วัน 145

การเผชิญปัญหาที่ยิ่งใหญ่

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 67:1-7
พันธสัญญาใหม่ ยอห์น 15:1-16:4
พันธสัญญาเดิม 1 ซามูเอล 16:1-17:37

เกริ่นนำ

โกลิอัทเป็นยักษ์ใหญ่ สูงกว่า 9 ฟุต เป็นยอดทหารสวมเสื้อเกราะ เขายืนตะโกนท้าทายประชากรของพระเจ้า (1 ซามูเอล 17:1–11) ยังมีการเปรียบเปรยอื่น ๆ อีกเช่นเดียวกับการเปรียบในทางกายภาพ คำว่า ‘ยักษ์’ เปรียบได้กับปัญหาใหญ่ที่ยากเกินกว่าจะเอาชนะได้ ปัจจุบันโลกของเรากำลังเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่คือโรค COVID-19 ที่ระบาดทั่วโลก

  • ‘ปัญหาส่วนตัว’ ปัญหาใหญ่ที่ทุกคนต้องเผชิญ อาจเป็นเรื่องสุขภาพ การแต่งงาน ครอบครัว การมีความสัมพันธ์หรือไม่มีความสัมพันธ์ (มีแฟนหรือไม่มีแฟน) เรื่องงาน หรือว่างงาน ความบาป การทดลอง การติดสารเสพติด ความกลัว ความเหงา ความท้อใจ หรือหนี้สิน

  • ‘ปัญหาระดับประเทศ’ ปัญหาที่มีในประเทศสหราชอาณาจักร คือ ปัญหาผู้ก่อการร้าย กลุ่มอันธพาลก่อความรุนแรง คนไร้บ้าน การหย่าร้าง ปัญหาครอบครัวและชุมชน ดังนั้นจึงมีงานประกาศใหญ่ ๆ ระดับประเทศ งานฟื้นฟูคริสตจักร และงานปฏิรูปสังคม

  • ‘ปัญหาระดับโลก’ ที่ต้องเผชิญ คือ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เกิดความยากจนขั้นรุนแรง (เป็นผลให้ในแต่ละวันมีเด็กหลายพันคนเสียชีวิต) โรคที่สามารถป้องกันได้ (แต่มีหลายล้านคนต้องเสียชีวิตจากโรคที่แม้รักษาได้ง่าย) ความต้องการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (มีคนจำนวนหนึ่งล้านคนอ่านหนังสือไม่ออก) ความต้องการน้ำที่ถูกสุขลักษณะ (ซึ่งต้องใช้เงินเท่ากับจำนวนที่ชาวยุโรปใช้ซื้อไอศกรีม ทุก ๆ ปี)

มีสองท่าทีที่เป็นไปได้เมื่อเผชิญกับปัญหาหรือยักษ์ใหญ่ มีบางคนคิดว่า ‘ยักษ์ตัวนี้ใหญ่จริง ๆ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย’ อาจมีบางคนคิดว่า ‘ยักษ์ตัวนี้ใหญ่มากจริง ๆ ผมไม่พลาดแน่ ๆ!'

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 67:1-7

เรียกบรรดาประชาชาติให้สรรเสริญพระเจ้า

ถึงหัวหน้านักร้อง ใช้เครื่องสาย เพลงสดุดี บทเพลงหนึ่ง

1ขอพระเจ้าทรงพระเมตตาและทรงอวยพรข้าพระองค์ทั้งหลาย
 ขอทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย
\t2เพื่อพระมรรคาของพระองค์จะเป็นที่รู้จักในแผ่นดินโลก
 การช่วยกู้ของพระองค์จะเป็นที่ทราบท่ามกลางประชาชาติทั้งสิ้น
3ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ชนชาติทั้งหลายยกย่องพระองค์
 ขอให้ชนชาติทั้งสิ้นยกย่องพระองค์
4ขอให้ชาวประเทศทั้งหลายยินดีและร้องเพลงด้วยความชื่นบาน
 เพราะพระองค์ทรงพิพากษาชนชาติทั้งหลาย ด้วยความเที่ยงธรรม
 และทรงนำชาวประเทศทั้งหลายในโลก
5ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ชนชาติทั้งหลายยกย่องพระองค์
 ขอให้ชนชาติทั้งสิ้นยกย่องพระองค์
6แผ่นดินโลกได้เกิดผล
 พระเจ้า คือพระเจ้าของเราจะทรงอวยพรเรา
7พระเจ้าจะทรงอวยพรเรา
 และที่สุดปลายทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลกจะยำเกรงพระองค์

อรรถาธิบาย

คิดในระดับโลก

พระเจ้าทรงรักทุกคนในโลก พระองค์ต้องการให้ทุกชนชาติและคนทุกคนรู้จักพระองค์ นมัสการพระองค์ และรักพระองค์

ผู้เขียนพระธรรมสดุดีได้อธิษฐานขอพระเจ้าอวยพรประชากรของพระองค์เพื่อ ‘พระมรรคาของพระองค์เป็นที่รู้จักในแผ่นดินโลก การช่วยกู้ของพระองค์จะเป็นที่ทราบท่ามกลางประชาชาติทั้งสิ้น’ (ข้อ 2)

เราเห็นจากพระธรรมสดุดีนี้ว่า นิมิตระดับโลกสำหรับประชากรของพระเจ้าอยู่เหนือความจำกัดของเรา เป็นนิมิตที่เป็นเงาสะท้อนล่วงหน้าในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม

ผู้เขียนพระธรรมสดุดี อธิษฐานเผื่อคนทั่วโลก (ข้อ 3-5) ถ้าเราต้องการรับมือปัญหาระดับโลก เราจำเป็นต้องมีนิมิตในระดับโลก พระคำในพระธรรมสดุดีเกี่ยวกับพระเจ้า ขนาดของนิมิตขึ้นอยู่กับนิมิตของคุณกับพระเจ้า ไอเดน วิลสัน โทเซอร์ กล่าวว่า ‘เมื่อเราคิดถึงพระเจ้าสิ่งที่เข้ามาในความคิด คือสิ่งที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับตัวเรา’

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอพระเจ้าทรงพระเมตตาและทรงอวยพร ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอให้พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย เพื่อพระมรรคาของพระองค์จะเป็นที่รู้จักในแผ่นดินโลก การช่วยกู้ของพระองค์จะเป็นที่ทราบท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย ขอให้ชนชาติทั้งหลายยกย่องพระองค์
พันธสัญญาใหม่

ยอห์น 15:1-16:4

พระเยซูทรงเป็นเถาองุ่นแท้

 1“เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา 2แขนงทุกแขนงในเราที่ไม่ออกผล พระองค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย และแขนงทุกแขนงที่ออกผล พระองค์ก็ทรงลิด เพื่อให้ออกผลมากขึ้น 3พวกท่านได้รับการชำระให้สะอาดแล้วด้วยถ้อยคำที่เรากล่าวกับท่าน 4จงติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับพวกท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเถา พวกท่านก็เช่นเดียวกันจะเกิดผลไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเรา 5เราเป็นเถาองุ่น พวกท่านเป็นแขนง คนที่ติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับเขา คนนั้นจะเกิดผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย 6ถ้าใครไม่ได้ติดสนิทอยู่กับเรา คนนั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยวแห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผาไฟ 7ถ้าพวกท่านติดสนิทอยู่กับเราและถ้อยคำของเราติดสนิทอยู่กับท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใดที่ท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น 8พระบิดาของเราทรงได้รับพระเกียรติเพราะเหตุนี้ คือเมื่อพวกท่านเกิดผลมากและเป็นสาวกของเรา 9พระบิดาทรงรักเราอย่างไร เราก็รักพวกท่านอย่างนั้น จงติดสนิทอยู่กับความรักของเรา 10ถ้าพวกท่านประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะติดสนิทอยู่กับความรักของเรา เหมือนอย่างที่เราประพฤติตามบัญญัติของพระบิดาและติดสนิทอยู่กับความรักของพระองค์ 11เราบอกสิ่งเหล่านี้กับพวกท่านแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่ในท่าน และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม
 12“บัญญัติของเราคือให้พวกท่านรักกันและกัน เหมือนอย่างที่เรารักท่าน 13ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการสละชีวิตเพื่อมิตรสหายของตน 14ถ้าพวกท่านประพฤติตามที่เราสั่ง ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา 15เราจะไม่เรียกพวกท่านว่าบ่าวอีก เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดา เราสำแดงแก่พวกท่านแล้ว 16ท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เราเลือกพวกท่านและแต่งตั้งท่านให้ไปเกิดผลและเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อพวกท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน 17สิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ก็คือ จงรักกันและกัน

ความเกลียดชังของโลก

 18“ถ้าโลกนี้เกลียดชังพวกท่าน ก็จงรู้ว่าโลกเกลียดชังเราก่อน 19ถ้าพวกท่านเป็นของโลก โลกก็ย่อมจะรักคนที่เป็นของโลกเอง แต่เพราะท่านไม่ได้เป็นของโลก คือเราเลือกท่านออกจากโลก เพราะเหตุนี้ โลกจึงเกลียดชังท่าน 20จงระลึกถึงคำที่เรากล่าวกับพวกท่านแล้วว่า ‘บ่าวไม่ได้เป็นใหญ่กว่านาย’ ถ้าพวกเขาข่มเหงเรา เขาก็จะข่มเหงพวกท่านด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามคำของเรา พวกเขาก็จะปฏิบัติตามคำของพวกท่านด้วย 21แต่เขาจะทำทุกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่านเพราะนามของเรา เพราะเขาไม่รู้จักผู้ทรงใช้เรามา 22ถ้าเราไม่ได้มาสั่งสอนพวกเขา เขาก็คงจะไม่มีบาป แต่เดี๋ยวนี้พวกเขาไม่มีข้อแก้ตัวในเรื่องบาปของเขา 23คนที่เกลียดชังเราก็เกลียดชังพระบิดาของเราด้วย 24ถ้าในท่ามกลางพวกเขา เราไม่ได้ทำสิ่งซึ่งไม่มีคนอื่นทำเลย พวกเขาก็จะไม่มีบาป แต่เดี๋ยวนี้เขาเห็นและเกลียดชังทั้งตัวเราและพระบิดาของเรา 25ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เป็นจริงตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ของเขาที่ว่า ‘เขาเกลียดชังเราโดยไม่มีสาเหตุ’ 26แต่เมื่อองค์ผู้ช่วยเสด็จมา ซึ่งเป็นผู้ที่เราจะใช้จากพระบิดามาหาพวกท่าน คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งมาจากพระบิดานั้น พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา 27และพวกท่านก็จะเป็นพยานด้วย เพราะว่าท่านอยู่กับเราตั้งแต่แรกแล้ว

ยอห์น 16

 1“เราบอกสิ่งเหล่านี้กับพวกท่านก็เพื่อไม่ให้ท่านท้อถอย 2เขาทั้งหลายจะไล่ท่านออกจากธรรมศาลา อันที่จริงวันนั้นจะมาถึง เมื่อทุกคนที่ประหารชีวิตของพวกท่านจะคิดว่าเขากำลังปรนนิบัติพระเจ้า 3เขาจะทำอย่างนั้นเพราะไม่รู้จักพระบิดาและไม่รู้จักเรา 4แต่เหตุที่เราบอกสิ่งเหล่านี้ให้ท่านฟังก็เพื่อว่าเมื่อถึงเวลาของพวกเขา ท่านจะได้ระลึกว่าเราบอกท่านไว้แล้ว

พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์

“เราไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพวกท่านแต่แรก เพราะว่าเรายังอยู่กับท่าน

อรรถาธิบาย

เป็นพยานเรื่องพระเยซู

ไม่มีสิ่งใดสำคัญมากกว่าและไม่มีสิทธิพิเศษในชีวิตที่ดีกว่าการเป็นสหายของพระเยซู พระเยซูตรัสว่า ‘ท่านเป็นมิตรสหายของเรา...เราจะไม่เรียกพวกท่านว่าบ่าวอีก...เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย’ (15:14–15)

การมีพระเยซูเป็นมิตรสหายทำให้เราจัดการปัญหาชีวิต ปัญหาในคริสตจักร ปัญหาในสังคมได้จากจุดยืนที่ไม่เหมือนใคร

  1. ชีวิตส่วนตัว พระเยซูตรัสว่ามีความลับในการเกิดผลของคริสเตียนอยู่ 2 อย่าง

สิ่งแรกคือ การลิด (ข้อ 1-2) วัตถุประสงค์ของการลิด คือเพื่อให้เราสามารถออกผลได้มากขึ้น ความเจ็บปวด ความเศร้าโศก ความเจ็บป่วยและการทุกข์ทรมาน ความสูญเสีย การสูญเสียญาติหรือเพื่อนสนิท ความล้มเหลว ความท้อใจ และความผิดหวังจากเป้าหมาย สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีที่บอกว่าชีวิตกำลังถูกลิด

การลิดดูเหมือนโหดร้าย ซึ่งแขนงต่าง ๆ ถูกตัดแต่ง และปล่อยให้เผชิญกับฤดูหนาวอันโหดร้าย แต่วัตถุประสงค์ของการลิด เป็นการทำให้แขนงงอกขึ้นใหม่ เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน จะมีการผลิดอกออกผลมากมาย ท้ายที่สุดมีดที่ใช้ลิดแขนงที่คมจะทำให้เกิดผลและการอวยพร

สิ่งที่สอง คือ ความสนิทสนมกับพระเยซู (ข้อ 4) คุณไม่สามารถล้มยักษ์ได้ด้วยตัวคุณเอง พระเยซูกล่าวว่า ‘เมื่อเจ้าอยู่ในเราและเราอยู่กับเจ้า ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและเป็นธรรมชาติ การเก็บเกี่ยวจะอุดมสมบูรณ์อย่างแน่นอน การแยกจากกัน เจ้าไม่สามารถออกผลอะไรได้’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) คุณจะไม่ประสบความสำเร็จในการล้มยักษ์ ถ้าคุณไม่สนิทสนมกับพระเยซู

ให้เราปลูกความสัมพันธ์กับพระเยซู (ข้อ 14–15) โดยใช้เวลากับพระองค์ เดินไปกับพระองค์ อธิษฐานและฟังเสียงพระองค์ผ่านพระวจนะ ทำตามพระประสงค์ของพระองค์

พระเยซูตรัสว่า ถ้าท่านติดสนิทอยู่ในเรา (พักอยู่ในพระองค์) จะมีสามสิ่งเกิดขึ้นในแง่ของการเกิดผล สิ่งแรก คำอธิษฐานจะได้รับคำตอบ (ข้อ 7) สิ่งที่สอง พระเจ้าจะได้รับพระเกียรติ (ข้อ 8) สิ่งที่สามคือ ความยินดีจะสมบูรณ์และเต็มเปี่ยม (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

พระเยซูต้องการให้เราเต็มไปด้วยความยินดีและมีชีวิตที่เต็มเปี่ยม ไม่มีความยินดีใดที่ดีกว่าการที่รู้ว่าคุณมีคุณค่า ล้ำค่า และเป็นที่รักของพระเจ้า และรักผู้อื่นเหมือนกับการรักตนเองนั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่า

  1. คริสตจักร
    ปัจจุบันมีปัญหาใหญ่หลายเรื่องที่คริสตจักรต้องเผชิญ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ เรื่องความไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่มีสิ่งใดที่เป็นอุปสรรคต่อถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ มากเท่ากับการแตกแยกระหว่างคริสเตียน ความไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันสามารถเอาชนะได้ด้วยความรัก พระเยซูตรัสว่า ‘บัญญัติของเราคือ ให้พวกท่านรักกันและกัน เหมือนอย่างที่เรารักท่าน ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้ คือสละชีวิตเพื่อมิตรสหายของตน... สิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้คือ จงรักกันและกัน' (ข้อ 12–13, 17)

  2. ด้านสังคม
    พระเยซูเตือนเราว่าเราจะเผชิญปัญหาในโลกนี้ที่เกลียดชังเรา (ข้อ 18-19) พระองค์ตรัสว่า ‘ถ้าพวกเขาข่มเหงเรา เขาจะข่มเหงพวกท่านด้วย’ (ข้อ 20) ทรงตรัสว่า ‘ทุกคนที่ประหารชีวิตของพวกท่าน จะคิดว่าเขากำลังปรนนิบัติพระเจ้า’ (ข้อ 16:2) ปัจจุบันยังมีบางพื้นที่ในโลกที่มีสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง

แต่ยังมีการกดขี่ข่มเหงที่ซ่อนเร้นในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย ไม่มีใครชอบการถูกปฏิเสธ ดูถูก ล้อเลียนหรือเยาะเย้ย พระเยซูเตือนเราว่า ไม่ว่าคุณไปที่ไหน คุณเตรียมรับมือว่าจะเจอการต่อต้าน ความเกลียดชัง หรือแม้แต่การข่มเหงแน่นอน

เราคงคิดหาคำตอบไม่ได้ด้วยตัวเอง แต่พระเยซูตรัสว่า ‘แต่เมื่อองค์ผู้ช่วยเสด็จมา ซึ่งเป็นผู้ที่เราจะใช้จากพระบิดามาหาพวกท่าน คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งมาจากพระบิดานั้นพระองค์จะเป็นพยานให้เรา และพวกท่านก็จะเป็นพยานด้วย’ (15:26–27) พระวิญญาณช่วยเราเป็นพยานเรื่องพระเยซูและรับมือกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ เพื่อดูว่าสังคมของเราจะเปลี่ยนแปลง

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงเรียกข้าพระองค์ว่ามิตรสหาย โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รักผู้อื่นเหมือนที่พระองค์รักข้าพระองค์
พันธสัญญาเดิม

1 ซามูเอล 16:1-17:37

ดาวิดรับการเจิมเป็นกษัตริย์

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับซามูเอลว่า “เจ้าจะเป็นทุกข์เรื่องซาอูลนานเท่าใดเล่า เราปลดเขาจากการเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลแล้ว จงเติมน้ำมันให้เต็มเขาสัตว์ของเจ้า แล้วก็จงไป เราจะใช้เจ้าไปหาเจสซีชาวเบธเลเฮม เพราะว่าในพวกบุตรของเขา เราเลือกกษัตริย์องค์หนึ่งแล้วสำหรับเรา” 2ซามูเอลก็กราบทูลว่า “ข้าพระองค์จะไปอย่างไรได้? ถ้าซาอูลได้ยิน เขาจะฆ่าข้าพระองค์เสีย” พระยาห์เวห์ตรัสว่า “จงนำโคตัวเมียไปกับเจ้าตัวหนึ่งและกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้ามาเพื่อถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์’ 3จงเชิญเจสซีมาที่การถวายสัตวบูชานั้น แล้วเราเองจะให้เจ้ารู้ว่าเจ้าควรจะทำอะไร เจ้าจงเจิมผู้ซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า” 4ซามูเอลก็ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา และมาที่เบธเลเฮม พวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นก็ตัวสั่นออกมาพบท่านกล่าวว่า “ท่านมาอย่างสันติหรือ?” 5และซามูเอลตอบว่า “มาอย่างสันติ ข้าพเจ้ามาถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์ จงชำระตัวของพวกท่านให้บริสุทธิ์และมาที่การถวายสัตวบูชากับข้าพเจ้า” และซามูเอลก็ชำระตัวเจสซีและพวกบุตรของท่านให้บริสุทธิ์ และเชิญพวกเขาไปยังการถวายสัตวบูชา
 6เมื่อพวกเขามาแล้ว ท่านก็มองเห็นเอลีอับ จึงคิดว่า “ผู้ที่ทรงให้เจิมไว้ก็อยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์แน่แล้ว” 7แต่พระยาห์เวห์ตรัสกับซามูเอลว่า “อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา เพราะเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระยาห์เวห์ไม่ได้ทอดพระเนตรเหมือนที่มนุษย์ดู เพราะมนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระยาห์เวห์ทอดพระเนตรจิตใจ” 8แล้วเจสซีก็เรียกอาบีนาดับให้เดินผ่านหน้าซามูเอล ท่านกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงเลือกผู้นี้เหมือนกัน” 9แล้วเจสซีให้ชัมมาห์เดินผ่านไป และท่านก็กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงเลือกผู้นี้เหมือนกัน” 10แล้วเจสซีให้บุตรทั้งเจ็ดคนเดินผ่านหน้าซามูเอล และซามูเอลบอกกับเจสซีว่า “พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงเลือกคนเหล่านี้” 11แล้วซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า “พวกนี้เป็นบุตรชายทั้งหมดของท่านหรือ?” เจสซีตอบว่า “ยังมีคนสุดท้องเหลืออยู่ นี่แน่ะ เขากำลังเลี้ยงแกะอยู่” และซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า “จงใช้คนไปนำเขามา เพราะเราจะไม่ยอมนั่งจนกว่าเขาจะมาที่นี่” 12เจสซีก็ใช้คนไปนำเขามา เขาเป็นคนผิวแดงๆ มีหน้าตาดีและรูปร่างงาม และพระยาห์เวห์ตรัสว่า “จงลุกขึ้นเจิมเขาไว้ เพราะเป็นคนนี้” 13ซามูเอลจึงนำเขาสัตว์ที่มีน้ำมัน เจิมเขาไว้ท่ามกลางพวกพี่ชายของเขา และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ทรงสวมทับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป และซามูเอลก็ลุกขึ้นกลับไปรามาห์

ดาวิดดีดพิณถวายซาอูล

 14พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ทรงละจากซาอูล และวิญญาณชั่วจากพระยาห์เวห์ก็ทรมานซาอูล 15และพวกมหาดเล็กของซาอูลทูลว่า “ดูเถิด วิญญาณชั่วจากพระเจ้ากำลังทรมานพระองค์อยู่ 16ขอเจ้านายของพวกข้าพระบาท จงบัญชาพวกผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทที่อยู่เฉพาะพระพักตร์ฝ่าพระบาท ให้หาคนที่มีฝีมือในการดีดพิณ และเมื่อวิญญาณชั่วจากพระเจ้ามาเหนือฝ่าพระบาท ก็ให้เขาดีดพิณแล้วฝ่าพระบาทจะดีขึ้น” 17ซาอูลจึงรับสั่งพวกผู้รับใช้ของพระองค์ว่า “จงไปหาชายคนหนึ่งที่ดีดพิณได้ดีมาให้เรา นำเขามาหาเรา” 18คนหนึ่งในพวกชายหนุ่มทูลว่า “ดูเถิด ข้าพระบาทเห็นบุตรคนหนึ่งของเจสซีชาวเบธเลเฮม เป็นผู้มีฝีมือในการดีดพิณ เป็นคนกล้าหาญ เป็นนักรบ พูดเก่ง และเป็นคนมีหน้าตาดี และพระยาห์เวห์สถิตกับเขา” 19เพราะฉะนั้นซาอูลจึงทรงส่งพวกผู้สื่อสารไปยังเจสซีกล่าวว่า “จงส่งดาวิดบุตรของท่านผู้อยู่กับแกะนั้นมาหาเรา” 20และเจสซีก็จัดลาตัวหนึ่งบรรทุกขนมปัง และถุงหนังใส่เหล้าองุ่นถุงหนึ่ง กับลูกแพะตัวหนึ่ง ส่งไปกับดาวิดบุตรของท่านให้ถวายซาอูล 21ดาวิดก็มาเฝ้าซาอูลและเข้ารับราชการ ซาอูลก็ทรงรักดาวิดมาก ดาวิดก็ได้เป็นคนถือเครื่องอาวุธของซาอูล 22และซาอูลทรงส่งข่าวไปยังเจสซีว่า “ขอให้ดาวิดอยู่รับราชการกับเรา เพราะเขาเป็นที่โปรดปรานของเรา” 23ต่อมาเมื่อวิญญาณจากพระเจ้ามาเหนือซาอูลเมื่อไร ดาวิดก็หยิบพิณใช้มือดีดถวาย ซาอูลก็ทรงรู้สึกบรรเทาลงและทรงดีขึ้น และวิญญาณชั่วก็ละจากพระองค์ไป

1 ซามูเอล 17

ดาวิดกับโกลิอัท

 1ส่วนพวกฟีลิสเตีย ก็รวบรวมกองทัพเพื่อจะทำสงคราม พวกเขามารวมกันอยู่ที่ตำบลโสโคห์ ซึ่งเป็นของยูดาห์ และตั้งค่ายอยู่ระหว่างตำบลโสโคห์กับตำบลอาเซคาห์ที่เอเฟสดัมมิม 2และซาอูลกับคนอิสราเอลก็รวมกัน และตั้งค่ายอยู่ที่หุบเขาเอลาห์ และวางแนวรบเพื่อต่อสู้กับพวกฟีลิสเตีย 3พวกฟีลิสเตียยืนอยู่ที่ภูเขาข้างหนึ่งและอิสราเอลยืนอยู่ที่ภูเขาอีกข้างหนึ่ง มีหุบเขาคั่นระหว่างพวกเขา 4มีชายคนหนึ่งชื่อโกลิอัทเป็นยอดทหาร ออกมาจากค่ายพวกฟีลิสเตีย เป็นชาวเมืองกัท สูง 3 เมตรกว่า 5เขาสวมหมวกทองสัมฤทธิ์ที่ศีรษะ และสวมเสื้อเกราะที่ทำเป็นเกล็ดๆ เสื้อเกราะนั้นหนักประมาณ 57 กิโลกรัมเป็นทองสัมฤทธิ์ 6และสวมสนับแข้งทองสัมฤทธิ์ และมีทวนทองสัมฤทธิ์แขวนที่บ่า 7ส่วนด้ามหอกของเขานั้นเหมือนไม้กระพั่นทอผ้า ปลายหอกเป็นเหล็กหนักประมาณ 7 กิโลกรัม มีคนถือโล่นำหน้าเขา 8เขายืนตะโกนทางแนวรบของอิสราเอลว่า “พวกเจ้าออกมาเพื่อเตรียมทำสงครามทำไมเล่า? ข้าเป็นคนฟีลิสเตียไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าก็เป็นข้ารับใช้ของซาอูลไม่ใช่หรือ? จงเลือกชายคนหนึ่งแทนพวกเจ้า ให้เขาลงมาหาข้า 9ถ้าเขาชนะในการต่อสู้และฆ่าข้าได้ พวกเราจะเป็นข้ารับใช้ของพวกเจ้า แต่ถ้าข้าชนะเขาและฆ่าเขาตาย แล้วพวกเจ้าจะเป็นข้ารับใช้ของพวกเรา และรับใช้พวกเรา” 10และคนฟีลิสเตียนั้นกล่าวว่า “วันนี้ข้าเองขอท้ากองทัพอิสราเอล จงส่งชายคนหนึ่งมาต่อสู้กัน” 11เมื่อซาอูลและคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ของคนฟีลิสเตียนั้น พวกเขาก็ตกใจและหวาดกลัวยิ่งนัก
 12ดาวิดเป็นบุตรของชาวเอฟราธาห์คนหนึ่งแห่งเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ ชื่อเจสซี ผู้มีบุตรแปดคน ในรัชกาลของซาอูล ชายคนนี้เป็นคนมีอายุมากแล้ว 13บุตรชายใหญ่สามคนของเจสซีก็ตามซาอูลไปทำสงคราม ชื่อของบุตรชายสามคนที่ไปทำสงครามนั้นคือ บุตรหัวปีเอลีอับ คนที่สองอาบีนาดับ และคนที่สามชัมมาห์ 14ดาวิดเป็นบุตรสุดท้อง พี่ชายทั้งสามคนก็ตามซาอูลไป 15แต่ดาวิดไปกลับระหว่างซาอูลกับการเลี้ยงแกะของบิดาที่เบธเลเฮม 16คนฟีลิสเตียคนนั้น เข้ามาใกล้ยืนท้าทั้งเช้าตรู่และเย็น 40 วัน
 17เจสซีพูดกับดาวิดบุตรของตนว่า “นำข้าวคั่วนี้ 10 กิโลกรัม และขนมปังสิบก้อนนี้ ไปให้พวกพี่ชายของเจ้า จงไปหาพวกพี่ชายของเจ้าที่ค่ายเร็วๆ 18และจงนำเนยแข็งสิบชิ้นนี้ไปให้ผู้บังคับกองพันของพวกเขาด้วย ดูว่าพี่ชายของเจ้าทุกข์สุขอย่างไร แล้วรับของฝากมาจากพวกเขาบ้าง”
 19ส่วนซาอูลกับพวกเขาและคนอิสราเอลทั้งปวง อยู่ที่หุบเขาเอลาห์สู้รบกับพวกฟีลิสเตียอยู่ 20ดาวิดจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด และทิ้งแกะไว้กับผู้ดูแล นำเสบียงอาหารไปตามที่เจสซีบัญชาเขา และเขาก็มาถึงเขตค่าย ขณะเมื่อกองทัพกำลังยกออกไปแนวรบ โห่ร้องเพื่อทำสงคราม 21อิสราเอลกับพวกฟีลิสเตียต่างก็ตั้งแนวรบเผชิญหน้ากัน 22ดาวิดก็ทิ้งสัมภาระไว้กับผู้ดูแลกองสัมภาระ และวิ่งไปที่แนวรบไปทักทายพวกพี่ชายของตน 23เมื่อเขากำลังพูดกับพวกพี่ชาย นี่แน่ะ ยอดทหารฟีลิสเตียชาวเมืองกัท ที่ชื่อโกลิอัทออกมาจากแนวรบ ฟีลิสเตียกล่าวถ้อยคำท้าอย่างแต่ก่อนและดาวิดก็ได้ยิน  24เมื่อคนอิสราเอลทั้งปวงเห็นชายคนนั้นก็วิ่งหนีเขาไป และหวาดกลัวเขามาก 25คนอิสราเอลพูดว่า “พวกเจ้าเคยเห็นชายที่ออกมานั้นหรือ เขาออกมาท้าทายอิสราเอล ชายที่ฆ่าเขาได้ พระราชาจะประทานทรัพย์ให้เขามากมาย และจะมอบราชธิดาให้เขาและทำให้ครอบครัวของบิดาของเขารับการยกเว้นภาษีในอิสราเอล” 26และดาวิดกล่าวแก่พวกทหารที่ยืนอยู่ข้างเขาว่า “เขาจะทำอย่างไรแก่คนที่ฆ่าคนฟีลิสเตียคนนี้ได้ และนำเอาความเหยียดหยามไปจากอิสราเอล? คนฟีลิสเตียผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตคนนี้คือใคร จึงมาท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่?” 27พวกทหารตอบเขาเหมือนกันว่า “ผู้ที่ฆ่าเขาได้ก็จะได้รับดังที่กล่าวมาแล้วนั้น”
 28เอลีอับพี่ชายหัวปีได้ยินดาวิดพูดกับพวกผู้ชาย เอลีอับก็โกรธดาวิดกล่าวว่า “เจ้าลงมาทำไม? เจ้าทิ้งแกะไม่กี่ตัวที่ถิ่นทุรกันดารไว้กับใคร? ข้าเองรู้ถึงความอวดดีของเจ้า และความคิดชั่วของเจ้า เพราะเจ้าลงมาเพื่อจะมาดูสงคราม” 29ดาวิดจึงตอบว่า “ตอนนี้ข้าได้ทำอะไรไปแล้วหรือ? ถามเท่านั้นไม่ใช่หรือ?” 30เขาจึงหันไปหาคนอื่นเสีย และพูดอย่างเดียวกัน และพวกทหารก็ตอบเขาอย่างคราวก่อน
 31เมื่อพวกเขาได้ยินถ้อยคำที่ดาวิดพูด พวกเขาก็ทูลให้ซาอูลทรงทราบ ซาอูลจึงทรงให้นำดาวิดมา 32ดาวิดก็ทูลซาอูลว่า “อย่าให้จิตใจของใครฝ่อไปเพราะชายคนนั้นเลย ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนี้” 33และซาอูลตรัสกับดาวิดว่า “เจ้าไม่สามารถไปต้านคนฟีลิสเตียนี้ เพื่อสู้รบกับเขา เพราะเจ้าเป็นแต่เด็กหนุ่ม และชายคนนี้ชำนาญศึกตั้งแต่หนุ่มๆ แล้ว” 34แต่ดาวิดทูลซาอูลว่า “ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเคยเลี้ยงฝูงแกะของบิดา และเมื่อมีสิงโตหรือหมีมาเอาลูกแกะตัวหนึ่งไปจากฝูง 35ข้าพระบาทก็ตามไปฆ่ามัน และช่วยกู้ลูกแกะนั้นมาจากปากของมัน ถ้ามันลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระบาท ข้าพระบาทก็จับคางของมัน และทุบตีมันจนตาย 36ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทได้ฆ่าสิงโตและหมีนั้นมาแล้ว คนฟีลิสเตียผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตนี้ก็เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้นตัวหนึ่ง ด้วยเขาได้ท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” 37และดาวิดทูลต่อไปว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากอุ้งเท้าของสิงโต และจากอุ้งเท้าของหมี จะทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากมือของคนฟีลิสเตียนี้” และซาอูลจึงตรัสแก่ดาวิดว่า “จงไปเถอะ และพระยาห์เวห์จะสถิตอยู่กับเจ้า”

อรรถาธิบาย

วางใจพระเจ้า

ดาวิดเป็นผู้มีความสามารถมาก มีทั้งความสามารถทางธรรมชาติและเหนือธรรมชาติ มีหน้าตาดีและรูปร่างงามและมีสุขภาพดี (ข้อ 16:12) มีความสามารถด้านดนตรี (ข้อ 18) มีความสามารถในการพูด (ข้อ 18) มีความสามารถด้านกีฬา (17:1–37, 18:11) มีความเป็นผู้นำ (18:13) เป็นคนประสบความสำเร็จ (ข้อ 14,30) เป็นคนมีชื่อเสียงดี (ข้อ 30)

ถึงกระนั้น ไม่ใช่เพราะสิ่งที่ดาวิดมีเป็นเหตุผลที่พระเจ้าจะใช้เขา พระยาเวห์ตรัสกับซามูเอลว่า ‘พระยาเวห์ไม่ได้ทอดพระเนตรเหมือนมนุษย์ดู เพราะมนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระยาเวห์ทอดพระเนตรที่จิตใจ’ (ข้อ 16:7)

ดาวิดรู้สึกโกรธการท้าทายของโกลิอัทต่อพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ (ข้อ 17:26) ดาวิดเป็นผู้นำที่กล้าหาญ ดาวิดพูดว่า ‘อย่าให้จิตใจของใครฝ่อไปเพราะชายคนนั้น (โกลิอัท)’ (ข้อ 32) บทเรียนอะไรที่เราได้เรียนรู้จากวิธีการที่ดาวิดจัดการกับโกลิอัท?

  1. ไม่ยอมรับการถูกปฏิเสธ
    เอลีอับกล่าวกับดาวิดว่า ‘เจ้ามาทำอะไรที่นี่! ทำไมไม่ยุ่งเรื่องของตัวเองบ้างและดูแลฝูงแกะที่ผอมแห้งนั่น? ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังทำอะไร เจ้ามาที่นี่เพื่อดูโดยหวังว่าจะได้ที่นั่งริมในศึกนองเลือด!’ (ข้อ 28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ถึงกระนั้นดาวิดก็ ‘หันไป' จาก เอลีอับ (ข้อ 30)

บทเรียนที่เราได้เรียนรู้ คือ ไม่ควรท้อใจถ้าถูกปฏิเสธหรือถูกปฏิบัติไม่ดี ตามที่ จอยซ์ ไมเยอร์ เขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าไม่ได้มองหาคนที่มีความสามรถแต่มองหาคนที่พร้อมที่จะรับใช้.... รักษาใจให้บริสุทธิ์โดยไม่ให้ความเกลียด ความขุ่นเคืองใจ ความขมขื่น ความไม่พอใจ หรือความไม่ให้อภัย มาหยุดเรา’

  1. การมีส่วนร่วม
    ดาวิดกล่าวแก่กษัตริย์ซาอูลว่า ‘อย่าให้จิตใจของใครฝ่อไปเพราะชายคนนั้น ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนี้’ (ข้อ 32) ดาวิดอาสารับใช้ ผมรู้สึกหนุนใจและประทับใจที่คริสตจักรของเราเต็มใจอาสาทำงานรับใช้ต่าง ๆ เช่น การอธิษฐาน งานรับใช้อื่น ๆ และการถวาย

  2. การวางใจพระเจ้า
    ซาอูลตรัสกับดาวิดว่า ‘เจ้าไม่สามารถไปต้านคนฟีลิสเตียนี้ เพื่อสู้รบกับเขา เพราะเจ้าเป็นแต่เด็กหนุ่ม’ (ข้อ 33) แต่ดาวิดทูลซาอูลว่า ‘พระยาเวห์ผู้ทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากอุ้งเท้าของสิงโต และจากอุ้งเท้าของหมี จะทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากมือคนฟีลิสเตียนี้’ (ข้อ 37ก) ดาวิดวางใจพระเจ้าเพราะรู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วย (ข้อ 16:18, 17:37ข, 18:14)

ท้ายที่สุดแล้ว เหตุผลที่ดาวิดจัดการกับโกลิอัทได้คือเขาได้รับการเจิมจากพระเจ้า ‘ซามูเอลนำเขาสัตว์ที่มีน้ำมันเจิมเขาไว้ท่ามกลางพวกพี่ชายของเขา และพระวิญญาณของพระยาเวห์ทรงสวมทับดาวิดราวกับสายลมที่พัดมา พระเจ้าให้กำลังแก่เขาอย่างยิ่งตลอดชีวิตที่เหลือของเขา’ (ข้อ 16:13, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) มีเพียงวิธีเดียวที่คุณสามารถ จัดการกับปัญหาในชีวิต ปัญหาในสังคม และปัญหาในโลกนี้ได้ คือมีการเจิมของพระวิญญาณบริสุทธิ์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขณะที่ข้าพระองค์ เผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ข้าพระองค์ต้องการการเจิมลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการทรงสถิตของพระองค์ โปรดประทานใจกล้าหาญอย่าให้ข้าพระองค์หลีกหนีไป หรือมีใจฝ่อหรือล้มเลิกเลย

เพิ่มเติมโดยพิพพา

1 ซามูเอล 16:7ข

‘พระยาเวห์ไม่ได้ทอดพระเนตรเหมือนมนุษย์ดู เพราะมนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระยาเวห์ทอดพระเนตรที่จิตใจ’

ฉันรู้สึกผิดที่ตัดสินคนที่รูปร่างภายนอก บ่อยครั้งที่ฉันพบเจอคนที่ดูภายนอกเป็นคนไม่ค่อยพูดและถ่อมตัว ฉันแทบไม่สังเกตุเห็นพวกเขา แต่คนเหล่านี้ กำลังเปลี่ยนแปลงโลกรอบ ๆ ตัวเขาให้ไปในทางที่ยอดเยี่ยม

อย่างไรก็ตาม ดาวิดก็มีรูปร่างหน้าตาดี และเป็นคนผิวแดง ๆ ฉันก็รู้สึกประทับใจดาวิดแล้ว!

ข้อพระคำประจำวัน

1 ซามูเอล 16:7

‘พระยาเวห์ไม่ได้ทอดพระเนตรเหมือนที่มนุษย์ดู เพราะมนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระยาเวห์ทอดพระเนตรที่จิตใจ’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม