ความวิตกกังวลและสันติ
เกริ่นนำ
ความวิตกกังวลสามารถขโมยความสุขในชีวิตของคุณไปได้ สาเหตุของความวิตกกังวลมีได้มากมาย ปัญหาด้านสุขภาพ การทำงาน (หรือไม่มีงานทำ) การเงิน (หนี้สิน ค่าใช้จ่ายค้างชำระ และอื่นๆ ) และอื่นๆ อีกมากนอกจากนี้ บางสาเหตุที่ใหญ่ที่สุดของความวิตกกังวลคือสิ่งที่ต้องรับมือในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ที่จะอ่านกันในวันนี้ ความสัมพันธ์ การสมรส (หรือไม่ได้สมรส) เพศสัมพันธ์ (หรือการขาดการมีเพศสัมพันธ์) การเป็นโสดและการหย่าร้าง)
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมตอนนี้ของเรา พระธรรมปัญญาจารย์แนะนำว่า ความวิตกกังวลส่วนมากที่เราเจอ มีสาเหตุมาจากบางอย่างที่ลึกลงไปกว่านั้น นี่อาจอธิบายว่าเป็นความวิตกกังวลที่ไร้ความหมาย ท่ามกลางทั้งหมดนี้ คุณถูกเรียกให้ ‘อยู่อย่างสันติ’ (1 โครินธ์ 7:15)
สดุดี 94:12-23
12ข้าแต่พระยาห์เวห์ ผู้ที่พระองค์ทรงตีสอนก็เป็นสุข
คือผู้ที่พระองค์ทรงสอนจากธรรมบัญญัติของพระองค์
13เพื่อจะทรงให้เขาพักจากวันลำบาก
จนกว่าหลุมจะได้ขุดไว้ฝังคนอธรรม
14เพราะพระยาห์เวห์จะไม่ทรงทอดทิ้งประชากรของพระองค์
และจะไม่ทรงสละมรดกของพระองค์
15เพราะความยุติธรรมจะกลับไปหาความชอบธรรม
และคนใจเที่ยงธรรมทุกคนจะติดตามไป
16ผู้ใดจะลุกขึ้นสู้กับคนโหดร้าย เพื่อข้าพเจ้า?
ผู้ใดจะยืนสู้กับผู้ทำความชั่ว เพื่อข้าพเจ้า?
17ถ้าพระยาห์เวห์มิใช่ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าคงได้อยู่ในแดนมรณาในไม่ช้า
18เมื่อข้าพเจ้าได้คิดว่า “เท้าของข้าพลาด”
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ความรักมั่นคงของพระองค์ค้ำจุนข้าพระองค์ไว้
19เมื่อความกังวลมีมากในใจข้าพระองค์
การปลอบโยนของพระองค์ก็ทำให้จิตใจข้าพระองค์ปีติยินดี
20ผู้ปกครองที่โหดร้ายจะเป็นพันธมิตรกับพระองค์ได้หรือ?
คือผู้ที่ใช้กฎเกณฑ์สร้างความทุกข์ร้อน
21เขาทั้งหลายรวมตัวกันเพื่อเอาชีวิตคนชอบธรรม
และปรับโทษคนไร้ผิดถึงตาย
22แต่พระยาห์เวห์ทรงเป็นที่กำบังอันแข็งแกร่งของข้าพเจ้าแล้ว
และพระเจ้าของข้าพเจ้าทรงเป็นศิลาที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า
23พระองค์จะทรงนำกรรมชั่วของพวกเขากลับมาสนองพวกเขา
และจะทรงทำลายพวกเขาเสียเพราะความโหดร้ายของพวกเขา
พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราจะทรงทำลายล้างพวกเขา
อรรถาธิบาย
พูดกับพระเจ้าเรื่องความวิตกกังวลต่างๆ ของคุณ
คุณรู้ไหมว่า ประสบการณ์ในการความวิตกกังวลมากมายคืออะไร (ข้อ 19ก)?
ผู้เขียนสดุดีเคยมีประสบการณ์นั้นแน่นอน เขาเขียนว่า ‘เพื่อจะทรงให้เขาพักจากวันลำบาก…เมื่อข้าพเจ้าได้คิดว่า “เท้าของข้าพลาด” ข้าแต่พระยาห์เวห์ ความรักมั่นคงของพระองค์ค้ำจุนข้าพระองค์ไว้ เมื่อความกังวลมีมากในใจข้าพระองค์ การปลอบโยนของพระองค์ก็ทำให้จิตใจข้าพระองค์ปีติยินดี’ (ข้อ 13ก,18–19)
เขาเขียนต่อไป แต่พระยาห์เวห์ทรงเป็นที่กำบังอันแข็งแกร่งของข้าพเจ้าแล้ว และพระเจ้าของข้าพเจ้าทรงเป็นศิลาที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า’ (ข้อ 22)
เมื่อเต็มไปด้วยความวิตกกังวลมากมาย จงหันกลับไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ “เมื่อข้าพระองค์กลุ้มใจและกังวล พระองค์ทรงปลอบประโลมและทำให้ข้าพระองค์” (ข้อ 19 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เราได้รับการบรรเทา การปลอบโยนและความสุขในความรักของพระเจ้า พระเจ้าทรงจัดเตรียม “หลุมแห่งความเงียบสงบในเสียงโห่ร้องของความชั่วร้าย” (ข้อ 13 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
1 โครินธ์ 7:1-16
ปัญหาเกี่ยวกับการแต่งงาน
1เกี่ยวกับเรื่องที่พวกท่านเขียนมานั้น “การที่ผู้ชายไม่แตะต้องผู้หญิงเลยก็ดีแล้ว” 2แต่เพราะเหตุการล่วงประเวณี ผู้ชายแต่ละคนควรมีภรรยาเป็นของตน และผู้หญิงแต่ละคนควรมีสามีเป็นของตน 3สามีพึงสัมพันธ์กับภรรยาตามควร และภรรยาก็พึงสัมพันธ์กับสามีตามควรเช่นเดียวกัน 4ภรรยาไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน แต่สามีมีอำนาจเหนือร่างกายของภรรยา ทำนองเดียวกันสามีไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน แต่ภรรยามีอำนาจเหนือร่างกายของสามี 5อย่าปฏิเสธความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาเว้นแต่ได้ตกลงกันเป็นการชั่วคราว เพื่ออุทิศตัวในการอธิษฐาน แล้วจึงค่อยมามีความสัมพันธ์กันอีก เพื่อไม่ให้ซาตานล่อลวงให้ทำผิดเพราะตัวอดไม่ได้ 6ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เป็นการอนุญาต ไม่ใช่สั่ง 7ข้าพเจ้าต้องการให้ทุกคนเป็นเหมือนข้าพเจ้า แต่ว่าแต่ละคนก็ได้รับของประทานของตัวเองจากพระเจ้า คนหนึ่งได้รับอย่างนี้ และอีกคนหนึ่งได้รับอย่างนั้น
8ข้าพเจ้าขอกล่าวกับพวกที่ไม่แต่งงานและพวกแม่ม่ายว่า การที่พวกเขาจะอยู่เหมือนข้าพเจ้าก็ดีแล้ว 9แต่ถ้าควบคุมตัวไม่อยู่ ก็จงแต่งงานเสียเถิด เพราะว่าแต่งงานเสียก็ดีกว่ามีใจเร่าร้อนด้วยกามราคะ
10ส่วนคนที่แต่งงานแล้ว ข้าพเจ้าขอสั่ง ไม่ใช่ข้าพเจ้าสั่งเอง แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาว่า อย่าให้ภรรยาแยกจากสามี 11แต่ถ้านางแยกจากสามีแล้ว ก็อย่าให้นางแต่งงานใหม่ หรือไม่ก็ให้นางคืนดีกับสามี และอย่าให้สามีหย่าภรรยาเลย
12ข้าพเจ้าขอกล่าวกับพวกที่เหลือ ข้าพเจ้าเองกล่าว (องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ตรัส) ว่า ถ้าพี่น้องคนไหนมีภรรยาที่ไม่เชื่อในพระคริสต์ และนางพอใจจะอยู่กับสามี ก็ไม่ให้สามีหย่านาง 13ถ้าหญิงคนไหนมีสามีที่ไม่เชื่อในพระคริสต์ และสามีพอใจจะอยู่กับนาง ก็ไม่ให้นางหย่าสามีนั้น 14เพราะว่าสามีที่ไม่เชื่อนั้นได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ทางภรรยา และภรรยาที่ไม่เชื่อก็ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ทางสามี มิฉะนั้นลูกๆ ของพวกท่านก็เป็นมลทิน แต่บัดนี้เด็กเหล่านั้นบริสุทธิ์ 15แต่ถ้าคนที่ไม่เชื่อจะแยกจากไป ก็ให้เขาแยกจากไปเถิด ในกรณีนี้ไม่จำเป็นที่พี่น้องชายหญิงต้องถูกผูกมัด เพราะว่าพระเจ้าทรงเรียกเราให้อยู่อย่างสันติ 16ท่านผู้เป็นภรรยา ท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะช่วยสามีให้รอดไม่ได้? ท่านผู้เป็นสามี ท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะช่วยภรรยาให้รอดไม่ได้?
อรรถาธิบาย
อยู่อย่างสันติในสถานการณ์ของคุณ
คุณรู้สึกว่า คุณกำลังดำเนินชีวิตแห่งสันติสุขไหม? ‘พระเจ้าทรงเรียกเราให้อยู่อย่างสันติ’ (ข้อ 15ค) คุณจะพบ ‘สันติสุข’ นี้ได้อย่างไร? ในบทนี้ อาจารย์เปาโลกำหนดวิธีที่คุณจะพบสันติสุขในความสัมพันธ์ ชีวิตสมรส การเป็นโสด และการแยกกันอยู่ ท่านเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถาม ‘เป็นเรื่องดีไหมที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศ?’ (ข้อ 1 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาตอบว่า ‘แน่นอน แต่อยู่ภายใต้บริบทหนึ่งเท่านั้น’ (ข้อ 2ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เปาโลกำลังรับมือกับอันตรายสองขั้ว คนที่พูดว่า ‘ทำทุกสิ่งได้’ (ดูบทที่ 6) ซึ่งนำไปสู่การทำผิดศีลธรรม และพวกที่ถือสันโดษที่เคร่งครัดฝ่ายวิญญาณ ผู้ปฏิเสธความต้องการทั้งสิ้นทางกาย ในคำตอบ เปาโลตอบคำถามหลายข้อต่อไปนี้:
- ชีวิตสมรส เป็นน้ำพระทัยโดยทั่วไปของพระเจ้าต่อประชากรของพระองค์หรือไม่?
ชีวิตสมรสเป็นบรรทัดฐานสำหรับบุรุษและสตรีทุกคน ‘เป็นสิ่งดีที่ผู้ชายแต่ละคนควรมีภรรยาเป็นของตน และผู้หญิงแต่ละคนควรมีสามีเป็นของตน’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) น้ำพระทัยโดยทั่วไปของพระเจ้าคือการที่ประชากรแต่งงานเพื่อให้มีเพื่อนคู่คิด (ปฐมกาล 2:18) การสืบเชื้อสาย (ปฐมกาล 1:28) และความพึงใจ (1 โครินธ์ 7:1–5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) การเป็นโสดถือเป็นข้อยกเว้น ซึ่งเป็นการทรงเรียกที่พิเศษ
เหตุผลที่เปาโลให้ตรงนี้คือเพราะว่านี่เป็นสิ่งที่ ‘ล่วงประเวณี’ (ข้อ 2) ‘แรงขับดันทางเพศนั้นรุนแรงมาก แต่การสมรสนั้นเข้มแข็งพอที่จะจำกัดมันไว้ได้ และจัดเตรียมชีวิตทางเพศที่สมดุลและเติมเต็มในโลกของความผิดปกติทางเพศ’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขากำลังรับมือกับปรปักษ์ตามเงื่อนไขของพวกเขาเอง พวกเขาต่อต้านการล่วงประเวณีและโต้เถียงกันเรื่องการไม่มีเพศสัมพันธ์และการแต่งงาน
เปาโลตอบสนองต่อสิ่งนี้ เช่นเดียวกับเหตุผลในเชิงบวกทุกอย่าง การล่วงประเวณีถึงเป็นการทดลองจึงเป็นเหตุผลที่ดีที่จะแต่งงาน
- อะไรคือท่าทีของคริสเตียนต่อเรื่องเพศโดยปราศจากการสมรส?
เส้นทางสู่ความบริบูรณ์ทางจิตวิญญาณในชีวิตสมรสไม่ได้เกิดจากการงดเว้น ในชีวิตสมรสมีเสรีภาพทางเพศ และมีความเท่าเทียมกันทางเพศ ‘เตียงสมรสควรจะเป็นที่แห่งการเป็นของกันและกัน สามีควรทำให้ภรรยาของตนพึงใจ ภรรยาควรทำให้สามีของตนพึงใจ’ (ข้อ 3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เหตุผลเดียวที่ควรงดเว้นเพศสัมพันธ์คือเพื่อช่วงสั้นๆ สำหรับการอธิษฐาน หากตกลงร่วมกันแล้ว และนั่นเป็นการให้อนุญาตไม่ใช่เป็นคำสั่ง (ข้อ 5–6)
- เป็นโสดหรือแต่งงานดีกว่ากัน?
เปาโลเขียนว่าทั้งสองแบบเป็นของประทานจากพระเจ้า ทั้งสองแบบเป็นสิ่งที่ดี (ข้อ 7–9) ในทางหนึ่ง เป็นสิ่งที่ดีที่สุด (มีการให้เหตุผลต่างๆ ในภายหลัง) ที่จะอยู่เป็นโสด ‘บางครั้ง ข้าพเจ้าหวังว่าทุกคนจะเป็นโสดเหมือนข้าพเจ้า ชีวิตง่ายกว่าในหลายด้าน! แต่ชีวิตโสดไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคนไปมากกว่าการสมรส’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แต่เป็นสิ่งดีที่จะแต่งงาน (ข้อ 9)
- คริสเตียนควรหย่าร้างจากคริสเตียนอีกคนไหม?
หลักการโดยทั่วไปในพระธรรมตอนนี้ และส่วนอื่นๆ ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ดูเหมือนจะตอบคำถามนี้ว่า “ไม่ได้” “หากคุณแต่งงาน ก็จงอยู่ในชีวิตสมรสต่อไป...สามีไม่มีสิทธิที่จะกำจัดภรรยาของเขา” (ข้อ 10–11 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แน่นอนว่า นี่เป็นประเด็นที่ซับซ้อนมาก (ผมได้พยายามตอบคำถามนี้ในรายละเอียดมากขึ้นในหนังสือ การดำเนินชีวิตเหมือนพระเยซู (The Jesus Lifestyle) บทที่ 6)
- แล้วเรื่องความสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่คริสเตียนล่ะ?
เปาโลไม่หนุนใจให้คริสเตียนแต่งงานกับผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียน (2 โครินธ์ 6:14, 7:1, 1 โครินธ์ 7:39) อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาแต่งงานกันอยู่แล้ว ก็เป็นเรื่องค่อนข้างจะแตกต่างออกไป พวกเขาไม่ควรหาทางยุติความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสที่มีอยู่
ฝ่ายตรงข้ามกับเปาโลกังวลว่า การสมรสกับบางคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนอาจทำให้ชีวิตสมรสเป็นมลทินไป การตอบสนองของเปาโลคือตรงข้ามกันคือกรณีนี้ที่ ‘สามีที่ยังไม่เชื่อได้แบ่งปันความบริสุทธิ์ของภรรยาในระดับหนึ่ง และภรรยาที่ไม่เชื่อก็เช่นเดียวกัน ได้สัมผัสถึงความบริสุทธิ์ของสามีของนาง มิเช่นนั้น ลูกๆ ของคุณจะถูกกันออกไป ดังที่เป็นอยู่ ลูกๆ ยังคงถูกรวมเข้าไว้สู่พระประสงค์ฝ่ายวิญญาณของพระเจ้าด้วย’ (ข้อ 14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
หากฝ่ายที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนยืนยันที่จะเลิกไป และการยึดอยู่ในชีวิตสมรสไม่ได้นำไปสู่สิ่งใดนอกเหนือไปจากความขุ่นมัวใจและตึงเครียด เช่นนั้นคริสเตียนควรปล่อยพวกเขาไป ไม่ใช่เพื่อเห็นแก่ความบริสุทธิ์ แต่เพื่อเห็นแก่ ‘สันติ’ (ดู ข้อ 15)
คำอธิษฐาน
ปัญญาจารย์ 1:1-3:22
การใคร่ครวญของปัญญาจารย์
1ถ้อยคำของปัญญาจารย์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด กษัตริย์ในเยรูซาเล็ม
2ปัญญาจารย์กล่าวว่า
อนิจจัง อนิจจัง
อนิจจัง อนิจจัง สารพัดอนิจจัง
3มนุษย์ได้ประโยชน์อะไรจากการตรากตรำทุกอย่างของเขา
ซึ่งเขาตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์นั้น
4คนรุ่นหนึ่งจากไป และคนอีกรุ่นหนึ่งก็มา
แต่แผ่นดินโลกยังคงเดิมอยู่เป็นนิตย์
5ดวงอาทิตย์ขึ้น และดวงอาทิตย์ตก
แล้วกระหืดกระหอบไปถึงที่ซึ่งขึ้นมานั้นอีก
6ลมพัดไปทางใต้
แล้วเวียนกลับไปทางเหนือ
ลมพัดเวียนไปเวียนมา
แล้วลมพัดกลับตามทางเวียนของมัน
7แม่น้ำทุกสายไหลไปสู่ทะเล
แต่ทะเลก็ไม่เต็ม
แม่น้ำไหลไปสู่ที่ใด
ก็ไหลไปสู่ที่นั่นอีก
8สารพัดก็เหนื่อยอ่อนไปกันหมด
แต่ละคนก็พูดไม่ออก
นัยน์ตาดูก็ไม่อิ่ม
หรือหูฟังเท่าไรไม่เคยพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน
9สิ่งใดที่มีอยู่แล้ว ก็จะมีขึ้นอีก
สิ่งที่ทำกันแล้ว คือสิ่งที่จะต้องทำกันอีก
ไม่มีสิ่งใดใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์
10มีสักสิ่งหนึ่งหรือที่ใครจะพูดได้ว่า
“ดูซี สิ่งนี้ใหม่”?
แต่สิ่งนั้นมีอยู่แล้ว
ในสมัยก่อนเราทั้งหลาย
11ไม่มีการจดจำถึงคนสมัยก่อน
และไม่มีการจดจำถึงคนสมัยหลังที่จะเกิดมา
โดยคนรุ่นต่อมา
ความอนิจจังของการแสวงหาปัญญา
12ข้าพเจ้า ปัญญาจารย์ เคยเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลในกรุงเยรูซาเล็ม 13และด้วยสติปัญญา ข้าพเจ้าตั้งใจค้นคว้าและตรวจสอบทุกสิ่งที่ทำกันภายใต้ฟ้าสวรรค์ และพบว่าพระเจ้าประทานภารกิจที่ยากลำบากให้มนุษย์ทำ เพื่อพวกเขาจะสาละวนกับสิ่งที่ทำ 14ข้าพเจ้าเคยเห็นการงานทั้งปวงซึ่งเขากระทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ และดูเถิด สารพัดก็อนิจจังคือกินลมกินแล้ง
15อะไรที่คดจะทำให้ตรงไม่ได้ และอะไรที่ขาดอยู่จะนับให้ครบไม่ได้
16ข้าพเจ้ารำพึงว่า “ดูซิ ข้าพเจ้ามีสติปัญญามากยิ่ง มากกว่าทุกคนที่ครองอยู่เหนือกรุงเยรูซาเล็มก่อนข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเจนจัดในสติปัญญาและความรู้อย่างยิ่ง” 17ข้าพเจ้าก็ตั้งใจเข้าใจสติปัญญา เข้าใจความบ้าบอและความเขลา ข้าพเจ้าค้นพบว่าเรื่องนี้ก็เป็นแต่กินลมกินแล้งด้วย 18เพราะเมื่อมีสติปัญญามากขึ้น ก็มีความทุกข์ระทมมากขึ้น และบุคคลที่เพิ่มความรู้ก็เพิ่มความเศร้าโศก
ปัญญาจารย์ 2
ความอนิจจังเนื่องจากการตามใจตนเอง
1ข้าพเจ้ารำพึงว่า “มาเถอะ มาลองสนุกสนานกันดู จงสนุกให้เต็มที่” แต่ดูเถิด เรื่องนี้ก็อนิจจังเช่นกัน 2ข้าพเจ้าพูดถึงการหัวเราะว่า “บ้าๆ บอๆ” และกล่าวถึงความสนุกสนานว่า “มีประโยชน์อะไร?” 3ข้าพเจ้าใคร่ครวญดูว่าจะทำอย่างไร กายจึงคึกคักด้วยเหล้าองุ่น แต่ใจยังคงแนะนำข้าพเจ้าด้วยสติปัญญา พร้อมกับยึดความเขลาไว้ด้วย จนกระทั่งข้าพเจ้าเห็นได้ว่า มีสิ่งดีอะไรที่มนุษย์จะทำได้ภายใต้ท้องฟ้าตลอดชั่วอายุไม่กี่วันของเขาตลอดชั่วอายุ...เขา ภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ตามจำนวนวันของชีวิตเขา 4ข้าพเจ้ากระทำการใหญ่โต ข้าพเจ้าได้สร้างเรือนหลายหลัง และทำสวนองุ่นหลายแปลง 5ข้าพเจ้าทำสวนผลไม้และสวนหย่อนใจหลายแห่ง ปลูกไม้ผลทุกชนิดไว้ในสวนเหล่านั้น 6ข้าพเจ้าสร้างสระน้ำหลายสระสำหรับตัวเอง เพื่อจะใช้น้ำในสระนั้นรดหมู่ไม้ที่กำลังงอกงาม 7ข้าพเจ้าซื้อทาสชายหญิงไว้ และมีทาสเกิดขึ้นในบ้านของข้าพเจ้า นอกจากนั้นข้าพเจ้ามีฝูงโคฝูงแพะแก มากกว่าทุกคนที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก่อนข้าพเจ้า 8ข้าพเจ้าสะสมเงินทองไว้ด้วย และสะสมทรัพย์สมบัติอันควรคู่กับกษัตริย์และควรคู่กับเมืองทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีนักร้องชายหญิง และมีความสนุกสนานทางเพศ ซึ่งเป็นสิ่งชอบใจมนุษย์
9ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเป็นใหญ่และยิ่งใหญ่กว่าทุกคนที่เคยอยู่มาก่อนข้าพเจ้าในเยรูซาเล็ม และสติปัญญาของข้าพเจ้ายังคงอยู่กับข้าพเจ้าด้วย 10ทุกสิ่งที่นัยน์ตาของข้าพเจ้าอยากเห็น ข้าพเจ้าก็ไม่ปิดบัง ข้าพเจ้ามิได้ห้ามใจจากความสนุกสนานทุกอย่าง เพราะใจข้าพเจ้าพบความเพลิดเพลินจากการตรากตรำทั้งหมดของข้าพเจ้า และนี่เป็นรางวัลจากการตรากตรำของข้าพเจ้า 11แล้วข้าพเจ้าหันมาดูทุกสิ่งที่มือข้าพเจ้าทำ และผลของการตรากตรำที่ข้าพเจ้าทำลงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย และดูเถิด ทุกอย่างก็อนิจจังคือ กินลมกินแล้ง และไม่มีประโยชน์อะไรภายใต้ดวงอาทิตย์
พระเจ้าประทานสติปัญญาและความยินดีให้กับผู้ที่พระองค์พอพระทัย
12ข้าพเจ้าจึงหันมาพิเคราะห์สติปัญญา ความบ้าบอ และความเขลา เพราะคนที่มาภายหลังกษัตริย์จะทำอะไรได้? นอกจากทำสิ่งที่เขาทำกันมานานแล้วนั้น 13ข้าพเจ้าเห็นว่าสติปัญญามีประโยชน์กว่าความเขลา เหมือนความสว่างมีประโยชน์กว่าความมืด 14คนมีสติปัญญารู้ว่าจะเดินไปทางไหนรู้ว่าจะเดินไปทางไหน แต่คนเขลาเดินในความมืด ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ตระหนักว่า เคราะห์อย่างเดียวกันเกิดขึ้นแก่พวกเขาทุกคน 15ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่า “เคราะห์ที่เกิดแก่คนเขลา ก็จะเกิดกับตัวข้าพเจ้าด้วย ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจะมีสติปัญญามากมายไปทำไมเล่า?” ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่าเรื่องนี้ก็อนิจจังเหมือนกัน 16เพราะไม่มีใครจดจำถึงคนมีสติปัญญาและคนเขลาตลอดไป เพราะเมื่อถึงเวลาในอนาคตก็ลืมกันไปหมดแล้ว โถ คนมีสติปัญญาก็ตายเหมือนคนเขลา 17ข้าพเจ้าจึงเกลียดชีวิต เพราะว่าการงานที่ทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ก่อความสลดใจให้แก่ข้าพเจ้า เพราะสารพัดก็อนิจจังคือ กินลมกินแล้ง
18ข้าพเจ้าเกลียดการตรากตรำทั้งสิ้น ซึ่งข้าพเจ้าตรากตรำอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ เพราะข้าพเจ้าจำต้องละการนั้นไว้ให้แก่คนที่มาภายหลังข้าพเจ้า 19แล้วใครจะไปทราบว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนมีสติปัญญาหรือคนเขลา กระนั้นเขาก็ครอบครองการตรากตรำทุกอย่างของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้ตรากตรำมาและใช้สติปัญญาทำภายใต้ดวงอาทิตย์ นี่ก็อนิจจังด้วย 20ข้าพเจ้าจึงหันกลับและท้อแท้ใจนักถึงเรื่องการตรากตรำทั้งสิ้น ซึ่งข้าพเจ้าตรากตรำมาภายใต้ดวงอาทิตย์ 21เพราะว่ามีคนที่ตรากตรำโดยใช้สติปัญญา ความรู้ และความชำนาญ แต่แล้วก็ละส่วนแบ่งของเขาให้อีกคนหนึ่งที่หาได้ตรากตรำทำเพื่อการนั้นไม่ นี่ก็อนิจจังด้วยและสามานย์ยิ่ง 22เพราะว่ามนุษย์ได้อะไรจากการตรากตรำทั้งสิ้น และการดิ้นรนที่เขาต้องตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์เล่า? 23เพราะว่าปีเดือนทั้งหมดของเขามีแต่ความเจ็บปวด และภารกิจของเขาก่อความทุกข์ระทม ถึงกลางคืนจิตใจของเขาก็ไม่หยุดพักสงบ นี่ก็อนิจจังด้วย
24สำหรับมนุษย์นั้นไม่มีอะไรดีไปกว่ากินและดื่ม กับชื่นชมผลจากการตรากตรำของเขา นี่แหละข้าพเจ้าเห็นด้วยว่าเป็นมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า 25ด้วยถ้าไม่อาศัยพระองค์แล้วใครจะกินได้เล่า? หรือใครจะชื่นบานได้? 26เพราะว่าพระเจ้าประทานสติปัญญา ความรู้ และความยินดีให้แก่คนที่พระองค์พอพระทัย แต่ส่วนคนบาปพระองค์ประทานภารกิจที่ต้องเก็บเกี่ยวและสะสม เพื่อให้แก่ผู้ที่พระเจ้าพอพระทัย นี่ก็อนิจจังด้วยคือ กินลมกินแล้ง
ปัญญาจารย์ 3
มีวาระสำหรับทุกสิ่ง
1มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์
2มีวาระให้กำเนิด และวาระตาย
มีวาระเพาะปลูก และวาระถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง
3มีวาระฆ่า และวาระรักษาให้หาย
มีวาระรื้อทลายลง และวาระก่อสร้างขึ้น
4มีวาระร้องไห้ และวาระหัวเราะ
มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำ
5มีวาระโยนหินทิ้ง และวาระเก็บรวบรวมหิน
มีวาระสวมกอด และวาระงดเว้นการสวมกอด
6มีวาระแสวงหา และวาระทำหาย
มีวาระเก็บรักษาไว้ และวาระโยนทิ้งไป
7มีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ
มีวาระนิ่งเงียบ และวาระพูด
8มีวาระรัก และวาระเกลียด
มีวาระสงคราม และวาระสันติ
ภารกิจที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์
9คนงานได้ผลประโยชน์แปลได้อีกว่า กำไรอะไรจากการตรากตรำของเขา 10ข้าพเจ้าเห็นภารกิจซึ่งพระเจ้าประทานให้มนุษย์ ก็เพื่อให้พวกเขาสาละวนอยู่กับภารกิจนั้น 11พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามวาระของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจมนุษย์ด้วย แต่มนุษย์ยังค้นไม่พบว่า พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดท้าย 12ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า สำหรับเขาไม่มีอะไรดีไปกว่าเปรมปรีดิ์ และร่าเริงตลอดชีวิตของเขา 13ยิ่งไปกว่านั้น ของประทานจากพระเจ้าแก่มนุษย์คือ ให้มนุษย์ได้กินดื่มและชื่นชมผลทั้งหมดจากการตรากตรำของเขา 14ข้าพเจ้าทราบว่าสารพัดที่พระเจ้าทรงกระทำก็ดำรงอยู่เป็นนิตย์ จะเพิ่มเติมอะไรเข้าไปอีกก็ไม่ได้ หรือจะหักอะไรออกเสียก็ไม่ได้ พระเจ้าทรงกระทำเช่นนั้น เพื่อให้คนทั้งหลายมีความยำเกรงเฉพาะพระพักตร์พระองค์ 15อะไรๆ ซึ่งเป็นอยู่ในปัจจุบันก็เป็นอยู่นานมาแล้ว อะไรๆ ที่เป็นมาก็เคยเป็นอยู่นานมาแล้ว และพระเจ้าทรงทำสิ่งเดิมซ้ำอีก
การพิพากษาและอนาคตขึ้นอยู่กับพระเจ้า
16ยิ่งกว่านั้นอีก ที่ภายใต้ดวงอาทิตย์ข้าพเจ้าเห็นว่า ในที่ของความยุติธรรมมีความอธรรมอยู่ด้วย และในที่ของความชอบธรรมมีความอธรรมอยู่ด้วย 17ข้าพเจ้ารำพึงในใจว่า พระเจ้าจะทรงพิพากษาคนชอบธรรมและคนอธรรม เพราะมีกาลกำหนดไว้สำหรับทุกเรื่อง และสำหรับการงานทุกอย่าง 18ข้าพเจ้ารำพึงในใจเกี่ยวกับบรรดามนุษย์ว่า พระเจ้าทรงทดสอบพวกเขาเพื่อจะสำแดงว่า พวกเขาเป็นเพียงสัตว์ 19เพราะว่าเคราะห์ของบรรดามนุษย์กับเคราะห์ของสัตว์นั้นเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายหนึ่งก็ตายเหมือนกัน ทั้งสองมีลมหายใจอย่างเดียวกัน และมนุษย์ไม่มีอะไรดีกว่าสัตว์ เพราะสารพัดก็อนิจจัง 20ทุกอย่างไปสู่ที่เดียวกัน ทุกอย่างเป็นมาจากผงคลีดิน และทุกอย่างกลับเป็นผงคลีดินอีก 21ใครจะรู้ได้ว่าวิญญาณของมนุษย์ไปสู่เบื้องบน และวิญญาณของสัตว์ลงไปสู่แผ่นดินโลก? 22เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่าที่มนุษย์จะเปรมปรีดิ์ในการงานของตน เพราะว่านั่นเป็นรางวัลของเขา ใครจะนำเขาให้เห็นว่าอะไรจะเป็นมาภายหลังเขา?
อรรถาธิบาย
ค้นพบวัตถุประสงค์แทนที่จะไร้ความหมาย
‘เพราะว่ามนุษย์ได้อะไรจากการตรากตรำทั้งสิ้น และการดิ้นรนที่เขาต้องตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์เล่า?’ (2:22) สำนวนที่ว่า ‘ภายใต้ดวงอาทิตย์’ ปรากฏ 28 ครั้งในพระธรรมเล่มนี้ นี่เป็นสิ่งที่ใช้เพื่ออธิบายถึงการค้นหาความหมายที่ไม่เคยไปได้ไกลกว่าชีวิตนี้และโลกนี้
ปัญญาจารย์เป็นเรื่องราวของความกังวลของคนคนหนึ่งที่ค้นหาความหมาย ผู้เขียนที่มีประสบการณ์คือกษัตริย์ซาโลมอนที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 3,000 ปีก่อน ค้นหาในหลายด้าน
จอยซ์ ไมเยอร์ เขียนไว้ว่า ‘ซาโลมอนเป็นคนที่ยุ่งมาก เขาทรงลองทุกอย่างที่ควรจะลอง และทำทุกสิ่งที่ควรจะต้องทำ แต่ในตอนท้ายของประสบการณ์ของตน เขากลับไม่อิ่มใจ และขมขื่น...เหนื่อยล้า ผิดหวัง และขุ่นมัว’ ปัญญาจารย์แสดงให้เห็นความขุ่นมัวต่างๆ เหล่านี้ในเรื่องชีวิต
ยูจีน ปีเตอร์สัน เขียนไว้ว่า ‘ปัญญาจารย์ไม่ได้กล่าวเรื่องพระเจ้าไว้มากมายนัก ผู้เขียนละไว้กับพระธรรมที่เหลืออีก 65 เล่มในพระคัมภีร์ หน้าที่ของพระองค์คือการเปิดเผยถึงการไร้ความสามารถของเราในการค้นหาความหมาย และเติมเต็มชีวิตของเราด้วยตัวเราเอง...นี่เป็นการเปิดใจและปฏิเสธความคาดหวังที่หยิ่งยโสและโง่เขลาทุกอย่างว่าเราสามารถดำเนินชีวิตของเราเองได้ด้วยตัวเอง ตามแบบที่เรากำหนดเอง’
ซาโลมอนพบว่า ‘ทุกสิ่งก็น่าเบื่อ น่าเบื่อหน่ายที่สุด ไม่มีใครสามารถพบความหมายใดๆ ในสิ่งเหล่านั้น’ (1:8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘ดังนั้นจะได้อะไรจากชีวิตที่ตรากตรำทำงานหนัก ? ความเจ็บปวดและโศกเศร้าตั้งแต่ฟ้าสางจนฟ้ามืด ไม่เคยได้พักอย่างสงบในยามค่ำคืน ไม่เหลืออะไรให้จับต้องเลย’ (2:23, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ปัญญานิยม
พระองค์ทรงเริ่มต้นด้วยการไล่ตาม ‘สติปัญญา’ และ ‘ความรู้’ (1:18ก) แต่สิ่งนี้เพียงแค่นำไปถึง ‘ทุกข์ระทมมากขึ้น’ และ ‘ความเศร้าโศกมากขึ้น’ (ข้อ 18ข) ‘ยิ่งรู้มาก ยิ่งเจ็บปวดมาก’ (ข้อ 18ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) การสะสมสติปัญญาและความรู้ไม่ได้จัดการกับเหตุสุดวิสัยเรื่องความวิตกกังวล และ ไร้ความหมายสุขนิยม
สุขนิยมเป็นความเชื่อที่ว่า ความเพลิดเพลินใจเป็นเป้าหมายหลักที่ดี หรือเหมาะสม ‘ข้าพเจ้ารำพึงว่า “มาเถอะ ลองสนุกสนานดู จงสนุกกันให้เต็มที่!”’ (2:1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ซาโลมอนพยายามหนีไปผ่านทาง ‘การหัวเราะ’ (ข้อ 2) แม้กระทั่งลองใช้สิ่งกระตุ้นต่าง ๆ ‘กายจึงคึกคักด้วยเหล้าองุ่น’ (ข้อ 3) จากนั้นหันไปหาดนตรี ‘นักร้องชายหญิง’ (ข้อ 8) ทั้งยังลองเพลิดเพลินทางเพศ ‘มีความสนุกสนานทางเพศ’ (ข้อ 8ข) ที่จริงซาโลมอนทรงมีมเหสี 700 คน และนางห้าม 300 คน ทั้งหมดนี้ก็ยังไม่ได้ทำให้อิ่มใจ
ซาโลมอนสรุปว่า ‘แล้วข้าพเจ้าหันมาดูทุกสิ่งที่มือข้าพเจ้าทำ และผลของการตรากตรำที่ข้าพเจ้าทำลงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย และดูเถิด ทุกอย่างก็อนิจจังคือ กินลมกินแล้ง และไม่มีประโยชน์อะไรภายใต้ดวงอาทิตย์’ (ข้อ 11) เขาประสบกับความย้อนแย้งของความสุข กฎแห่งผลตอบแทนที่ลดลง ยิ่งคนเราแสวงหาความสุขมากเท่าไหร่ ยิ่งพบได้น้อยลงเท่านั้น
- วัตถุนิยม
วัตถุนิยมคือ ‘แนวโน้มที่จะชอบทรัพย์สมบัติทางวัตถุมากกว่าค่านิยมฝ่ายวิญญาณ’ ซาโลมอนลอง ‘การใหญ่โต’ หลากหลาย (ข้อ 4) มีทรัพย์สินมากมาย (ข้อ 4–6) มีชายและหญิงมากมายทำงานให้ (ข้อ 7) มีสมบัติมากมาย (ข้อ 7ข) ซาโลมอนหาเงินได้มาก ‘ข้าพเจ้าสะสมเงินทองไว้ด้วย และสะสมทรัพย์สมบัติอันควรคู่กับกษัตริย์และควรคู่กับเมืองทั้งหลาย’ (ข้อ 8) มีความยิ่งใหญ่ ความสำเร็จ และชื่อเสียง (ข้อ 9) มีงานและอาชีพที่ประสบความสำเร็จ (ข้อ 10ข) กระนั้น ความตายก็ทำให้ทุกสิ่งที่ค้นหามาได้นั้น ‘อนิจจัง’ (ข้อ 16–18)
ปัญญาจารย์ยกคำถามต่างๆ ซึ่งในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ตอบคำถามเหล่านั้น การค้นพบความหมายไม่ได้อยู่ ‘ภายใต้ดวงอาทิตย์’ แต่อยู่ในพระบุตร
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ปัญญาจารย์ 3:1
‘มีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่าง…’
ฉันไม่เคยมีเวลาพอ แม้แต่สำหรับแผนการอ่านพระคัมภีร์ในหนึ่งปี (แม้ว่าฉันจะลาพักร้อนอยู่)
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 94:19
‘เมื่อความกังวลมีมากในใจข้าพระองค์ การปลอบโยนของพระองค์ก็ทำให้จิตใจข้าพระองค์ปีติยินดี’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)