วัน 196

ทำให้จิตใจของคุณอ่อนโยนและเท้าแข็งกระด้าง

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 17:5-14
พันธสัญญาใหม่ โรม 2:17-3:8
พันธสัญญาเดิม อาโมส 1:1-2:16

เกริ่นนำ

นักศึกษาวิทยาลัยดนตรีอายุ 21 ปีคนหนึ่ง นั่งเรือที่ถูกที่สุดที่เธอสามารถหาได้ ตามการทรงเรียกให้รับใช้ในหลากหลายประเทศ และอธิษฐานให้รู้ว่าจะลงจากเรือที่ไหนดี เธอมาถึงฮ่องกงในปี ค.ศ.1966 และมาถึงสถานที่ที่เรียกว่าเมืองกำแพง มันเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ที่มีประชากรหนาแน่นและไร้กฎหมายควบคุม ทั้งจากจีนและฮ่องกง เป็นชุมชนสลัม ตึกสูงแนวตั้งสำหรับคนติดยา แก๊ง และผู้ให้บริการทางเพศ เธอเขียนว่า:

ฉันชอบที่มืด ๆ แห่งนี้ ฉันเกลียดสิ่งที่เกิดขึ้นในนั้น แต่ฉันต้องการอยู่ที่นี่มากกว่าที่ใด ๆ มันเกือบจะเหมือนกับว่าฉันเห็นอีกเมืองหนึ่งในที่นี้ และเมืองนั้นก็เรืองรองไปด้วยแสงสว่าง นั่นเป็นความฝันของฉัน ไม่มีการร้องไห้อีกต่อไป ไม่มีความตายหรือความเจ็บปวดอีกต่อไป คนป่วยได้รับการรักษา ผู้ติดยาได้เป็นอิสระ คนหิวโหยได้อิ่มท้อง มีครอบครัวสำหรับเด็กกำพร้า บ้านสำหรับคนไร้บ้าน และศักดิ์ศรีใหม่สำหรับผู้ที่เคยอยู่ด้วยความอับอาย ฉันไม่รู้ว่าจะนำสิ่งนี้มาได้อย่างไร แต่ด้วยจินตนาการอันเปี่ยมด้วย ‘ความกระตือรือร้นในนิมิตหมาย’ ในการนำผู้คนในเมืองกำแพงให้รู้จักผู้ที่สามารถเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ได้นั่นคือ พระเยซู

แจ็กกี้ พูลลิงเจอร์ ใช้เวลากว่าครึ่งศตวรรษในการทำงานกับผู้ติดเฮโรอีน สมาชิกแก๊งและผู้ให้บริการทางเพศ ผมจำได้ดีที่เธอพูดเมื่อหลายปีก่อน เธอเริ่มโดยพูดว่า ‘พระเจ้าต้องการให้เรามีจิตใจที่อ่อนโยนและฝ่าเท้าที่แข็งกระด้าง ปัญหาของเราหลายคนคือการที่มีจิตใจที่แข็งกระด้าง และกลับมีฝ่าเท้าที่อ่อนนุ่ม’

แจ็กกี้เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของเรื่องนี้ คือ การไปโดยไม่ได้นอน ไม่มีอาหาร และความสะดวกสบายใด ๆ เพื่อที่จะได้รับใช้ผู้อื่น พระเจ้าต้องการให้เรามีจิตใจที่อ่อนโยน เป็นหัวใจแห่งความรักและความเมตตา แต่ถ้าเราต้องการสร้างความแตกต่างให้กับโลก สิ่งนี้จะนำไปสู่ฝ่าเท้าที่แข็งกระด้าง ในขณะที่เราเดินทางบนเส้นทางที่ยากลำบากและเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 17:5-14

5ผู้ที่เหยียดหยามคนยากจนก็ดูถูกพระผู้สร้างของเขา
 ผู้ที่ยินดีเมื่อเกิดภัยพิบัติแก่คนอื่นจะถูกลงโทษ
6หลานเป็นมงกุฎของคนแก่
 และศักดิ์ศรีของบุตรชายคือบิดาของเขา
7วาจาดีเลิศไม่คู่ควรกับคนโง่เขลาฉันใด
 วาจามุสายิ่งไม่เหมาะกับเจ้านายฉันนั้น
8สินบนเหมือนแก้ววิเศษในสายตาของผู้ให้
 เขาจะหันไปทางไหนก็เจริญรุ่งเรืองทางนั้น
9ผู้ให้อภัยการละเมิดก็มุ่งจะสร้างมิตรภาพ
 แต่คนที่ชอบพูดย้ำความผิดจะทำให้เพื่อนสนิทแตกคอกัน
10คำว่ากล่าวเข้าไปในคนที่มีความเข้าใจ
 ลึกกว่าการเฆี่ยนคนโง่สักร้อยที
11คนชั่วร้ายก็แสวงหาแต่การกบฏ
 ดังนั้นผู้สื่อสารดุร้ายจะถูกส่งไปสู้เขา
12ให้คนไปพบแม่หมีที่ลูกถูกขโมยไป
 ยังดีกว่าไปพบคนโง่ในความโง่ของเขา
13คนที่ทำความชั่วตอบแทนความดี
 ความชั่วจะไม่พรากจากบ้านของคนนั้น
14การเริ่มต้นวิวาทก็เหมือนปล่อยน้ำให้ไหล
 ฉะนั้นจงหยุดเสียก่อนเกิดการพิพาท

อรรถาธิบาย

ทำจิตใจให้อ่อนโยนต่อผู้อื่น

หากคุณมีจิตใจที่อ่อนโยนลงโดยพระเจ้า คุณก็จะแสดงความรักต่อผู้อื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป้าหมายของเราคือการใช้ชีวิตที่ ‘สร้างมิตรภาพ’ (ข้อ 9 ก)

1. รักคนยากจน
ท่าทีของคุณที่มีต่อคนยากจนสะท้อนถึงท่าทีของคุณที่มีต่อพระเจ้า ‘ผู้ที่เหยียดหยามคนยากจนก็ดูถูกพระผู้สร้างของเขา’ (ข้อ 5 ก) ในฐานะคนของพระเจ้า เราถูกเรียกให้ผูกมิตรและปรนนิบัติคนยากจน

2. รักครอบครัวของคุณ
ความคิดที่เป็นอุดมคติของพระเจ้าคือการให้คุณมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและเปี่ยมด้วยความรักระหว่างพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย และลูก ๆ ‘หลานเป็นมงกุฎของคนแก่และศักดิ์ศรีของบุตรชายคือบิดาของเขา’ (ข้อ 6)

3. รักเพื่อน ๆ ของคุณ
ความรักระหว่างเพื่อนสนิทนั้นมีคุณค่ามาก จงรักษามิตรภาพของคุณ อย่าโกรธเคืองเร็วหรือเก็บความขุ่นเคืองใจไว้นาน ‘มองข้ามความผิดและผูกพันกับมิตรภาพ แต่คนที่ยึดติดความผิดนั้นจะทำให้เพื่อนจากลา!’ (ข้อ 9 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

4. รักคนที่วิจารณ์คุณ
พระเยซูบอกให้เรา ‘รักศัตรูของท่าน’ (มัทธิว 5:44) ใจที่อ่อนโยนพร้อมรับคำวิจารณ์ ไม่ว่าจะมาจากเพื่อนหรือแม้แต่จาก ‘ศัตรู’ คำว่ากล่าว ‘เข้าไปในคนที่มีความเข้าใจลึกกว่าการเฆี่ยนคนโง่สักร้อยที’ (สุภาษิต 17:10)

ให้เราพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงการโต้เถียง ‘การเริ่มต้นวิวาทก็เหมือนปล่อยน้ำให้ไหล ฉะนั้นจงหยุดเสียก่อนเกิดการพิพาท’ (ข้อ 14)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รักได้เช่นนี้ โปรดช่วยให้ข้าพระองค์รักษาความสัมพันธ์ในครอบครัว กับเพื่อนฝูง และกับคนที่วิจารณ์ โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รักคนยากจนและสร้างความแตกต่างอย่างแท้จริงในชีวิตของพวกเขา
พันธสัญญาใหม่

โรม 2:17-3:8

พวกยิวและธรรมบัญญัติ

 17แต่ถ้าท่านเรียกตัวเองว่ายิวและพึ่งธรรมบัญญัติ และอวดว่าตนมีความสัมพันธ์พิเศษกับพระเจ้า 18และว่าท่านรู้จักพระประสงค์ของพระองค์ และเห็นชอบในสิ่งที่ประเสริฐ เพราะว่าได้เรียนจากธรรมบัญญัติ 19และถ้าท่านมั่นใจว่าเป็นผู้จูงคนตาบอด เป็นความสว่างให้แก่คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืด 20เป็นผู้สอนคนโง่ เป็นครูสอนเด็ก เพราะท่านมีแบบจำลองของความรู้และความจริงในธรรมบัญญัตินั้น 21ฉะนั้นท่านซึ่งเป็นผู้สอนคนอื่นจะไม่สอนตัวเองหรือ? ขณะที่ท่านเทศนาว่าไม่ควรลักทรัพย์ ตัวท่านเองลักหรือเปล่า? 22ท่านผู้ที่สอนว่าไม่ควรล่วงประเวณีตัวท่านเองล่วงประเวณีหรือเปล่า? ท่านผู้รังเกียจรูปเคารพ ตัวท่านเองปล้นวิหารไหม? 23ท่านผู้โอ้อวดว่ามีธรรมบัญญัติ ตัวท่านเองยังลบหลู่พระเกียรติพระเจ้าด้วยการละเมิดธรรมบัญญัติหรือเปล่า? 24เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “พระนามของพระเจ้าเป็นที่ดูหมิ่นท่ามกลางคนต่างชาติก็เพราะพวกท่าน”
 25ถ้าท่านประพฤติตามธรรมบัญญัติ พิธีเข้าสุหนัตก็เป็นประโยชน์จริง แต่ถ้าท่านละเมิดธรรมบัญญัติ การที่ท่านเข้าสุหนัตนั้นก็เหมือนกับว่าไม่ได้เข้าเลย 26เพราะฉะนั้นถ้าคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตยังประพฤติตามธรรมบัญญัติแล้ว การที่เขาไม่ได้เข้าสุหนัตนั้น จะถือว่าเขาได้เข้าแล้วไม่ใช่หรือ? 27และพวกที่ไม่เข้าสุหนัตทางร่างกาย แต่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ เขาจะพิพากษาท่านผู้มีประมวลธรรมบัญญัติและได้เข้าสุหนัตแล้ว แต่ยังละเมิดธรรมบัญญัตินั้น 28เพราะว่ายิวแท้ ไม่ใช่คนเป็นยิวแต่ภายนอกเท่านั้น และการเข้าสุหนัตแท้ก็ไม่ใช่การเข้าสุหนัตซึ่งปรากฏที่เนื้อหนังเท่านั้น 29คนเป็นยิวแท้ คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้าสุหนัตแท้นั้นเป็นเรื่องของจิตใจ ตามพระวิญญาณไม่ใช่ตามตัวบทบัญญัติ คนอย่างนั้นไม่ได้รับการยกย่องจากมนุษย์ แต่ได้รับจากพระเจ้า

โรม 3

 1ถ้าเช่นนั้นพวกยิวจะได้เปรียบคนอื่นอย่างไร? และการเข้าสุหนัตนั้นจะมีประโยชน์อะไร? 2มีประโยชน์ทุกอย่าง ประการแรก พวกยิวได้รับมอบให้รักษาพระดำรัสของพระเจ้า 3ถึงมีบางคนไม่ซื่อสัตย์ ความไม่ซื่อสัตย์ของเขานั้น จะทำให้ความซื่อสัตย์ของพระเจ้าเป็นโมฆะหรือ? 4ไม่เลย ถึงแม้มนุษย์ทุกคนจะโกหก ก็ขอให้พระเจ้าทรงสัตย์จริงเถิด ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า

“เพื่อพระองค์จะทรงชอบธรรมในพระวจนะของพระองค์  และทรงมีชัยเมื่อพระองค์ทรงวินิจฉัย”

 5แต่ถ้าความชั่วร้ายของเราเป็นเหตุให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า เราจะว่าอย่างไร? จะว่าพระเจ้าทรงพระพิโรธโดยไม่ยุติธรรมอย่างนั้นหรือ? (ข้าพเจ้าพูดอย่างมนุษย์) 6เปล่าเลย เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะทรงพิพากษาโลกได้อย่างไร? 7แต่ถ้าสัจจะของพระเจ้าปรากฏมากยิ่งขึ้นเนื่องจากการมุสาของข้าพเจ้า จนทำให้พระองค์ได้รับเกียรติแล้ว ทำไมข้าพเจ้าต้องถูกพิพากษาว่าเป็นคนบาป? 8และทำไมเราจึงไม่ทำความชั่ว เพื่อความดีจะเกิดขึ้น? ตามที่มีบางคนดูหมิ่นและนินทาหาว่า เราได้กล่าวอย่างนั้น การลงโทษคนเช่นนั้นก็ยุติธรรมแล้ว

อรรถาธิบาย

ทำจิตใจให้อ่อนโยนต่อพระเจ้า

ไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้นภายนอก ถ้าเราไม่มี ‘จิตใจที่อ่อนโยน’ ตรงนี้อาจารย์เปาโลพิจารณาถึงความสำคัญของจิตใจ โดยอธิบายว่า เป็นสิ่งที่กำหนดเพื่อให้ชาวยิวซึ่งเป็นประชากรที่พระเจ้าเลือกสรรนั้นดำเนินในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับธรรมบัญญัติ พวกเขารู้พระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า (2:17–18) พวกเขาถูกกำหนดให้เป็น ‘ผู้จูงคนตาบอด เป็นความสว่างให้แก่คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืด เป็นผู้สอนคนโง่ เป็นครูสอนเด็ก’ (ข้อ 19–20)

การเข้าสุหนัตทางกายเป็นเครื่องหมายภายนอกและมองเห็นได้ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนท่าทีภายในจิตใจซึ่งมองไม่เห็นเปาโลโต้แย้งว่าพวกเขา (เช่นเดียวกับพวกเราทุกคน) ต่างล้มเหลวในการรักษากฎเกณฑ์ของพระเจ้า (ข้อ 21–27)

จากนั้นเปาโลจึงมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่สำคัญจริง ๆ ‘ท่านกลายเป็นชาวยิวโดยสิ่งที่ท่านเป็น นี่เป็นเครื่องหมายของพระเจ้าในหัวใจของท่าน ไม่ใช่มีดบนผิวหนังของท่านที่ทำให้เป็นชาวยิว และการยอมรับมาจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากบทบัญญัติ’ (ข้อ 29 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

สิ่งที่สำคัญสำหรับพระเจ้า คือ จิตใจ ทุกคนที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในใจจะได้รับมรดกเช่นเดียวกับชาวยิวในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม นี่รวมถึงคริสเตียนแท้ทุกคนด้วย

นี่หมายความว่าสิ่งที่ชาวยิวเคยได้รับนั้นไม่มีคุณค่าใด ๆใช่หรือไม่? ไม่ใช่ ท่านชี้ให้เห็นว่าการเป็นชาวยิวมีประโยชน์อย่างมาก ตัวอย่างเช่น “ได้รับมอบให้รักษาพระดำรัสของพระเจ้า” (3:2) ช่างเป็นสิทธิพิเศษที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก! อย่างไรก็ตาม ตอนนี้คุณไม่เพียงแต่มีพระวจนะของพระเจ้าในพระคัมภีร์เท่านั้น คุณยังมีพระวจนะของพระเยซูและพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ทั้งหมดที่เหลือด้วย คุณได้เปรียบยิ่งกว่า

ต่อมาในพระธรรมโรม เปาโลอธิบายเรื่องนี้ให้ยาวขึ้น (โรม 9–11) ในขณะเดียวกัน ก็มีการกล่าวถึงอีกเรื่องในการที่จะจัดการกับข้อโต้แย้งที่ฝ่ายตรงข้ามมีเพื่อต่อต้านตน (3:3–8) ทั้งยังเน้นย้ำถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าอีกครั้ง แม้ว่าเราจะไม่เชื่อ พระเจ้ายังคงสัตย์ซื่อต่อเรา มันจะเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลหากเราจะใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้โดยการทำความชั่ว ความสัตย์ซื่อของพระเจ้าจะหนุนใจเราให้สัตย์ซื่อต่อพระองค์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดเติมเต็มหัวใจของข้าพระองค์ในวันนี้ด้วยพระวิญญาณของพระองค์ ด้วยความรักและความเมตตาต่อทุกคนที่ข้าพระองค์พบเจอ ขอบพระคุณที่พระองค์ประทานความไว้วางใจให้เราด้วยพระคำของพระองค์เอง โปรดช่วยข้าพระองค์ให้สัตย์ซื่อต่อพระองค์ในวันนี้
พันธสัญญาเดิม

อาโมส 1:1-2:16

 1ถ้อยคำของอาโมสซึ่งเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้เลี้ยงแกะแห่งเมืองเทโคอา ซึ่งท่านได้เห็นเกี่ยวกับอิสราเอล ก่อนแผ่นดินไหว 2 ปี ในรัชกาลอุสซียาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ และในรัชกาลเยโรโบอัมพระราชโอรสของโยอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอล

การพิพากษาลงโทษประเทศเพื่อนบ้านของอิสราเอล

2ท่านกล่าวว่า
 “พระยาห์เวห์เปล่งพระสิงหนาทเปล่งเสียงดุจเสียงคำรามของสิงโตจากศิโยน
และเปล่งพระสุรเสียงของพระองค์จากเยรูซาเล็ม
 ลานหญ้าของผู้เลี้ยงแกะแห้งเฉา
 และยอดภูเขาคารเมลก็เหี่ยวแห้ง”
3พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
 “เพราะการละเมิดของเมืองดามัสกัสครั้งแล้วครั้งเล่าครั้งแล้วครั้งเล่า เราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์
เพราะว่าพวกเขาได้นวดกิเลอาด
 ด้วยเลื่อนเหล็กสำหรับนวดข้าว
4ดังนั้น เราจะส่งไฟมาบนเรือนของฮาซาเอล
 และไฟนั้นจะกินบรรดาป้อมของเบนฮาดัด
5เราจะหักดาลประตูเมืองดามัสกัส
 และตัดชาวเมืองออกเสียจากหุบเขาอาเวน
 และผู้นั้นที่ถือคทาจากเบธเอเดน
และประชาชนซีเรียจะต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยยังเมืองคีร์”
 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
6พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
 “เพราะการละเมิดของเมืองกาซาครั้งแล้วครั้งเล่า เราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์
เพราะพวกเขากวาดประชาชนทั้งหมดไปเป็นเชลย
 เพื่อจะมอบให้แก่เอโดม
7ดังนั้น เราจะส่งไฟมาบนกำแพงเมืองกาซา
 และไฟจะกินบรรดาป้อมของเมืองนั้นเสีย
8เราจะตัดชาวเมืองออกเสียจากอัชโดด
 กับผู้นั้นที่ถือคทาออกเสียจากเมืองอัชเคโลน
เราจะหันมือของเรากลับสู้เมืองเอโครน
 ชาวฟีลิสเตียที่เหลืออยู่จะพินาศ”
 พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ
9พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
 “เพราะการละเมิดของเมืองไทระครั้งแล้วครั้งเล่า เราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์
เพราะพวกเขาได้มอบประชาชนทั้งหมดให้แก่เอโดม
 และไม่ได้ระลึกถึงพันธสัญญาแห่งภราดรภาพ
10ดังนั้น เราจะส่งไฟมาบนกำแพงเมืองไทระ
 และไฟจะกินบรรดาป้อมของเมืองนั้นเสีย”
11พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
 “เพราะการละเมิดของเอโดม ครั้งแล้วครั้งเล่า
เราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์
 เพราะเขาได้ไล่ตามน้องของเขาด้วยดาบ
และสลัดความสงสารทิ้งเสียสิ้น
 ความโกรธของเขาบั่นทอนอยู่ตลอดกาล
 และความพิโรธของเขาก็มีอยู่เป็นนิตย์
12ดังนั้น เราจะส่งไฟมาบนเมืองเทมาน
 และไฟนั้นจะกินบรรดาป้อมของเมืองโบสราห์”
13พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
 “เพราะการละเมิดของคนอัมโมนครั้งแล้วครั้งเล่า
เราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์
 เพราะว่าพวกเขาได้ผ่าท้องหญิงมีครรภ์ในกิเลอาด
 เพื่อจะขยายอาณาเขตของตน
14ดังนั้น เราจะก่อไฟขึ้นที่กำแพงเมืองรับบาห์
 และไฟจะกินบรรดาป้อมของเมืองนั้นเสีย
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องในวันทำศึก
 ท่ามกลางพายุในวันมีพายุหมุน
15กษัตริย์ของเขาทั้งหลายจะตกไปเป็นเชลย
 ทั้งตัวกษัตริย์และพวกเจ้านายด้วย”
 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ

อาโมส 2

1พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
 “เพราะการละเมิดของโมอับ ครั้งแล้วครั้งเล่าครั้งแล้วครั้งเล่า
เราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์
 เพราะเขาได้เผากระดูกของกษัตริย์เอโดมให้เป็นปูน
2ดังนั้น เราจะส่งไฟมาบนโมอับ
 และไฟนั้นจะกินบรรดาป้อมของเมืองเคริโอทเสีย
และโมอับจะตายท่ามกลางเสียงอึงคะนึง
 ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและเสียงเขาสัตว์
3เราจะตัดผู้ครอบครองออกเสียจากท่ามกลางเมืองนั้น
 และจะฆ่าบรรดาเจ้านายของเมืองนั้นพร้อมกับผู้ครอบครองเสีย”
 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
4พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
 “เพราะการละเมิดของยูดาห์ครั้งแล้วครั้งเล่า
เราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์
 เพราะว่าพวกเขาปฏิเสธธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์
และไม่ได้รักษากฎเกณฑ์ของพระองค์
 และบรรดาพระเท็จของพวกเขาได้พาให้หลงเจิ่นไป
 ตามอย่างที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้ติดตามมาแล้ว
5ดังนั้น เราจะส่งไฟมาบนยูดาห์
 และไฟนั้นจะกินบรรดาป้อมของกรุงเยรูซาเล็มเสีย”
 การพิพากษาลงโทษอิสราเอล
6พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
 “เพราะการละเมิดของอิสราเอล ครั้งแล้วครั้งเล่า
เราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์
 เพราะพวกเขาขายคนชอบธรรมเอาเงิน
 และขายคนขัดสนเอารองเท้าคู่เดียว
7เขาเหยียบย่ำศีรษะของคนจนลงไปคลุกฝุ่นที่พื้นดิน
 และผลักคนทุกข์ใจออกเสียจากทางเดินของเขา
ทั้งพ่อทั้งลูกเข้าหาหญิงสาวคนเดียวกัน
 นามบริสุทธิ์ของเราจึงเป็นมลทิน
8พวกเขานอนข้างแท่นบูชาทุกแท่น
 บนเสื้อผ้าที่ยึดมาเป็นประกัน
และในนิเวศแห่งพระเจ้าของเขา
 มีการดื่มเหล้าองุ่นซึ่งเอามาจากคนที่พวกเขาปรับ
9“เราเองได้ทำลายล้างคนอาโมไรต์ตรงหน้าพวกเขา
 แม้พวกนั้นจะมีส่วนสูงอย่างต้นสนสีดาร์
และแข็งแรงอย่างกับต้นโอ๊ก
 เราทำลายผลที่อยู่ด้านบน
 และรากที่อยู่ด้านล่างของเขาเสีย
10เราเองได้นำพวกเจ้าขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์
 และนำเจ้าถึง 40 ปีในถิ่นทุรกันดาร
 เพื่อพวกเจ้าจะได้กรรมสิทธิ์ที่ดินของคนอาโมไรต์
11เราได้ตั้งบุตรชายบางคนของพวกเจ้าให้เป็นผู้เผยพระวจนะ
 และได้ตั้งชายหนุ่มบางคนให้เป็นพวกนาศีร์
โอ คนอิสราเอลเอ๋ย ไม่เป็นความจริงดังนี้หรือ?
 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
12“แต่เจ้าทั้งหลายได้ทำให้พวกนาศีร์ดื่มเหล้าองุ่น
 และบัญชาพวกผู้เผยพระวจนะ
 ว่า ‘เจ้าอย่าเผยพระวจนะเลย’ 13“นี่แน่ะ เราจะกดเจ้าลงไว้ในที่ของเจ้า
 เหมือนเกวียนที่เต็มด้วยฟ่อนข้าวกดยัดลง
14ผู้ที่รวดเร็วก็จะหนีไม่ทัน
 ผู้ที่แข็งแรงจะหมดกำลัง  ผู้ที่เก่งกล้าจะช่วยชีวิตของตนก็ไม่ได้
15ผู้ที่ถือคันธนูจะไม่ยืนยงอยู่
 ผู้ที่วิ่งเร็วจะช่วยตัวเองไม่ได้  หรือผู้ที่ขี่ม้าก็ช่วยชีวิตของตนไม่ได้เหมือนกัน 16แม้แต่ผู้ที่มีใจห้าวหาญในหมู่ผู้ที่เก่งกล้า
 ในวันนั้นจะหนีไปแต่ตัวล่อนจ้อน”
 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ

อรรถาธิบาย

ให้เท้าของคุณแข็งกระด้างเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้และคนขัดสน

จิตใจที่อ่อนโยนต้องนำไปสู่เท้าที่แข็งกระด้าง โดยประชากรของพระเจ้าพร้อมที่จะกระทำการแทนกลุ่มคนยากจนและเปราะบาง เพื่อต่อสู้กับความอยุติธรรมและยืนหยัดเพื่อผู้ถูกกดขี่ข่มเหง

นี่เป็นช่วงเวลา (760–750 ปีก่อนคริสตกาล) แห่งความเจริญรุ่งเรืองอันยิ่งใหญ่สำหรับอิสราเอลและยูดาห์ แต่ความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุไม่ใช่เครื่องหมายแห่งพระพรของพระเจ้าเสมอไป ในเวลานี้มันส่งผลให้เกิดความเฉยชา การทุจริต การผิดศีลธรรม และความอยุติธรรมอย่างร้ายแรง

อาโมสเป็นผู้เผยพระวจนะ แต่เขาไม่ใช่ปุโรหิตหรือผู้รับใช้ที่ได้รับแต่งตั้ง เขาอยู่ในที่ซึ่งตนเองทำงาน นั่นคือ การเป็นผู้เลี้ยงแกะ ซึ่งดูไม่น่าประทับใจ เขาไม่มีเงินทอง อำนาจ และตำแหน่ง แต่เป็นผู้ปกป้องคนจนที่ถูกกดขี่ข่มเหงและเป็นผู้ฟ้องผิดพวกคนร่ำรวยที่มีอภิสิทธิ์ซึ่งใช้พระนามของพระเจ้าเพื่อทำให้ความอยุติธรรมและการกดขี่นั้นถูกต้องตามกฎหมาย

เช่นเดียวกับอัครสาวกเปาโล อาโมสประกาศการพิพากษาของพระเจ้าทั้งแก่ผู้ที่ไม่เชื่อและผู้เชื่อ

เขากล่าวเริ่มต้นถึงผู้ไม่เชื่อที่ ‘ทำบาปนอกเหนือจากธรรมบัญญัติ’ เพื่อนบ้านของอิสราเอลได้ทำบาปร้ายแรง พวกเขาถูกประณามเนื่องจากความโหดร้ายอันรุนแรงและการทรมานที่น่าสยดสยอง (1:3) สำหรับการเป็นทาสและการค้าทาส (ข้อ 6) สำหรับการ ‘สลัดความสงสารทิ้งเสียสิ้น’ (ข้อ 11) สำหรับการผ่าท้องหญิงมีครรภ์ (ข้อ 13) และ สำหรับการดูหมิ่นคนตาย (2:1) อาโมสพูดถึงพระพิโรธของพระเจ้าต่อความบาปที่เลวร้าย (1:3, 6, 9, 11, 13)

อาโมสและเปาโล (โรม 1:18–20) ต่างก็โต้แย้งในเรื่อง ‘กฎทางธรรมชาติ’ แม้สิ่งเหล่านี้จะไม่มีกฎเกณฑ์เป็นลายลักษณ์อักษรของพระเจ้า แต่ก็มี ‘กฎทางธรรมชาติ’ ซึ่ง ‘จารึกอยู่ในจิตใจของเขา’ (2:15) พวกเขารู้ว่าบางสิ่งผิดปกติ นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผู้นำนาซีถูกประณามในการพิจารณาคดีที่นูเรมเบิร์กหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

อาโมสเช่นเดียวกับเปาโล (2:12) ได้กล่าวต่อไปว่าประชากรของพระเจ้าที่มีกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรจะถูกตัดสินด้วยมาตรฐานที่เข้มงวดยิ่งขึ้นไปอีก อาโมสเปลี่ยนจากการพิพากษาของคนต่างชาติเป็นการพิพากษาของยูดาห์และอิสราเอลเพราะ ‘พวกเขาปฏิเสธการเปิดเผยของพระเจ้า ปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งของเรา’ (อาโมส 2:4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แม้ว่าพระเจ้าได้กระทำการแทนพวกเขา ‘เราอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขากลับล้มเหลวที่จะรักษากฎเกณฑ์ของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นที่มีความสำคัญต่อพระเจ้า นั่นคือท่าทีของพวกเขาที่มีต่อคนยากจนและขัดสน หัวใจของพวกเขานั้นแข็งกระด้าง ‘ชีวิตของคนสำหรับพวกเขาเป็นเพียงแค่สิ่งของเท่านั้น เป็นสิ่งที่จะทำเงินให้พวกเขา พวกเขาจะขายคนจนเพื่อซื้อรองเท้าคู่เดียว พวกเขาจะขายยายของตัวเอง! พวกเขาขยี้คนไร้เงินให้เป็นผงดิน ผลักคนโชคร้ายลงไปในคูน้ำ’ ( ข้อ 6ค–7ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขายังมีความผิดในการค้าทาสและความบาปทางเพศ (ข้อ 7ค)

ขณะที่ทั้งหมดนี้กำลังดำเนินอยู่ ‘สิ่งที่พวกเขาเคยรีดไถจากคนจนก็กองอยู่ที่ศาลของพระเจ้าของพวกเขา ในขณะที่พวกเขานั่งดื่มไวน์ที่พวกเขาได้หลอกล่อจากเหยื่อของพวกเขา’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ความบาปของประชากรของพระเจ้าไม่ได้น่ากลัวเท่ากับบาปของที่ไม่เชื่อ แต่การตัดสินลงโทษพวกเขานั้นก็รุนแรงเช่นกัน (ข้อ 13,16) เพราะพระเจ้าได้อวยพรพวกเขาอย่างมากมาย (ข้อ 10–11) เราไม่ควรแสดงความยินดีกับตัวเองว่าบาปของเราน้อยกว่าคนอื่น ความบาปของเราอาจไม่ชัดเจนนัก แต่อาจยิ่งใหญ่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการให้อภัยและพระคุณที่เราได้รับผ่านทางพระเยซู

คำอธิษฐาน

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดประทานหัวใจที่อ่อนโยนแห่งความเมตตาและความรักต่อปัญหาความยากจนและความอยุติธรรมในโลกของเรา และเท้าที่แข็งกระด้างและความกล้าหาญที่จะออกไปทำบางสิ่งให้ดีขึ้น

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สุภาษิต 17:6

‘พ่อแม่คือความภาคภูมิใจของลูก’ เราหวังให้เป็นเช่นนั้น!

สุภาษิต 17:14 ‘การเริ่มต้นวิวาทก็เหมือนปล่อยน้ำให้ไหลฉะนั้นจงหยุดเสียก่อนเกิดการพิพาท’

เป็นสิ่งทดลองใจเมื่อมีการทะเลาะกันเพื่อให้มีคำพูดสุดท้าย ความขัดแย้งสามารถบานปลายได้ง่ายดาย สุภาษิตนี้กล่าวว่า ทิ้งเรื่องนั้นไว้ ปล่อยมันไป และเดินหน้าต่อไป

ข้อพระคำประจำวัน

สุภาษิต 17:9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก New Living Translation โดยผู้แปล

‘ผู้ให้อภัยการละเมิดก็มุ่งจะสร้างมิตรภาพ
 แต่คนที่ชอบพูดย้ำความผิดจะทำให้เพื่อนสนิทแตกคอกัน’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม