คุณลักษณะเจ็ดประการของผู้นำที่ยิ่งใหญ่
เกริ่นนำ
ผลสำรวจออนไลน์ได้แสดงให้เราเห็นคุณสมบัติทั้งหมด ที่ผู้คนคาดหวังจากศิษยาภิบาลที่ ‘สมบูรณ์แบบ’:
พวกเขาต้องเทศนาสิบสองนาทีพอดี
พวกเขาอายุยี่สิบแปดปี แต่เทศนามาแล้วสามสิบปี
พวกเขาทำงานตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงเที่ยงคืนทุกวันแต่ยังต้องทำหน้าที่เฝ้ายาม
พวกเขาประณามหรือต่อต้านความบาป แต่ไม่เคยต้องทำให้ใครเสียใจหรือผิดหวัง
พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าดี ๆ ซื้อหนังสือดี ๆ อ่าน ขับรถสภาพที่ดี แจกจ่ายแก่คนยากจนด้วยใจกว้างขวางและมีเงินเดือนต่ำ
พวกเขาโทรหาครอบครัวที่เป็นสมาชิกคริสตจักรสิบห้าสายต่อวัน ออกเยี่ยมเยียนคนป่วยที่บ้านและโรงพยาบาล ใช้เวลาทั้งหมดเพื่อประกาศกับคนที่ไม่ได้ไปคริสตจักร และอยู่ที่สำนักงานคริสตจักรเสมอเมื่อมีใครต้องการตัว
พวกเขาต้องมีรูปร่างหน้าตาดีมาก ๆ!
แน่นอนว่า เราต่างทราบดีว่าไม่มี ‘ศิษยาภิบาลที่สมบูรณ์แบบ’ เช่นนั้นอยู่ อย่างไรก็ดี เมื่อผมรู้สึกหวาดกลัวกับความคาดหวังที่ผู้คนมีต่อผู้นำคริสตจักรของพวกเขา ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2004 (เมื่อผมถูกขอให้รับหน้าที่ ผู้รับใช้ที่คริสตจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตันในลอนดอน) ผมรู้สึกทั้งตื่นเต้นและท่วมท้นจากความรับผิดชอบที่ได้รับ ในวันนั้น ผมเขียนคำอธิษฐานที่มุมหนึ่งในพระคัมภีร์ในหนึ่งปีของผมว่า ขอให้ผมเป็นเช่นดาวิด คือเลี้ยงดูผู้คนด้วยจิตใจซื่อสัตย์และนำพวกเขาด้วยมืออันเชี่ยวชาญ (สดุดี 78:72) นี่ยังคงเป็นคำอธิษฐานของผมมาจนถึงทุกวันนี้
ในเนื้อหาเมื่อวานนี้ เราเห็นวิธีที่เปาโลกล่าวกับผู้ปกรองชาวเอเฟซัส 'จงเฝ้าระวังทั้งตัวพวกท่านเองและฝูงแกะซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตั้งพวกท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล และให้เลี้ยงดูคริสตจักรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระบุตรของพระองค์’ (กิจการ 20:28) สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสกระตุ้นเตือนผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณของคริสตจักรให้ ‘เป็นผู้เลี้ยงที่ดำเนินชีวิตใกล้ชิดกับแกะจนได้กลิ่นของแกะ’
หน้าที่ของผู้ดูแลคือการเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้า ทำตามแบบอย่างพระเยซู ผู้ได้ตรัสว่า ‘เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี’ (ยอห์น 10:11) เนื้อหาสำหรับวันนี้ เราจะมาดูคุณลักษณะเจ็ดประการของผู้เลี้ยงที่ดีซึ่งเห็นได้ในผู้นำ คริสเตียนที่ยิ่งใหญ่ทุกคน
สดุดี 78: 56-72
56แต่เขาทั้งหลายยังทดลองและกบฏต่อพระเจ้าผู้สูงสุด
มิได้เชื่อฟังพระโอวาทของพระองค์
57กลับหันไปเสียและประพฤติทรยศอย่างบรรพบุรุษของพวกเขา
เขาบิดไปเหมือนคันธนูที่ไว้ใจไม่ได้
58เพราะพวกเขายั่วเย้าพระองค์ให้กริ้วด้วยเรื่องปูชนียสถานสูงของเขา
ได้ทำให้พระองค์ทรงหวงแหนเขาด้วยเรื่องรูปเคารพแกะสลักของเขา
59เมื่อพระเจ้าทรงสดับแล้ว พระองค์ก็ทรงเกรี้ยวกราด
และทรงปฏิเสธอิสราเอลอย่างเด็ดขาด
60พระองค์ทรงละที่ประทับในเมืองชิโลห์
คือพลับพลาที่พระองค์ทรงตั้งไว้ท่ามกลางมนุษย์
61และทรงให้ฤทธานุภาพของพระองค์แก่การเป็นเชลย
และชนอันเป็นพระสิริของพระองค์แก่มือของคู่อริ
62พระองค์ทรงมอบประชากรของพระองค์แก่ดาบ
และทรงเกรี้ยวกราดต่อมรดกของพระองค์
63หนุ่มๆ ของเขาถูกไฟเผาผลาญ
สาวๆ ของเขาจึงไม่มีเพลงแต่งงาน
64ปุโรหิตของเขาล้มลงด้วยดาบ
และหญิงม่ายของเขาไม่อาจร้องไห้ไว้ทุกข์
65แล้วองค์เจ้านายทรงตื่นอย่างตื่นบรรทม
อย่างนักรบโห่ร้องเพราะฤทธิ์เหล้าองุ่น
66และพระองค์ทรงตีคู่อริของพระองค์ให้ถอยหลัง
และให้เขาถูกเยาะเย้ยเป็นนิตย์
67พระองค์ทรงปฏิเสธเต็นท์ของโยเซฟ
พระองค์มิได้ทรงเลือกเผ่าเอฟราอิม
68แต่พระองค์ทรงเลือกเผ่ายูดาห์
ภูเขาศิโยนซึ่งพระองค์ทรงรัก
69พระองค์ทรงสร้างสถานนมัสการของพระองค์ อย่างกับฟ้าสวรรค์สูง
อย่างแผ่นดินโลกซึ่งพระองค์ทรงตั้งไว้เป็นนิตย์
70พระองค์ทรงเลือกดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
ทรงพาท่านมาจากคอกแกะ
71พระองค์ทรงพาท่านมาจากการดูแลแม่แกะที่มีลูกอ่อน
ให้เป็นผู้เลี้ยงดูยาโคบประชากรของพระองค์ดุจเลี้ยงแกะ
คืออิสราเอลมรดกของพระองค์
72ท่านจึงเลี้ยงดูพวกเขาด้วยใจเที่ยงธรรม
และนำเขาไปด้วยมือช่ำชอง
อรรถาธิบาย
ความสัตย์ซื่อและทักษะ
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่นั้นหายาก ในปัจจุบัน เมื่อเรามองหาทั่วโลก มีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่มีการนำที่ดี
เมื่อผู้เขียนพระธรรมสดุดีได้มองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของชาวฮีบรู ก็เห็นว่า ไม่ได้มีผู้นำที่ดีมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของการกบฏต่อพระเจ้า ‘คนทรยศ หักหลัง คดโกง’ (ข้อ 57, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระเจ้าทรงมองหาชายคนหนึ่งที่จะทำตามพระทัยของพระองค์ พระเจ้านำผู้คนดั่งผู้เลี้ยงแกะ ‘จากนั้น พระองค์ได้นำประชากรของพระองค์ให้ออกไปเหมือนดั่งนำแกะ ทรงนำฝูงแกะของพระองค์ไปอย่างปลอดภัยเมื่อผ่านถิ่นทุรกันดาร พระองค์ดูแลพวกเขาอย่างดี พวกเขาไม่ต้องหวาดกลัวสิ่งใด ๆ’ (ข้อ 52-53, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ท้ายที่สุด พระองค์พบดาวิด ซึ่งเป็นแบบอย่างที่หายากในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมของการเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ (แม้จะไม่ใช่ผู้นำที่สมบูรณ์แบบ) ‘พระองค์ทรงเลือกดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์...ให้เป็นผู้เลี้ยงดูยาโคบประชากรของพระองค์ดุจเลี้ยงแกะ คืออิสราเอลมรดกของพระองค์ ท่านจึงเลี้ยงดูพวกเขาด้วยใจเที่ยงธรรมและนำเขาไปด้วยมือช่ำชอง’ (ข้อ 70,72)
ดาวิดมีประสบการณ์ในการเป็นผู้เลี้ยงแกะจริง ๆ พระเจ้า ‘ทรงพาท่านมาจากคอกแกะ’ (ข้อ 70) ท่านใช้ทักษะเหล่านี้เพื่อเป็นผู้เลี้ยง นี่เป็นภาพเปรียบเทียบของการเป็นผู้นำและผู้ดูแลอารักขาประชากรของพระเจ้า:
1. ความซื่อสัตย์ในจิตใจ
‘ความซื่อสัตย์’ ตรงข้ามกับ ‘การเสแสร้ง’ คำว่าซื่อสัตย์มาจากภาษาลาตินคือ integer (อินทิเจอะ) ความหมายคือ ‘สมบูรณ์’ คำนี้อธิบายถึงชีวิตที่ไม่มีการแบ่งแยก ‘ความสมบูรณ์เติมเต็ม’ ที่มาจากคุณภาพต่าง ๆ เช่น ลักษณะของความจริงใจและสม่ำเสมอ นี่หมายถึงการกระทำที่สอดคล้องกับค่านิยม ความเชื่อและหลักการที่เรากล่าวอ้างว่าเรายึดถือ
การเลี้ยงดูประชากรของพระเจ้านั้นจะต้องกระทำด้วยความซื่อสัตย์ของจิตใจ นี่คือคุณลักษณะที่สำคัญที่สุด ประชาชนกล่าวถึงพระเยซูว่า ‘เราทราบว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์’ (มาระโก 12:14) ผู้นำหลายคนที่สะท้อนให้เราเห็นความสำคัญของความชื่อสัตย์ในบทบาทหน้าที่ของพวกเขา:
ไอเซนฮาวร์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และผู้นำสูงสุดของกองกำลังแอลลี่ฟอร์ซ ในยุโรปตะวันตกช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ได้กล่าวไว้ว่า ‘คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับการเป็นผู้นำ คือ ความซื่อสัตย์โดยที่ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ หากปราศจากสิ่งนี้ จะไม่สามารถเกิดความสำเร็จขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นในสนามฟุตบอล ในกองทัพ หรือในสำนักงาน’
2. มือที่เชี่ยวชาญ
ดาวิดคือผู้เลี้ยงที่มีทักษะความสามารถ เขาได้เรียนรู้ที่จะปกป้องฝูงแกะด้วยเชือกสลิง และออกไปเพื่อนำประชาชนชาวอิสราเอลด้วยทักษะอันดีเยี่ยม มีทักษะความเป็นผู้นำที่จำเป็นต้องเรียนรู้
เราเรียนรู้ทักษะเหล่านี้ผ่านการเฝ้าดูและการทำตามแบบอย่างที่ดี การฟังสติปัญญาของผู้อื่น การถามคำถามผู้ที่เราชื่นชม การเรียนรู้ร่วมกับเพื่อนร่วมงาน และเหนือสิ่งอื่นใด คือการฝึกฝน
คำอธิษฐาน
กิจการอัครทูต 21:1-26
เปาโลเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็ม
1เมื่อเราลาพวกเขาแล้วก็ลงเรือแล่นตรงไปยังเกาะโขส พออีกวันหนึ่งมาถึงเกาะโรดส์ และจากที่นั่นมาถึงเมืองปาทารา 2เมื่อเราพบเรือลำหนึ่งกำลังจะไปเมืองฟีนิเซีย จึงลงเรือลำนั้นแล่นต่อไป 3หลังจากมองเห็นเกาะไซปรัสแล้ว เราแล่นผ่านทางด้านทิศใต้ของเกาะตรงไปยังแคว้นซีเรีย แล้วจอดเรือที่ท่าเมืองไทระ เพราะจะเอาของบรรทุกขึ้นท่าที่นั่น 4เมื่อหาพวกสาวกพบแล้ว เราจึงพักอยู่ที่นั่นเจ็ดวัน บรรดาสาวกเตือนเปาโลโดยพระวิญญาณไม่ให้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 5แต่เมื่อครบเจ็ดวันแล้วเราก็ลาไป บรรดาสาวกพร้อมกับภรรยาและบุตรมาส่งเราออกจากเมือง แล้วเราคุกเข่าลงอธิษฐานที่ชายหาด 6และคำนับลาซึ่งกันและกัน จากนั้นเราลงเรือ และพวกเขาก็กลับบ้านไป
7เมื่อเราแล่นเรือจากเมืองไทระถึงเมืองทอเลเมอิสแล้ว เราจึงไปคำนับพี่น้องและพักอยู่กับเขาทั้งหลายวันหนึ่ง 8พอวันรุ่งขึ้นเราก็จากไปและมาที่เมืองซีซารียา เราเข้าไปในบ้านของฟีลิป ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเจ็ดคนนั้น และเราพักอยู่กับท่าน 9ฟีลิปมีลูกสาวสี่คนที่ยังไม่ได้แต่งงานและเป็นผู้เผยพระวจนะ 10เมื่อเราอยู่ที่นั่นหลายวันแล้ว มีชายผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งชื่ออากาบัสลงมาจากแคว้นยูเดีย 11เขามาหาเราและเอาเข็มขัดของเปาโลผูกมือและเท้าของตนกล่าวว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสดังนี้ว่า ‘พวกยิวในกรุงเยรูซาเล็มจะผูกมัดคนที่เป็นเจ้าของเข็มขัดแบบเดียวกันนี้ และส่งมอบไว้ในมือของพวกต่างชาติ’ ” 12เมื่อเราได้ยินอย่างนั้น เรากับคนที่นั่นจึงอ้อนวอนเปาโลไม่ให้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 13เปาโลตอบว่า “ทำไมพวกท่านถึงร้องไห้และทำให้ข้าพเจ้าช้ำใจ? เพราะว่าข้าพเจ้าไม่เพียงแต่พร้อมที่จะให้เขาผูกมัดเท่านั้น แต่ยังพร้อมจะตายในกรุงเยรูซาเล็มด้วย เพื่อเห็นแก่พระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า” 14เมื่อท่านไม่ยอมฟังคำเกลี้ยกล่อม เราจึงหยุดพูดและกล่าวว่า “ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระเจ้าเถิด”
15ต่อมาเราเตรียมพร้อมจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 16สาวกบางคนที่มาจากเมืองซีซารียาก็ไปกับเรา พวกเขานำเราไปหาสาวกเก่าแก่ชาวเกาะไซปรัสคนหนึ่งชื่อมนาสัน และให้เราอาศัยอยู่กับคนนั้น
เปาโลเยี่ยมยากอบ
17เมื่อเรามาถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว พวกพี่น้องก็ต้อนรับเราด้วยความยินดี 18วันรุ่งขึ้น เปาโลกับเราจึงเข้าไปหายากอบ และผู้ปกครองทุกคนก็อยู่ที่นั่นด้วย 19เมื่อเปาโลคำนับท่านเหล่านั้นแล้ว จึงเล่าเหตุการณ์ทั้งปวงตามลำดับ ซึ่งพระเจ้าทรงทำท่ามกลางบรรดาคนต่างชาติผ่านพันธกิจของท่าน 20เมื่อคนทั้งหลายได้ยินจึงสรรเสริญพระเจ้าแล้วเขาทั้งหลายกล่าวกับเปาโลว่า “พี่เอ๋ย ท่านเห็นหรือยังว่ามีพวกยิวสักกี่พันคนที่เชื่อถือ และพวกเขาทุกคนมีใจกระตือรือร้นในการถือธรรมบัญญัติ 21เขาทั้งหลายได้รับคำบอกเล่าเรื่องท่านว่า ท่านสั่งสอนพวกยิวทั้งหมดที่อยู่ในหมู่ชนต่างชาติให้ละทิ้งโมเสส และบอกว่าไม่ต้องให้บุตรของตนเข้าสุหนัตหรือประพฤติตามธรรมเนียมเก่า 22เรื่องนี้ควรจะทำอย่างไร? คนทั้งหลายคงจะทราบแล้วว่าท่านมา 23เพราะฉะนั้นจงทำตามสิ่งที่เราบอกท่าน คือเรามีสี่คนที่บนตัวไว้ 24ท่านจงพาคนเหล่านั้นไป ทำพิธีชำระตัวร่วมกับเขา และเสียเงินแทนเขาเพื่อให้เขาโกนศีรษะ คนทั้งหลายจะได้รู้ว่าสิ่งที่เขาได้ยินเกี่ยวกับท่านนั้นเป็นความเท็จ แต่ท่านเองเป็นผู้ยึดถือและปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ 25ส่วนพวกต่างชาติที่เชื่อนั้น เราเขียนจดหมายแจ้งการตัดสินใจของเราแล้วคือ ให้เขาทั้งหลายหลีกเลี่ยงจากการกินอาหารที่ถูกนำไปบูชารูปเคารพ จากการกินเลือด จากการกินเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และจากการล่วงประเวณี” 26เปาโลจึงพาสี่คนนั้นไป และวันรุ่งขึ้นก็ทำพิธีชำระตัวด้วยกันกับเขา แล้วจึงเข้าไปในพระวิหารประกาศกำหนดวันเสร็จสิ้นพิธีชำระ คือวันนำเครื่องบูชามาถวายเพื่อเขาเหล่านั้นทุกคน
อรรถาธิบาย
ความรัก การปรนนิบัติ และการไวต่อความรู้สึก
ผมชื่นชอบเมื่อผู้นำจากกว่า 100 ประเทศทั่วโลกที่ซึ่ง อัลฟ่า ดำเนินงานอยู่ได้มาร่วมกันที่งาน Alpha Global Week เพื่อการสอน ทำพันธกิจและหนุนใจ เมื่อผู้นำแต่ละคนรายงานถึง ‘เหตุการณ์ทั้งปวงตามลำดับ...พระเจ้าทรงทำท่ามกลางบรรดาคนต่างชาติผ่านพันธกิจของท่าน’ (21:19) ผมถูกย้ำเตือนด้วยพระธรรมตอนนี้
เราเห็นตรงนี้ว่า ‘เปาโลเล่าเรื่องราว รายละเอียดต่าง ๆ ของสิ่งที่พระเจ้าได้กระทำท่ามกลางผู้คนที่ไม่ใช่ชาวยิวผ่านพันธกิจของท่าน พวกเขาได้ฟังด้วยความยินดีและถวายเกียรติแด่พระเจ้า พวกเขามีเรื่องราวมาเล่าด้วยเช่นกัน “และได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ นั่นคือ ผู้คนหลายต่อหลายพันคนที่เป็นชาวยิวที่ยำเกรงพระเจ้าได้มาเป็นผู้เชื่อในพระเยซู!”’ (ข้อ 19-20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เราเห็นจากเมื่อวานนี้ที่อาจารย์เปาโลกล่าวกับผู้ปกครองชาวเอเฟซัส ‘จงเฝ้าระวังฝูงแกะ และให้เลี้ยงดูคริสตจักรของพระเจ้า’ (20:28) วันนี้ เราจะมาดูตัวอย่างทั้งหมดในเป็นการกระทำ
3. ความรัก
ความรักและการเป็นผู้นำเป็นสิ่งที่เดินคู่กัน ถ้าคุณรักผู้คน คุณจะเข้าใกล้พวกเขาเพียงพอที่จะทำอย่างที่สมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิสกล่าวไว้คือการได้กลิ่นแกะ อาจารย์เปาโลเป็นตัวอย่างของผู้เลี้ยงที่ดี ทุกที่ที่เขาไป เขาได้ไปพบกับเหล่าสาวก (21:4, 7) อธิษฐานกับพวกเขา (ข้อ 5)รักพวกเขามากจนกระทั่งเมื่อถึงเวลาต้องจากกัน จนต้องฉีกตัวเองออกจากพวกเขา (ข้อ 1)
ในความรักที่ท่านมีต่อพวกเขา อาจารย์เปาโลได้ตักเตือนเกี่ยวกับหมาป่าที่ชั่วร้าย (20:29) กระนั้น อาจารย์เปาโลก็รักพวกเขาโดยการหนุนใจและเสริมสร้างความเชื่อของพวกเขา ‘เมื่อเปาโลคำนับท่านเหล่านั้นแล้ว จึงเล่าเหตุการณ์ทั้งปวงตามลำดับ ซึ่งพระเจ้าทรงทำท่ามกลางบรรดาคนต่างชาติผ่านพันธกิจของท่าน’ (21:19)
4. การปรนนิบัติรับใช้
ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งชื่ออากาบัสได้เตือนอาจารย์เปาโลถึงสิ่งที่รอคอยอยู่ในเยรูซาเล็ม พวกเขาขอร้องไม่ให้อาจารย์เปาโลไปยังเยรูซาเล็ม แต่เปาโลตอบว่า ‘ทำไมพวกท่านถึงร้องไห้และทำให้ข้าพเจ้าช้ำใจ? เพราะว่าข้าพเจ้าไม่เพียงแต่พร้อมที่จะให้เขาผูกมัดเท่านั้น แต่ยังพร้อมจะตายในกรุงเยรูซาเล็มด้วย เพื่อเห็นแก่พระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า’ (ข้อ 13)
พระเยซูทรงวางแบบอย่างของการเป็นผู้นำที่ปรนนิบัติรับใช้ (มาระโก 10:45) อาจารย์เปาโลตั้งใจที่จะทำตามพระเยซู ‘ผู้เลี้ยงที่(เป็นผู้)สละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ’ (ยอห์น 10:11) อย่างที่ ออสวอลด์ แชมเบอร์ส ได้เขียนไว้ว่า ‘การเป็นผู้นำที่แท้จริงจะประสบความสำเร็จไม่ใช่ด้วยการทำให้ผู้คนเล็กลงด้วยการรับใช้คนใดคนหนึ่ง แต่โดยการทำให้ตัวของเรานั้นรับใช้ผู้อื่นอย่างไม่เห็นแก่ตนเอง’
5. การไวต่อความรู้สึก
เรามักจะนึกถึงแรงจูงใจในการบุกเบิกและวิธีเข้าถึงผู้คนที่กล้าหาญของเปาโล อย่างไรก็ตาม ท่านก็ยังได้แสดงให้เราเห็นถึงการไวต่อวัฒนธรรมของเยรูซาเล็ม ท่านชำระตัวเองและเพื่อนร่วมงานของท่าน ให้สอดคล้องกับกฎธรรมเนียม เพื่อจะไม่ให้มีสิ่งใดมาขัดขวางสิ่งที่พระเจ้ากำลังกระทำ (กิจการ 21:24-26)
คำอธิษฐาน
2 พงศ์กษัตริย์ 3:1-4:37
โยรัมทรงครองอิสราเอล
1โยรัมภาษาฮีบรูคือ เยโฮรัมพระราชโอรสของอาหับทรงครองอิสราเอลในกรุงสะมาเรีย ในปีที่ 18 ของรัชกาลเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ และทรงครองราชย์อยู่ 12 ปี 2โยรัมทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ แต่ไม่ทรงเหมือนพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์ พระองค์ทรงรื้อเสาศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัล ซึ่งพระราชบิดาของพระองค์ทรงทำไว้ 3แม้กระนั้น พระองค์ยังทรงเกาะติดอยู่กับบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ผู้ได้นำให้อิสราเอลทำบาปด้วย โยรัมไม่ได้ทรงหันจากบาปนั้น
สงครามกับโมอับ
4เมชาพระราชาแห่งโมอับทรงเป็นผู้เพาะพันธุ์แกะแปลได้อีกว่า ผู้เลี้ยงแกะ และพระองค์ต้องถวายลูกแกะ 100,000 ตัว และขนแกะผู้ 100,000 ตัวแก่พระราชาอิสราเอล 5ต่อมาเมื่ออาหับสิ้นพระชนม์แล้ว พระราชาแห่งโมอับก็กบฏต่อพระราชาแห่งอิสราเอล 6กษัตริย์โยรัมจึงทรงออกจากกรุงสะมาเรียในครั้งนั้น และทรงระดมพลคนอิสราเอลทั้งสิ้น 7พระองค์ทรงส่งสารไปยังเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์ว่า “พระราชาแห่งโมอับได้กบฏต่อข้าพเจ้า ท่านจะไปรบกับโมอับพร้อมกับข้าพเจ้าหรือไม่?” และพระองค์ตรัสตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไป ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนที่ท่านเป็น และประชาชนของข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนประชาชนของท่าน ม้าของข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนม้าของท่าน” 8แล้วตรัสต่อไปว่า “พวกเราจะยกขึ้นไปทางไหน?” โยรัมตรัสตอบว่า “ไปทางถิ่นทุรกันดารเอโดม”
9พระราชาแห่งอิสราเอลจึงเสด็จไปพร้อมกับพระราชาแห่งยูดาห์ และพระราชาแห่งเอโดม และเมื่อทั้งสามกษัตริย์เสด็จอ้อมไปได้เจ็ดวันแล้ว ก็หาน้ำให้กองทัพและให้สัตว์ที่มาด้วยไม่ได้ 10แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลจึงตรัสว่า “อนิจจาเอ๋ย พระยาห์เวห์ทรงเรียกสามกษัตริย์นี้มาเพื่อจะมอบไว้ในมือของโมอับ” 11แต่เยโฮชาฟัทตรัสว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ เพื่อเราจะให้เขาทูลถามพระยาห์เวห์หรือ?” แล้วข้าราชการคนหนึ่งของพระราชาอิสราเอลทูลว่า “เอลีชาบุตรชาฟัทอยู่ที่นี่ พ่ะย่ะค่ะ เขาเคยเป็นคนรับใช้ของเอลียาห์” 12และเยโฮชาฟัทตรัสว่า “พระวจนะของพระยาห์เวห์อยู่กับเขา” พระราชาแห่งอิสราเอล เยโฮชาฟัท และพระราชาแห่งเอโดมจึงเสด็จลงไปหาท่าน
13เอลีชาทูลพระราชาแห่งอิสราเอลว่า “ข้าพระบาทมีอะไรเกี่ยวข้องกับฝ่าพระบาทหรือ? เชิญเสด็จไปหาผู้เผยพระวจนะของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของฝ่าพระบาทเถิด” แต่พระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับท่านว่า “ไม่ไป เพราะพระยาห์เวห์ทรงเรียกกษัตริย์ทั้งสามนี้มาเพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ” 14แล้วเอลีชาทูลว่า “พระยาห์เวห์จอมทัพซึ่งข้าพระบาทปรนนิบัติ ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าข้าพระบาทไม่ได้เคารพนับถือเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์แล้ว ข้าพระบาทจะไม่มองหรือแลดูพระองค์เลย 15เวลานี้ ขอทรงนำผู้เล่นเครื่องสายมาให้ข้าพระบาทสักคนหนึ่ง” เมื่อผู้เล่นเครื่องสายบรรเลงแล้ว ฤทธานุภาพของพระยาห์เวห์ก็มาเหนือท่าน 16และท่านทูลว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ทำหุบเขานี้ให้เต็มไปด้วยสระ’ 17เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เจ้าทั้งหลายจะไม่เห็นลมหรือฝน แต่หุบเขานั้นจะเต็มไปด้วยน้ำ เพื่อเจ้าจะได้ดื่ม ทั้งเจ้าเอง ฝูงปศุสัตว์ของเจ้า และสัตว์ใช้งานของเจ้า’ 18เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และพระองค์จะทรงมอบคนโมอับไว้ในมือของพวกเจ้าด้วย 19พวกเจ้าจะโจมตีเมืองที่มีป้อมทุกเมือง และเมืองเอกทุกเมือง และจะโค่นต้นไม้ดีทุกต้น และจะอุดน้ำพุทุกแห่งเสีย และทำไร่นาดีทุกแปลงให้เสียไปด้วยหิน” 20ต่อมาพอรุ่งเช้าประมาณเวลาถวายเครื่องบูชา นี่แน่ะ มีน้ำมาทางเมืองเอโดมจนแผ่นดินเต็มไปด้วยน้ำ
21และเมื่อคนโมอับทั้งหมดได้ยินว่าบรรดาพระราชายกขึ้นมารบกับตน พวกเขาก็รวบรวมทุกคนที่สวมเกราะได้ทั้งหนุ่มและแก่ และให้ไปตั้งรับที่พรมแดน 22เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นตอนเช้าตรู่ ดวงอาทิตย์ส่องแสงอยู่บนน้ำ คนโมอับเห็นน้ำที่อยู่ตรงข้ามกับตนแดงเหมือนเลือด 23พวกเขาพูดว่า “นี่เป็นเลือด บรรดาพระราชาสู้รบกันแน่ๆ และฆ่ากันเอง โมอับเอ๋ย เวลานี้มาเถิด มาริบเอาข้าวของของเขา” 24แต่เมื่อคนโมอับมาถึงค่ายอิสราเอล คนอิสราเอลก็ลุกขึ้นต่อสู้กับพวกเขาจนเขาทั้งหลายหนีไป แล้วคนอิสราเอลรุกหน้าเข้าไปในแผ่นดินได้ฆ่าฟันคนโมอับ 25พวกเขาได้ทลายเมืองต่างๆ และแต่ละคนโยนหินเข้าไปในไร่นาที่ดีทุกแปลง เขาอุดน้ำพุเสียทุกแห่ง และโค่นต้นไม้ดีๆ เสียหมด จนที่สุดก็เหลือแต่เมืองคีร์หะเรเซทเท่านั้นความหมายในภาษาฮีบรูไม่ชัดเจน อาจแปลได้อีกว่า จนที่สุดเหลือแต่หินในคีร์หะเรเซทเท่านั้น บรรดานักสลิงได้ล้อมเมืองไว้และโจมตีได้ 26เมื่อพระราชาแห่งโมอับทรงเห็นว่าจะสู้ไม่ได้ ก็ทรงพาพลดาบ 700 คนตีฝ่าออกมาทางด้านพระราชาแห่งเอโดม แต่ออกมาไม่ได้ 27แล้วพระองค์ทรงนำพระราชโอรสหัวปี ผู้ควรจะขึ้นครองราชย์แทนนั้น ถวายเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวที่บนกำแพง และมีพระพิโรธใหญ่ยิ่งต่อพวกอิสราเอล เขาทั้งหลายก็ยกถอยไปจากพระองค์และกลับบ้านเมืองของตน
2 พงศ์กษัตริย์ 4
เอลีชากับน้ำมันของหญิงม่าย
1ภรรยาของคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะร้องทุกข์ต่อเอลีชาว่า “ผู้รับใช้ของท่าน คือสามีของดิฉันเสียชีวิตแล้ว และท่านทราบอยู่แล้วว่าผู้รับใช้ของท่านเกรงกลัวพระยาห์เวห์ แต่เจ้าหนี้ได้มาเพื่อจะเอาลูกสองคนของดิฉันไปเป็นทาสของเขา” 2แล้วเอลีชาตอบนางว่า “บอกเราซิว่า จะให้เราทำอะไร? เธอมีอะไรอยู่ในบ้านบ้าง?” นางตอบว่า “สาวใช้ของท่านไม่มีอะไรในบ้าน นอกจากน้ำมันขวดหนึ่ง” 3แล้วท่านกล่าวว่า “เธอจงออกไปนอกบ้าน ขอยืมภาชนะเปล่าจากเพื่อนบ้านทุกคน อย่าเอามาน้อย 4แล้วจงเข้าบ้าน ปิดประตูขังตัวเองและลูกชายไว้ แล้วเทน้ำมันใส่ภาชนะเหล่านี้ทั้งหมด เมื่อใบหนึ่งๆ เต็มแล้วก็ตั้งไว้ต่างหาก” 5นางก็ไปจากท่าน และปิดประตูขังตัวเองกับบุตรของนางไว้ บุตรส่งภาชนะให้นาง และนางก็เทน้ำมัน 6เมื่อภาชนะเต็มหมดแล้วนางจึงบอกบุตรว่า “เอาภาชนะอีกใบหนึ่งมาให้แม่” แต่เขาตอบนางว่า “ไม่มีแล้ว” แล้วน้ำมันก็หยุดไหล 7นางก็ไปเรียนให้คนของพระเจ้าทราบ และท่านบอกว่า “จงไปขายน้ำมัน แล้วเอาเงินชำระหนี้ของเธอ ส่วนที่เหลือนั้นเธอกับลูกๆ จงใช้เลี้ยงชีวิต”
เอลีชาชุบชีวิตลูกของหญิงชาวชูเนม
8วันหนึ่งเอลีชาผ่านไปยังเมืองชูเนม ที่ซึ่งหญิงมั่งมีคนหนึ่งอาศัยอยู่ และนางได้ชวนท่านรับประทานอาหาร ฉะนั้นเมื่อท่านผ่านไปทางนั้นเมื่อไร ท่านก็แวะเข้าไปรับประทานอาหารที่นั่น 9และนางบอกสามีของนางว่า “ดูสิ ดิฉันเห็นว่าชายคนนี้ที่เดินผ่านบ้านเราบ่อยๆ นั้นเป็นคนบริสุทธิ์ของพระเจ้า 10ขอให้เราทำห้องเล็กไว้บนดาดฟ้าสำหรับท่าน วางเตียงนอน โต๊ะ เก้าอี้ และตะเกียงไว้ให้ท่าน เพื่อว่าเมื่อท่านมาหาเรา ท่านจะได้เข้าไปพักในห้องนั้น”
11วันหนึ่งท่านมาที่นั่น แวะขึ้นไปห้องนั้น และนอนอยู่ที่นั่น 12ท่านจึงบอกเกหะซีคนใช้ของท่านว่า “ไปเรียกหญิงชาวชูเนมคนนี้มา” เมื่อเขาเรียกนาง นางก็มายืนอยู่ต่อหน้าท่าน 13ท่านจึงบอกแก่เกหะซีว่า “จงบอกนางว่า ดูซิ เธอลำบากมากมายอย่างนี้เพื่อเรา จะให้เราทำอะไรเพื่อเธอบ้าง? มีอะไรจะให้ทูลพระราชาเพื่อเธอหรือไม่? หรือจะให้พูดอะไรกับผู้บัญชาการกองทัพ?” นางตอบว่า “ดิฉันอยู่ในหมู่พี่น้องของดิฉันค่ะ” 14และท่านกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นจะให้ทำอะไรเพื่อนาง?” เกหะซีตอบว่า “แท้จริงนางไม่มีบุตรชายและสามีของนางก็แก่แล้ว” 15ท่านจึงบอกว่า “ไปเรียกนางมา” และเมื่อเขาไปเรียกนาง นางก็มายืนอยู่ที่ประตู 16ท่านกล่าวว่า “เมื่อถึงเวลานี้ในปีหน้า เธอจะได้อุ้มบุตรชายคนหนึ่ง” และนางตอบว่า “คนของพระเจ้า เจ้านายของดิฉัน อย่าหลอกสาวใช้ของท่านเลย” 17แต่หญิงนั้นก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นในปีต่อมาตามที่เอลีชาบอกนาง
18เมื่อเด็กนั้นโตขึ้น วันหนึ่งเขาออกไปหาบิดาของเขาในหมู่คนเกี่ยวข้าว 19เขาบอกบิดาว่า “โอย หัวของฉัน หัวของฉัน” บิดาจึงสั่งคนใช้ว่า “อุ้มเขาไปหาแม่” 20เมื่อคนใช้อุ้มเขามาให้มารดา เด็กนั้นก็นั่งอยู่บนตักมารดาจนเที่ยงวัน แล้วก็สิ้นชีวิต 21นางจึงอุ้มเขาขึ้นไปวางไว้บนที่นอนของคนของพระเจ้า และปิดประตูเสีย แล้วไปข้างนอก 22นางก็ไปเรียกสามีของนางกล่าวว่า “ขอส่งคนใช้คนหนึ่งกับลาตัวหนึ่งมาให้ฉัน เพื่อฉันจะรีบไปหาคนของพระเจ้า และกลับมาอีก” 23และเขาถามว่า “วันนี้จะไปหาท่านทำไม? มันไม่ใช่วันต้นเดือนหรือวันสะบาโต” นางตอบว่า “ไม่เป็นไร” 24แล้วนางผูกอานลาและสั่งคนใช้ว่า “จงเร่งลาไปเร็วๆ อย่าชะลอฝีเท้า นอกจากฉันสั่ง” 25แล้วนางก็ออกเดินทาง และมาถึงคนของพระเจ้าที่ภูเขาคารเมล
เมื่อคนของพระเจ้าเห็นนางมา ท่านก็พูดกับเกหะซีคนใช้ของท่านว่า “ดูแน่ะ หญิงชาวชูเนมมาข้างโน้น 26จงรีบไปรับนาง และถามนางว่า ‘เธอสบายดีหรือ? สามีของเธอสบายดีหรือ? เด็กสบายดีหรือ?’ ” นางตอบว่า “สบายดีค่ะ” 27เมื่อนางมาพบคนของพระเจ้าที่ภูเขาแล้ว นางก็เข้าไปกอดเท้าของท่าน เกหะซีจึงเข้ามาจะจับนางออกไป แต่คนของพระเจ้ากล่าวว่า “ปล่อยนางเถอะ เพราะนางมีความระทมขมขื่น และพระยาห์เวห์ทรงปิดเรื่องนี้ไว้จากเรา ไม่ทรงแจ้งให้เราทราบ” 28แล้วนางจึงเรียนว่า “ดิฉันขอลูกจากเจ้านายของดิฉันหรือ? ดิฉันไม่ได้เรียนหรือว่า อย่าหลอกดิฉันเลย?” 29ท่านจึงสั่งเกหะซีว่า “คาดเอวของเจ้า แล้วถือไม้เท้าของเราไว้ในมือของเจ้า และไปเถอะ ถ้าเจ้าพบใคร อย่าทักทายเขา และถ้าใครทักทายเจ้า ก็อย่าตอบ และจงวางไม้เท้าของเราบนหน้าของเด็กนั้น” 30แล้วมารดาของเด็กนั้นเรียนว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่และตัวท่านเองมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ดิฉันจะไม่ไปจากท่านฉันนั้น” ดังนั้นท่านจึงลุกขึ้นตามนางไป 31เกหะซีได้ล่วงหน้าไปก่อน และวางไม้เท้าบนหน้าของเด็กนั้น แต่ไม่มีเสียงหรืออาการบ่งบอกว่ามีชีวิต เขาจึงกลับมาพบท่านและเรียนท่านว่า “เด็กนั้นยังไม่ตื่น”
32เมื่อเอลีชาเข้าบ้าน ท่านเห็นเด็กนอนตายอยู่บนที่นอนของท่าน 33ท่านจึงเข้าไปข้างใน แล้วปิดประตูอยู่กับเด็กนั้นสองต่อสอง และได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ 34แล้วท่านขึ้นไปนอนทับเด็ก ให้ปากทับปาก ตาทับตา และมือทับมือ เมื่อท่านเหยียดตัวของท่านบนเขา เนื้อตัวของเด็กนั้นก็อุ่นขึ้นมา 35ท่านก็เดินไปมาในบ้านครั้งหนึ่ง แล้วขึ้นไปเหยียดตัวของท่านบนเขาอีก เด็กนั้นก็จาม 7 ครั้ง และเด็กนั้นก็ลืมตาของตน 36แล้วท่านก็เรียกเกหะซีมาสั่งว่า “ไปเรียกหญิงชาวชูเนมคนนี้มา” เขาจึงไปเรียกนาง และเมื่อนางมาถึงท่านแล้ว ท่านกล่าวว่า “จงอุ้มลูกของเธอขึ้นเถิด” 37นางจึงเข้ามาทรุดตัวลงที่เท้าของท่านกราบลงถึงดิน แล้วนางก็อุ้มบุตรของนางขึ้นและออกไปข้างนอก
อรรถาธิบาย
ความเมตตาและคำอธิษฐาน
เราเห็นจากในพระธรรมตอนนี้ว่า เพราะเหตุใดภาพของผู้เลี้ยงจึงเป็นภาพที่เราเห็นบ่อยที่สุดภาพหนึ่งในพระคัมภีร์ มีฝูงแกะอยู่มากมาย ‘เมชาพระราชาแห่งโมอับทรงเป็นผู้เพาะพันธุ์แกะ และพระองค์ต้องถวายลูกแกะ 100,000 ตัว และขนแกะผู้ 100,000 ตัว แก่พระราชาอิสราเอล’ (3:4)
เหตุการณ์ที่เราอ่านนั้นเกิดขึ้นในศตวรรษที่เก้าก่อนคริสตกาล กษัตริย์โยรัมครองราชย์ตั้งแต่ปี 852 ถึง 841ก่อนคริสตกาล ควบคู่ไปกับการทำสงครามหลายครั้งที่เกิดจากปัญหาภายในประเทศและความอยุติธรรมภายในอิสราเอลเอง เราเห็นตัวอย่างจากชีวิตของหญิงม่ายคนหนึ่งและบุตรชายสองคนของเธอกำลังจะถูกนำไปเป็นทาส (4:1)
ในสถานการณ์นี้ เอลีชาเข้ามาเพื่อช่วยกู้ เช่นเดียวกับผู้เลี้ยงที่ดี เขารักและห่วงใยประชาชน และกล่าวว่า ‘บอกเราซิว่า จะให้เราทำอะไร?’ (ข้อ 2) เขาช่วยกู้หญิงม่ายคนนี้จากคำสาปแช่งอันเลวร้ายของการเป็นหนี้ท่วมท้นและการที่จะต้องไปเป็นทาสจากผลของหนี้ก้อนนั้น
6. ความเมตตา
ต่อมา เอลีชา “คนบริสุทธิ์ของพระเจ้า” คนนี้ (ข้อ 9) มีเมตตาต่อหญิงชาวชูเนมผู้ที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ เธอได้พบว่าพระเจ้าได้ให้เกียรติผู้ที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ท่านเอ่ยถ้อยคำขององค์พระผู้เป็นเจ้ากับเธอ และนั่นทำให้เธอตั้งครรภ์ (ข้อ 15-17)
7. คำอธิษฐาน
เมื่อบุตรชายของเธอเสียชีวิต เขาก็ได้อธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า (ข้อ 33) พระองค์ประทานวิธีการช่วยชีวิตอย่างเหนือธรรมชาติ และเด็กนั้นก็ฟื้นขึ้นและจามเจ็ดครั้ง (ข้อ 34-35)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
2 พงศ์กษัตริย์ 4:32-35
พระเจ้าทรงตอบผู้ที่ร้องทูลที่หมดสิ้นหนทาง ด้วยความจริงใจ
ข้อพระคำประจำวัน
กิจการอัครทูต 21:14
‘ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระเจ้าเถิด’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)