เพราะว่าเมื่อฝันมาก ก็อนิจจัง และคำพูดพล่อยๆ ก็มาก เจ้าจงยำเกรงพระเจ้าเถิด
 8ถ้าเจ้าเห็นคนจนถูกข่มเหง เห็นความยุติธรรมและสิทธิถูกลิดรอนในจังหวัด เจ้าอย่าประหลาดใจในเรื่องนั้น เพราะว่ามีเจ้าหน้าที่ คอยจับตาเจ้าหน้าที่อยู่ แล้วยังมีผู้สูงกว่าอีกชั้นหนึ่งจับตาอยู่เหนือพวกเขา 9อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์ของประเทศคือมีกษัตริย์ดูแลไร่นา
 10คนรักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน และคนรักสมบัติก็ไม่อิ่มกับผลตอบแทน นี่ก็อนิจจังด้วย
 11เมื่อความมั่งคั่งเพิ่มพูนขึ้น คนกินก็มีคับคั่งขึ้น คนที่เป็นเจ้าของทรัพย์จะได้ประโยชน์อะไร นอกจากจะได้ชมเล่นเป็นขวัญตาเท่านั้น
 12การหลับของกรรมกรก็ผาสุกไม่ว่าเขาจะได้กินน้อยหรือได้กินมาก แต่อาหารที่อุดมสมบูรณ์ของคนมั่งมีก็ไม่ช่วยเขาให้หลับ
 13ยังมีสิ่งสามานย์อันน่าสลดใจอีกอย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าเห็นภายใต้ดวงอาทิตย์คือ ทรัพย์สมบัติที่เจ้าของได้เก็บไว้จนเกิดเป็นภัยแก่ตน 14และทรัพย์สมบัตินั้นสูญเสียไปในธุรกิจที่ไม่ดี แม้เขาให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง เขาก็ไม่มีอะไรติดมือ 15เขาได้คลอดมาจากครรภ์มารดาตัวล่อนจ้อนฉันใด เขาจะกลับไปอีกเช่นเดียวกันฉันนั้น และเขาจะเอาอะไรซึ่งเป็นผลจากการตรากตรำของเขาติดมือไปไม่ได้สักอย่างเดียว 16นี่เป็นสิ่งสามานย์อันน่าสลดใจอีกคือ เขาได้เกิดมาอย่างไรเขาก็ต้องไปอย่างนั้น เขาจะได้ผลประโยชน์อะไรจากการตรากตรำเพื่อได้แต่ลมเล่า? 17อนึ่ง เขากินอยู่ในความมืดตลอดปีเดือนของเขา เขามีความยุ่งใจอย่างสาหัส มีความเจ็บไข้ และมีโทโส
 18ดูเถิด ที่ข้าพเจ้าเห็นชอบและสมควรคือ ให้กินและดื่ม และชื่นชมบรรดาผลจากน้ำพักน้ำแรงของตน ที่ตนตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์ ตลอดชั่วอายุไม่กี่วันของตนที่พระเจ้าประทานแก่ตนเพราะการนี้แหละเป็นส่วนแบ่งของตน 19อนึ่ง ทุกๆ คนที่พระเจ้าประทานความมั่งคั่งและทรัพย์สมบัติให้ ก็ได้ทรงโปรดให้พวกเขาได้ใช้ของเหล่านั้น และให้ได้รับส่วนแบ่งของพวกเขา และเปรมปรีดิ์ในผลจากน้ำพักน้ำแรงของตนได้ นี่แหละเป็นของประทานจากพระเจ้า 20เขาจะได้ไม่ต้องนึกถึงปีเดือนแห่งชีวิตของตนมาก เพราะพระเจ้าให้ใจเขาสาละวนอยู่กับความชื่นใจ

ปัญญาจารย์ 6

ความสับสนของความปรารถนา

 1มีสิ่งสามานย์อย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าเห็นภายใต้ดวงอาทิตย์ และสิ่งนั้นหนักสำหรับมนุษย์ 2คือคนหนึ่งคนใดที่พระเจ้าประทานความมั่งคั่ง ทรัพย์สมบัติ และเกียรติให้ เขาไม่ขาดสิ่งใดเลย เขาได้ทุกสิ่งที่เขาปรารถนาสำหรับตน แต่พระเจ้ามิได้ประทานความสามารถในการใช้สิ่งเหล่านี้ให้เขา คนแปลกหน้ากลับเอาไปใช้เสีย นี่ก็อนิจจังและเป็นความทุกข์ใจอย่างเลวร้าย 3แม้ว่าคนหนึ่งคนใดมีลูกสักร้อยคน และมีอายุยืนยาว ไม่ว่าเขาจะอยู่นานหลายปีแต่จิตใจเขาไม่ได้อิ่มด้วยความมั่งคั่งเลย และไม่มีงานฝังศพของตนด้วย ข้าพเจ้าว่าลูกที่เกิดมาแท้งเสียยังดีกว่าคนนั้น 4เพราะเด็กนั้นก่อตัวมาในความอนิจจังและจากไปในความมืด และชื่อเขาถูกปิดไว้ในความมืด 5ยิ่งกว่านั้นอีก เขายังไม่ทันเห็นหรือยังไม่ทันรู้จักดวงตะวัน เด็กคนนี้มีความสงบสุขยิ่งกว่าผู้ใหญ่นั้นเสียอีก 6เออ แม้ว่าเขามีชีวิตอยู่พันปีทวีอีกเท่าตัว แต่ไม่ได้ชื่นชมสิ่งดีอะไร ทุกคนต่างจบลงที่เดียวกันไม่ใช่หรือ?
 7การตรากตรำทั้งหมดของมนุษย์ก็เพื่อปากของเขา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่รู้จักอิ่ม 8เพราะว่าคนมีสติปัญญาได้เปรียบอะไรกว่าคนเขลาเล่า? หรือคนยากจนที่รู้จักวางตัวต่อหน้าคนทั้งปวงก็ได้เปรียบอะไร? 9การเห็นด้วยนัยน์ตาก็ดีกว่าความปรารถนาที่ตระเวนไป นี่ก็อนิจจังด้วยคือ กินลมกินแล้ง
 10สิ่งใดซึ่งมีอยู่เดี๋ยวนี้ เขาได้ตั้งชื่อเรียกสิ่งนั้นนานมาแล้ว และก็ทราบกันแล้วว่า มนุษย์คืออะไร และเขาไม่อาจโต้เถียงกับผู้แข็งแรงกว่าตนได้ 11ยิ่งพูดมากก็ยิ่งอนิจจังมาก แล้วมนุษย์ได้ประโยชน์อะไรเล่า? 12เพราะใครจะรู้ได้ว่าสิ่งใดดีสำหรับมนุษย์ในขณะดำเนินชีวิตตามวันเวลาของชีวิตที่อนิจจังของตนที่ได้เสียไปดุจดังเงาเล่า? หรือใครจะบอกกับมนุษย์ได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นภายหลังเขาที่ภายใต้ดวงอาทิตย์?

อรรถาธิบาย

สนุกไปกับพระพรแห่งการงานและความสัมพันธ์

ผู้เขียนยังคงเขียนต่อเนื่องไปถึงแนวคิดของพระองค์เรื่องความว่างเปล่าของชีวิต และความไร้ความหมาย(อนิจจัง) ของชีวิต พระองค์ทรงเห็นชีวิตเต็มไปด้วยปัญหา ‘การข่มเหง’ และ ‘การตรากตรำ’ (4:1–6)

ผู้เขียนกล่าวถึงประสบการณ์ในความว่างเปล่าจากผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงส่ง (ข้อ 13–16) และยังกล่าวต่อไปเรื่องความว่างเปล่าของชีวิตที่อยากมีอยากได้ (5:16–17) และความปรารถนาที่ยากจะอธิบายได้ (6:9) ท่ามกลางมุมมองชีวิตที่มองโลกในแง่ร้ายและน่าหดหู่นี้ ผู้เขียนได้มอบกุญแจเพื่อความเจริญรุ่งเรืองท่ามกลางการตรากตรำและปัญหา อันได้แก่

  1. การทำงาน การไม่ทำงานเป็นสิ่งที่เลวร้าย ‘คน​โง่​งอ​มือ​งอ​เท้า และ​กิน​เนื้อ​ของ​ตน​เอง’ (4:5) ในทางกลับกัน อย่าทำงานหนักจนเกินไป ‘ทำงานอย่างหมกมุ่นจนดึกดื่น ละโมบมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เคยตั้งคำถามว่า “ข้าทำงานหนักแทบตาย ไม่เคยสนุกสนานเพื่ออะไรกัน?”’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

สิ่งที่เหมาะสมที่สุดคือการทำงานอย่างเหมาะสม ‘สิ่ง​ของ​กำ​มือ​หนึ่ง​ที่​ได้​มา​ด้วย​ความ​สงบก็​ดี​กว่า​สิ่ง​ของ​สอง​กำ​มือ​ที่​ได้​มา​ด้วย​การ​ตราก​ตรำ และ​การ​กิน​ลม​กิน​แล้ง’ (ข้อ 6) และพูดต่อว่า 'การ​หลับ​ของ​กรรม​กร​ก็​ผาสุก​ไม่​ว่า​เขา​จะ​ได้​กิน​น้อย​หรือ​ได้​กิน​มาก’ (5:12)

  1. ความสัมพันธ์
    ผู้เขียนกล่าวต่อไปถึงความสำคัญอย่างยิ่งของความสัมพันธ์ การสมรส มิตรภาพ และความเป็นทีม (4:9–12) สิ่งแรกคือการผนึกกำลัง ‘เป็นเรื่องดีกว่าที่จะมีคู่คิดมากกว่าทำคนเดียว แบ่งงานกันทำ แบ่งความมั่งคั่งด้วยกัน’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) การทำงานเป็นทีมมีประสิทธิภาพมากกว่า

อย่างที่สอง มีข้อได้เปรียบเรื่องการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ‘เพราะว่าถ้าพวกเขาล้มลง คนหนึ่งจะได้พยุง​เพื่อน​ของ​ตน​ให้​ลุก​ขึ้น แต่​วิบัติ​แก่​คน​นั้น​ที่​อยู่​คน​เดียว​เมื่อ​เขา​ล้ม​ลง และ​ไม่​มี​ใคร​พยุง​เขา​ให้​ลุก​ขึ้น!’ (ข้อ 10)

อย่างที่สาม มีข้อได้เปรียบเรื่องการสนับสนุนทั้งทางกายและฝ่ายวิญญาณ ‘เชือก​สาม​เกลียว​จะ​ขาด​ง่าย​ก็​หา​มิ​ได้’ (ข้อ 12)

กุญแจสำหรับมิตรภาพที่แข็งแกร่ง หรือชีวิตสมรสที่เข้มแข็งคือเชือกสามเกลียว สิ่งที่พระธรรมตอนอื่น ๆ ในวันนี้พูดก็คือ ‘อุทิศ​ตัว​ต่อ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ไม่​ถูก​จำ​กัด’ (1 โครินธ์ 7:35) และ ‘ยำเกรงพระยาห์เวห์’ (สุภาษิต 19:23ก)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้หลีกเลี่ยงจาก ‘การตรากตรำและปัญหา’ ที่ไม่จำเป็น และให้อุทิศ​ตัว​ต่อ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​อย่างไม่​ถูก​จำ​กัด ไม่ใช่แค่เพื่อให้รอดไปวัน ๆ แต่ให้เจริญก้าวหน้าและสนุกกับชีวิตอย่างบริบูรณ์ด้วย

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ปัญญาจารย์ 4:4

‘และ​ข้าพ​เจ้า​เห็น​ว่า​การ​ตราก​ตรำ​ทุก​อย่าง และความ​ชำ​นาญ​ใน​การ​งาน​ทุก​อย่าง​มา​จาก​ความ​ริษยา​ของ​คน​ที่​มี​ต่อ​เพื่อน​บ้าน​ของ​ตน’

นี้อาจจะเป็นมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะด้อยค่า ความอิจฉาก็นำมาซึ่งการทำลายล้าง แต่บางครั้งการแข่งขันที่ดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สร้างแรงจูงใจได้!

ข้อพระคำประจำวัน

1 โครินธ์ 7:17, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล

‘… อย่าหวังว่าท่านจะอยู่ที่อื่น หรืออยู่กับคนอื่น จุดที่ท่านอยู่ในตอนนี้เป็นจุดที่พระเจ้าทรงเลือกให้ไว้สำหรับท่าน’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม