วัน 198

เหมือนไม่เคยทำบาปเลย

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 86:1-10
พันธสัญญาใหม่ โรม 4:1-15
พันธสัญญาเดิม อาโมส 5:1-27

เกริ่นนำ

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผมเป็นทนายความ ผมสังเกตว่าการอยู่ต่อหน้าศาลเป็นประสบการณ์ที่น่ากลัว สำหรับหลาย ๆ คน แม้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นพยานเท่านั้น การเป็นผู้ฟ้องร้อง บุคคลที่มีส่วนในคดีความ หรือจำเลยในคดีอาญาเป็นสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัวกว่านัก ผมได้เห็นจำเลยแสดงอาการโล่งใจที่ได้พ้นโทษ และเมื่อศาลตัดสินให้ผู้ฟ้องนั้นชนะคดี

ในระบอบกฎหมายของอิสราเอลสมัยโบราณ ความขัดแย้งทำให้ทั้งสองฝ่ายเสี่ยงต่อคำตัดสินของศาล กระบวนการของศาลนั้นมีบทบาทของการไถ่คืน คือผู้พิพากษาจะต้องช่วยฝ่ายถูกเพื่อแก้ไขความผิดที่เกิดขึ้น ในช่วงท้ายของคดี จะมีการประกาศว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชอบธรรม และอีกฝ่ายมีความผิด เมื่อการดำเนินการเป็นไปอย่างสำเร็จ นั่นหมายความว่าความยุติธรรมได้เกิดขึ้นแล้ว คำว่า ‘ชอบธรรม’ ในภาษาฮีบรูคือ tsaddiq (ซัด-ดิก) ซึ่งพระคริสตธรรมคัมภีร์บางฉบับแปลว่า ‘ไม่มีความผิด’ หรือ ‘เป็นธรรม’ คือคนที่มีสถานะชอบธรรม นี่คือภูมิหลังในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมของ ‘การทำให้เป็นคนชอบธรรม’

นิยามของความชอบธรรมของเด็กคือ 'เหมือนกับว่าฉันไม่เคย' ทำบาปเลย พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา เมื่อคุณเชื่อในพระองค์ นั่นแปลว่าคุณเป็นคนชอบธรรมแล้ว คุณพ้นจากโทษบาปแล้ว คุณถูกการประกาศว่าชอบธรรมในสายพระเนตรของพระองค์ บาปไม่ได้แยกคุณออกจากพระเจ้าอีกต่อไป คุณสามารถอยู่ในความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์และกับผู้อื่น นี่คือ 'ความชอบธรรม'

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 86:1-10

คำอธิษฐานขอพระเจ้าทรงช่วยสู้กับศัตรู

คำอธิษฐานของดาวิด

1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอเงี่ยพระกรรณฟังและขอทรงตอบข้าพระองค์
 เพราะข้าพระองค์ยากจนและขัดสน
2ขอทรงคุ้มครองชีวิตข้าพระองค์ไว้ เพราะข้าพระองค์เป็นผู้จงรักภักดี
 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ผู้วางใจใน
  พระองค์ให้รอด
3ข้าแต่องค์เจ้านาย ขอทรงพระกรุณาต่อข้าพระองค์
 เพราะข้าพระองค์ร้องทูลต่อพระองค์วันยังค่ำ
4ขอทรงให้จิตใจผู้รับใช้ของพระองค์ยินดี
 ข้าแต่องค์เจ้านาย ข้าพระองค์ยกจิตใจของข้าพระองค์ขึ้นต่อพระองค์
5ข้าแต่องค์เจ้านาย เพราะพระองค์ประเสริฐและทรงให้อภัย
 อุดมด้วยความรักมั่นคงต่อทุกคนที่ร้องทูลพระองค์
6ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอเงี่ยพระโสตฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
 ขอทรงสดับเสียงวิงวอนของข้าพระองค์
7ในวันที่ข้าพระองค์ทุกข์ใจ ข้าพระองค์จะร้องทูลพระองค์
 เพราะพระองค์จะทรงตอบข้าพระองค์
8ข้าแต่องค์เจ้านาย ในบรรดาพระ ไม่มีผู้ใดเหมือนพระองค์
 และไม่มีกิจการใดเหมือนบรรดาพระราชกิจของพระองค์
9ข้าแต่องค์เจ้านาย ทุกประชาชาติที่พระองค์ทรงสร้างจะกราบลงเฉพาะพระ
  พักตร์ของพระองค์
 และจะเทิดทูนพระนามของพระองค์
10เพราะพระองค์ทรงยิ่งใหญ่และทรงทำการอัศจรรย์ต่างๆ
 พระองค์แต่ผู้เดียวทรงเป็นพระเจ้า

อรรถาธิบาย

ข่าวลือแห่งความชอบธรรม

ดาวิดมีประสบการณ์กับพระพรของการถูกทำให้ชอบธรรมโดยความเชื่อและการเป็นลูกของพระเจ้า เขาเขียนว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดสดับฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอทรงก้มพระกายลงและ ฟังเสียงร้องขอการช่วยกู้ของข้าพระองค์’ (ข้อ 6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เหมือนกับบิดามารดาที่ก้มตัวลงมาอย่างรักใคร่เพื่อให้ลูกสามารถกระซิบข้างหู พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของลูก ๆ ของพระองค์ ‘ในวันที่ข้าพระองค์ทุกข์ใจ ข้าพระองค์จะร้องทูลพระองค์ เพราะพระองค์จะทรงตอบข้าพระองค์’ (ข้อ 7)

ดาวิดไม่ได้รับพรของการมีชีวิตอยู่ภายใต้พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ เพราะว่าเขาอยู่ล่วงหน้าการ สิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ถึงกระนั้นไม้กางเขนก็ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเวลา แต่มีผลต่อคนที่มีชีวิตอยู่ก่อนพระเยซูด้วย เช่น อับราฮัมและดาวิด แน่นอน อาจารย์เปาโลเน้นถึงดาวิดว่าเขาได้รับรู้ถึงพระพรอันอัศจรรย์ของการยกโทษและการฟื้นฟูของพระเจ้า (โรม 4:6-8, สดุดี 32:1-2ก)

อาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าในอีกทางหนึ่ง ดาวิดได้มีประสบการณ์กับ ‘ความชอบธรรมโดยความเชื่อ’ แม้สิ่งนั้นยังไม่เกิดขึ้นก็ตาม

ประการแรก เขาเข้าใจถึงความรักของพระเจ้า เขารู้ว่าพระเจ้าทรง ‘อุดมด้วยความรักมั่นคงต่อทุกคนที่ร้องทูลพระองค์’ (สดุดี 86:5ข)

ประการที่สอง เขารู้ว่าพระเจ้าทรงเมตตาและให้อภัย ‘ข้าแต่องค์เจ้านาย ขอทรงพระกรุณาต่อข้าพระองค์... เพราะพระองค์ประเสริฐและทรงให้อภัย...ขอทรงสดับเสียงวิงวอนของข้าพระองค์’ (ข้อ 3ก, 5ก, 6ข)

ประการที่สาม ถึงแม้ดาวิดจะรู้ว่าเขาไม่คู่ควรได้รับการอภัยและพระเมตตา เพราะเขาไม่สามารถได้ มาโดยการกระทำ แต่เขามีความเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงช่วยเขาโดยความเชื่อที่เขามีในพระองค์ ‘ขอทรงช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ผู้วางใจในพระองค์ให้รอด’ (ข้อ 2ข)

ถ้าให้พูดอีกแบบคือ ดาวิดเข้าใจถึงองค์ประกอบทั้งหมดที่ก่อให้เกิดการเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ ยกเว้นข้อเดียว ชิ้นส่วนที่หายไปนั้นคือการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเพราะบาปของเรา

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณสำหรับความรักแสนอัศจรรย์ที่พระองค์มีต่อข้าพระองค์ ขอบคุณพระองค์ที่ทรงช่วยกู้คนที่วางใจในพระองค์
พันธสัญญาใหม่

โรม 4:1-15

อับราฮัมเป็นตัวอย่าง

 1ถ้าอย่างนั้น เราจะว่าอย่างไรในเรื่องอับราฮัมบรรพบุรุษของเราตามสายโลหิต 2ถ้าอับราฮัมถูกชำระให้ชอบธรรมโดยการประพฤติ ท่านก็มีทางที่จะอวดได้ แต่ไม่ใช่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า 3พระคัมภีร์ว่าอย่างไร? ก็ว่า“อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรม” 4ส่วนคนที่ทำงานก็ไม่ถือว่าค่าจ้างที่ได้นั้นเป็นบำเหน็จ แต่ถือว่าเป็นค่าแรงของงานที่ได้ทำ 5ส่วนคนที่ไม่ได้อาศัยการประพฤติ แต่ได้เชื่อในพระองค์ผู้ทรงให้คนอธรรมเป็นคนชอบธรรมได้ เพราะความเชื่อของคนนั้นพระเจ้าทรงถือว่าเป็นความชอบธรรม 6ดังที่ดาวิดได้กล่าวถึงความสุขของคนที่พระเจ้าทรงถือว่าเป็นคนชอบธรรม โดยไม่อาศัยการประพฤติ

7ว่า*“คนทั้งหลายซึ่งพระเจ้าทรงยกการอธรรมของเขาแล้ว
และพระเจ้าทรงกลบเกลื่อนบาปของเขาแล้ว ก็เป็นสุข
8 บุคคลที่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงถือโทษก็เป็นสุข”*

 9ถ้าเช่นนั้นความสุขมีแก่คนที่เข้าสุหนัต หรือว่ามีแก่พวกไม่เข้าสุหนัตด้วย? เรากล่าวว่า “เพราะความเชื่อนั้นเอง พระองค์ทรงถือว่าอับราฮัมเป็นคนชอบธรรม” 10แต่พระเจ้าทรงถืออย่างนั้นเมื่อไร? เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้ว หรือเมื่อยังไม่เข้าสุหนัต? ไม่ใช่เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้ว แต่เมื่อท่านยังไม่เข้าสุหนัต 11และท่านได้เข้าสุหนัต เป็นเครื่องหมายสำคัญ เป็นตรารับรองความชอบธรรม ซึ่งเกิดโดยความเชื่อที่ท่านได้มีอยู่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อท่านจะได้เป็นบิดาของทุกคนที่เชื่อ ทั้งที่เขายังไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อพระเจ้าจะทรงถือว่าเขาเป็นคนชอบธรรมด้วย 12และเพื่อท่านจะเป็นบิดาของคนเหล่านั้นที่เข้าสุหนัต ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่เข้าสุหนัตเท่านั้น แต่มีความเชื่อตามแบบของอับราฮัมบิดาของเรา ซึ่งท่านมีอยู่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต

โดยความเชื่อ พระสัญญาจึงเป็นจริงได้

 13เพราะว่าพระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมและลูกหลานของท่านที่ว่า จะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้นไม่ได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ 14ถ้าพวกที่ถือตามธรรมบัญญัติจะเป็นทายาท ความเชื่อก็ไร้ความหมาย และพระสัญญาก็เป็นโมฆะ 15เพราะธรรมบัญญัตินำไปสู่พระพิโรธ แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติ ที่นั้นก็ไม่มีการละเมิด

อรรถาธิบาย

การเฉลิมฉลองของผู้ชอบธรรม

เราผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ที่มีมลทินอย่างมหันต์จะชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างไร? คุณจะเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรได้อย่างไร? มันเป็นอะไรที่คุณต้องทำงานอย่างหนักตลอดชีวิตและคาดหวังสิ่งที่ดีที่สุดหรือไม่?

เปาโลบอกว่า ‘ไม่’ การมีชีวิตอยู่ การสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูนั้นก่อให้เกิดสิ่งอัศจรรย์ ตอนนี้เราสามารถรับเอาความชอบธรรม ซึ่งเป็นของขวัญที่ไม่ต้องจ่ายราคา เราได้รับ ไม่ใช่โดยการทำงานหนัก แต่โดยการแสดงออกด้วยความเชื่อ (ข้อ 1-5)

หนึ่งในคำถามที่ถูกถามบ่อยในอัลฟ่าคือ ‘ถ้าพระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา เกิดอะไรขึ้นกับคนที่มีชีวิตอยู่ก่อนหน้าพระเยซู?’

เปาโลรู้ว่าเขาจะต้องจัดการกับกรณีของอับราฮัม เพราะฝ่ายตรงข้ามอาจโต้เถียงว่าอับราฮัมถูกชำระให้ชอบธรรมโดยการประพฤติ จึงมีทางที่จะอวดได้ (ข้อ 2) อาจารย์เปาโลจึงชี้ให้เห็นว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์ประกาศดังนี้ ‘อับรามก็เชื่อพระยาห์เวห์ ความเชื่อนั้นพระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน’ (ข้อ 3 , ปฐมกาล 15:6) อาจารย์เปาโลแย้งว่าข้อถ้อยคำนี้หมายถึงของประทาน ไม่ใช่สิ่งที่ได้รับเพราะการประพฤติ (โรม 4:5)

'หากท่านเป็นคนที่ทำงานหนักและทำออกมาอย่างดี ท่านก็สมควรได้รับค่าจ้าง เราไม่เรียกค่าจ้างว่าของประทาน แต่หากท่านมองว่างานนั้นหนักเกินไป เป็นสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นสามารถกระทำได้ และวางใจให้พระองค์ทำ นั่นคือสิ่งที่ทำให้คุณชอบธรรมต่อพระองค์ โดยพระองค์ นั่นเป็นของประทานที่ยิ่งใหญ่’ (ข้อ 4-5 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ฝ่ายตรงข้ามของอาจารย์เปาโลอาจจะโต้แย้งว่าของประทานนี้มีไว้สำหรับคนยิวเท่านั้น (พวกที่เข้าสุหนัต) แต่อาจารย์เปาโลชี้ให้เห็นว่าการเข้าสุหนัตมาหลังอับราฮัม (ปฐมกาล 17) ดังนั้นพระพรของการถูกทำให้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อจึงมีสำหรับพวกที่เข้าสุหนัต (คนยิว) และพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัต (มนุษยชาติที่เหลือ) (โรม 4:9-10)

การเข้าสุหนัตไม่ใช่ต้นเหตุของการเป็นคนชอบธรรม แต่มันคือตราประทับ อับราฮัมเข้าสุหนัตเพื่อเป็นหลักฐานและเป็นการยืนยันถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำไว้นานก่อนหน้าเพื่อนำเขามาสู่ ความชอบธรรม เป็นการกระทำของพระเจ้าซึ่งเขาได้อ้าแขนรับไว้ตลอดชีวิตของเขา (ข้อ 11-12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เรื่องราวของอับราฮัมทำให้เห็นชัดเจนว่าการถือว่าเป็นคนชอบธรรมไม่ได้เกิดจากการประพฤติ การเข้าสุหนัต หรือกฎบัญญัติ แต่โดยพระคุณของพระเจ้าผ่านทางความเชื่อในพระเยซู ถ้าอับราฮัมถูกทำให้ชอบธรรม โดยความเชื่อ เขาก็เป็นบิดาของทุกคนที่มีความเชื่อ (รวมทั้งคนที่ยังไม่ได้เข้าสุหนัตด้วย ,ข้อ 11-12)

ไม้กางเขนส่งผลตลอดกาลเวลา ผ่านสิ่งที่พระเยซูทรงทำบนกางเขนนั้น แม้แต่คนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยว กับพระองค์แต่ได้เชื่อวางใจในพระเจ้า ก็ถูกทำให้ชอบธรรมโดยความเชื่อ

คุณจำเป็นจะต้องเข้าใจทั้งหมดนี้เพื่อจะเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อไหม? ไม่เลย ความชอบธรรมเกิดขึ้นโดยความเชื่อ คุณไม่จำเป็นต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความชอบธรรมโดยความเชื่อเพื่อจะถูกทำให้ชอบธรรมโดยความเชื่อ คุณเพียงแค่ต้องเชื่อ ‘นี่คือเหตุผลที่พระสัญญาของพระเจ้าจะเป็นจริงก็ขึ้นอยู่กับการวางใจพระเจ้าและหนทางของพระเจ้าเท่านั้น จากนั้นคือการเปิดรับพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงทำ พระสัญญาของพระเจ้ามาในรูปแบบของประทานที่บริสุทธิ์’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ขอบพระคุณอย่างยิ่งสำหรับความจริงอันอัศจรรย์ว่าข้าพระองค์ถูกทำให้ชอบธรรมและพ้นจากโทษโดยการสิ้น พระชนม์ของพระเยซูเพื่อข้าพระองค์และโดยความเชื่อในพระองค์ โปรดช่วยให้ข้าพระองค์เข้าใจถึงความจริง ข้อนี้อย่างลงลึก และสามารถอธิบายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อคนอีกมากมายจะรู้ถึงพระพรอันยิ่งใหญ่ของความชอบธรรมโดยความเชื่อ
พันธสัญญาเดิม

อาโมส 5:1-27

การคร่ำครวญเนื่องจากบาปของอิสราเอล

  1โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังถ้อยคำนี้ ซึ่งข้าคร่ำครวญถึงเจ้าว่า

 2“อิสราเอลคือสาวพรหมจารี
 เธอล้มลงแล้ว ลุกขึ้นไม่ได้อีก
เธอถูกทอดทิ้งที่แผ่นดินของเธอ
 ไม่มีใครพยุงเธอขึ้นอีก
 3“เพราะพระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า
‘เมืองที่ส่งทหารออกไปหนึ่งพัน
 จะเหลือกลับมาหนึ่งร้อย
และเมืองที่ส่งออกไปหนึ่งร้อย
 จะเหลือกลับมาสิบคน แก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล’
4“เพราะพระยาห์เวห์ตรัสกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลดังนี้ว่า
‘จงแสวงหาเราและดำรงชีวิตอยู่
 5อย่าแสวงหาเบธเอล
อย่าเข้าไปในกิลกาล
 หรือข้ามไปยังเบเออร์เชบา
เพราะว่ากิลกาลจะตกไปเป็นเชลยอย่างแน่นอน
 และเบธเอลก็จะสูญไป’ ”
6จงแสวงหาพระยาห์เวห์และดำรงชีวิตอยู่
 เกรงว่าพระองค์จะทรงพุ่งปะทะพงศ์พันธุ์โยเซฟอย่างไฟ
 ไฟจะเผาผลาญเบธเอล และไม่มีใครดับได้
7โอ เจ้าทั้งหลายผู้บิดเบือนความยุติธรรม
 และเหยียบย่ำความชอบธรรม
8พระองค์ผู้ทรงสร้างดาวลูกไก่และดาวไถ
 ผู้ทรงเปลี่ยนความมืดทึบให้เป็นรุ่งเช้า
 และทรงทำให้กลางวันมืดอย่างกลางคืน
ผู้ทรงเรียกน้ำทะเลมา
 และเทน้ำนั้นลงบนพื้นพิภพ
พระยาห์เวห์คือพระนามของพระองค์
9ผู้ทรงทำให้ความพินาศแวบเข้าสู่ผู้แข็งแรง
 ความพินาศจึงเข้าสู่ป้อมปราการ
10เขาทั้งหลายเกลียดผู้ที่กล่าวเตือนที่ศาล
 และเขาชังผู้ที่พูดความจริง
11เพราะว่าพวกเจ้าเหยียบย่ำคนยากจน
 และรีดเอาส่วนแบ่งข้าวสาลีไปจากเขา
เจ้าจึงสร้างบ้านด้วยศิลาสกัด
 แต่เจ้าจะไม่ได้อยู่ในตึกนั้น
เจ้าทำสวนองุ่นที่ร่มรื่น
 แต่เจ้าจะไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นจากสวนนั้น
12เพราะเรารู้ว่าการละเมิดของเจ้ามีเพียงไร
 และบาปของเจ้ามากมายสักเท่าใด
เจ้าเป็นผู้ข่มเหงคนชอบธรรม เป็นผู้รับสินบน
 และขับไล่คนขัดสนออกไปจากศาล
13เพราะฉะนั้น คนที่มีปัญญาจะไม่พูดอะไรในเวลาเช่นนั้น
 เพราะเป็นเวลาชั่วร้าย
14เจ้าทั้งหลายจงแสวงหาความดี อย่าแสวงหาความชั่ว
 เพื่อเจ้าจะดำรงชีวิตอยู่ได้
พระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพจะสถิตกับเจ้า
 ดังที่เจ้ากล่าวอ้าง
15จงเกลียดความชั่ว และจงรักความดี
 และจงตั้งความยุติธรรมไว้ในศาล
บางทีพระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพ
 อาจทรงพระกรุณาต่อพงศ์พันธุ์โยเซฟที่เหลืออยู่นั้น
16เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพ ผู้เป็นองค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า
 “ตามลานเมืองทุกแห่งจะมีการร่ำไห้
และตามถนนทุกสายจะมีคนพูดว่า ‘อนิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย’
 เขาจะร้องเรียกชาวนาให้ไว้ทุกข์
 และให้ผู้ชำนาญเพลงโศกร้องโอดครวญ
17ในสวนองุ่นทุกแห่งจะมีการร่ำไห้
 เพราะเราจะผ่านไปท่ามกลางเจ้า”
 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ

วันแห่งพระยาห์เวห์เป็นวันมืด

18วิบัติแก่เจ้าผู้ปรารถนาวันแห่งพระยาห์เวห์
 เจ้าจะปรารถนาวันแห่งพระยาห์เวห์ไปทำไม?
วันนั้นเป็นความมืด มิใช่ความสว่าง
19อย่างกับคนหนีสิงห์
 ไปปะหมี
หรือเหมือนคนเข้าไปในเรือนเอามือเท้าฝาผนัง
 และงูก็กัดเอา
20วันแห่งพระยาห์เวห์เป็นความมืด มิใช่ความสว่าง
เป็นความมืดครึ้ม มิใช่ความเจิดจ้าเลย
21“เราเกลียด เราชังบรรดาวันเทศกาลเลี้ยงของเจ้า
และเราไม่ชอบการประชุมตามพิธีของเจ้าเลย
22แม้ว่าเจ้าถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและธัญบูชาแก่เรา
เราก็จะไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้น
และเราจะไม่มองดู
ศานติบูชาที่เป็นสัตว์อ้วนพีของเจ้านั้น
23จงนำเสียงเพลงของเจ้าไปจากเรา
เราจะไม่ฟังเสียงพิณใหญ่ของเจ้า
24แต่จงให้ความยุติธรรมหลั่งไหลลงอย่างน้ำ
และให้ความชอบธรรมเป็นอย่างลำธารที่ไหลอยู่เป็นนิตย์

25“โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เจ้าได้นำเครื่องบูชาถวายแก่เราในถิ่นทุรกันดาร 40 ปีหรือ? 26เจ้าได้หามพระสัคคูทกษัตริย์ของเจ้า และพระไควันดาวที่เป็นพระของเจ้า รูปเคารพทั้งสองซึ่งเจ้าได้ทำไว้สำหรับตัวเจ้าเองไม่ใช่หรือ? 27เพราะฉะนั้น เราจะนำเจ้าไปเป็นเชลย ณ ที่เลยเมืองดามัสกัสไป”พระยาห์เวห์ ผู้ทรงพระนามว่าพระเจ้าจอมทัพ ตรัสดังนี้แหละ

อรรถาธิบาย

ชุมชนของผู้ที่ถูกทำให้ชอบธรรม

พระเจ้าไม่สนพระทัยว่าเรา ‘เคร่งครัดทางความเชื่อ’ มากแค่ไหน พระองค์ทรงคำนึงถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม และความชอบธรรมมากกว่า ถ้าปราศจากสิ่งเหล่านี้ ความเชื่อก็เป็นเพียงความหน้าซื่อใจคด พระองค์ตรัสว่า

‘เราไม่อาจทนต่อการประชุมทางความเชื่อของเจ้า
 เราเบื่อหน่ายการประชุมและการชุมนุมของเจ้า
เราไม่ต้องการมีส่วนในโครงการความเชื่อใด ๆ ของเจ้า
 คติพจน์และเป้าหมายที่เสแสร้งของเจ้า
เราเอียนแผนการระดมทุนของเจ้า
 การประชาสัมพันธ์และการสร้างภาพเหล่านั้น
เราสุดจะทนต่อเสียงดนตรีดังเพื่อสนองความเห็นแก่ตัวของเจ้า
 ครั้งสุดท้ายที่เจ้าร้องเพลงให้เราคือเมื่อใด?
เจ้ารู้ถึงสิ่งที่เราต้องการหรือไม่
 เราประสงค์ความยุติธรรม ดั่งแม่น้ำกว้างใหญ่
เราประสงค์ความชอบธรรมอย่างลำธารมากหลาย
 นั่นคือสิ่งที่ต้องการ นั่นคือทั้งหมดที่เราประสงค์’
(ข้อ 21-24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ใจกลางของความสำเร็จของความชอบธรรมโดยความเชื่อ คือประชากรของพระเจ้าตอบสนองโดยการกระทำที่ชอบธรรมและยุติธรรม จอห์น คาลวิน กล่าวว่า ‘ความเชื่อโดยลำพังเท่านั้นที่ชอบธรรม แต่กระนั้นความเชื่อที่ชอบธรรมมิได้มาแต่โดยลำพัง’ การตอบสนองอย่างธรรมชาติของเราต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงทำเพื่อเราควรที่จะสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์

ความชอบธรรมและความยุติธรรมมีบทบาทสำคัญในบทนี้และในพระธรรมอาโมสทั้งบท พระเจ้าประสงค์ความยุติธรรมแก่คนยากจน พระองค์ตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะอาโมสว่า

‘เพราะเจ้าเอาเปรียบคนยากจน
 และดึงขนมปังออกจากปากของพวกเขา
เจ้าจะไม่มีวันได้ย้ายเข้าไปอยู่
 ในบ้านหรูหราที่เจ้าสร้างขึ้น
เจ้าจะไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่น
 จากสวนองุ่นราคาแพงที่เจ้าปลูก
เรารู้ขอบเขตการละเมิดของเจ้าอย่างละเอียด
 ความบาปของเจ้าที่ใหญ่โตมหึมา!
เจ้าข่มเหงคนที่ใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง
 เจ้ารับสินบนจากรอบด้านและไล่เตะคนยากจนเมื่อพวกเขาล้มลง
ความยุติธรรมได้พ่ายแพ้เสียแล้ว’ (ข้อ 10-13, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ความอธรรมดำเนินต่อเป็นนิจ พระองค์จะทรงแทรกแซงและนำความชอบธรรมมา พระเจ้าทรงเกลียดความอธรรม

ประเด็นเรื่องของความยุติธรรม เช่น การช่วยเหลือคนที่ถูกบังคับให้เป็นแรงงานหรือเป็นทาสในรูปแบบต่าง ๆ การต่อสู้กับการค้าประเวณี การเหยียดผิว หรือความอธรรมในรูปแบบอื่น ๆ ควรจะเป็นงานที่เราให้ความสำคัญอย่างสูง ‘แต่จงให้ความยุติธรรมหลั่งไหลลงอย่างน้ำ และให้ความชอบธรรมเป็นอย่างลำธารที่ไหลอยู่เป็นนิตย์!’ (ข้อ 24)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ความเชื่อเท่านั้นสามารถทำให้คนหนึ่งชอบธรรมได้ แต่ความเชื่อไม่ควรจะอยู่โดยลำพัง โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ดำรงในความเชื่อโดยการประพฤติตัวอย่างชอบธรรมและแสวงหาความชอบธรรมแก่ทุกคน

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สดุดี 86:2

‘ขอทรงคุ้มครองชีวิตข้าพระองค์ไว้’

ความเลวร้ายต่าง ๆ นานา เกิดขึ้นทั่วโลกและภัยอันตรายทุกรูปแบบ การพยายามขี่จักรยานตามนิคกี้ ขณะที่เขาขี่ไปตามท้องถนนในลอนดอน (ด้วยความเร็วสูง) เป็นสิ่งที่น่าตื่นตระหนก ‘ขอทรงคุ้มครองชีวิตข้าพระองค์ไว้’ เป็นคำอธิษฐานที่ช่วยปลอบประโลมใจยิ่ง

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 86:6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล

‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดสดับฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอทรงก้มพระกายลงและฟังเสียงร้องขอการ ช่วยกู้ของข้าพระองค์’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม