วัน 139

ความหวังในเวลาที่ยากลำบาก

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 64:1-10
พันธสัญญาใหม่ ยอห์น 11:1-44
พันธสัญญาเดิม 1 ซามูเอล 2:27-4:22

เกริ่นนำ

ผลอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า ทำให้โลกของเรากำลังสั่นคลอน เกือบทุกคนต่างเผชิญกับความกลัว ความเศร้าโศก และบาดแผลทางใจของเรา การจดจ่อกลายเป็นเรื่องยาก การนอนหลับนั้นไม่ง่ายอีกต่อไป ทั้งที่ไม่กี่สัปดาห์ก่อน โดยทั่วไปแล้วชีวิตก็ปลอดภัยดีอยู่ เราอาจเชื่อมต่อกับคนที่เรารักได้ แต่บัดนี้ความคิดของเราไม่อยู่กับร่องกับรอย เรากำลังเศร้าโศกให้กับวิถีชีวิตแบบเดิมของเรา แต่ไม่ว่าสถานการณ์ของคุณจะยากเพียงใด ไม่ว่าคุณกำลังเผชิญ ‘ปัญหา' ในชีวิตมากแค่ไหน คุณก็มีความหวังได้ ความหวังคือความคาดหวังอย่างมั่นใจในพระพรสูงสุดของพระเจ้าในชีวิตนี้และชีวิตที่จะมาถึง บนพื้นฐานของความดีและพระสัญญาของพระเจ้า ในพระเยซูมีความหวังอยู่เสมอ

ปัจุบัน ไม่เพียงแต่เรากำลังเผชิญกับ COVID-19 เท่านั้น เรายังเห็นผลลัพธ์ของสังคมที่พยายามปิดกั้นพระเจ้า ทุกวันนี้ในประเทศอังกฤษมีคู่รักประมาณ 300 คู่หย่าร้างกัน บางคนโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือทุก ๆ หกวินาที ธุรกิจภาพลามกอนาจารมีมูลค่านับพันล้านปอนด์ มีนักบวชคริสเตียนทุกประเภท 30,000 คน และมีแม่มดและหมอดูที่ขึ้นทะเบียนมากกว่า 80,000 คน

อังกฤษไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีปัญหา มีอีกหลายประเทศกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก เช่นเดียวกับในระดับชาติ เราทุกคนมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับปัญหาในชีวิตของเราเอง

ในบางครั้ง ‘ปัญหา’ มีได้หลายรูปแบบ และอะไรคือความหวังของคุณในยามยากลำบาก?

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 64:1-10

คำอธิษฐานขอทรงปกป้องจากศัตรู

ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด

1ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงฟังเสียงข้าพระองค์เมื่อข้าพระองค์ร้องทุกข์
 ขอทรงปกป้องชีวิตข้าพระองค์ไว้จากความหวาดกลัวศัตรู
2ขอทรงซ่อนข้าพระองค์ไว้จากการหารืออย่างลับๆ ของคนชั่วร้าย
 จากการปองร้ายของผู้ทำความชั่ว
3ผู้ลับลิ้นของตนอย่างลับดาบ
 ผู้เอาคำขมขื่นเล็งอย่างลูกธนู
4ยิงคนบริสุทธิ์จากที่ซุ่ม
 ยิงเขาทันทีและไม่กลัวเกรง
5เขาทั้งหลายยึดจุดประสงค์ชั่วของตนไว้มั่น
 พวกเขาพูดถึงการวางกับดักอย่างมิดชิด
 คิดว่า “ใครจะเห็นเราได้?”
6เขาทั้งหลายวางแผนชั่ว กล่าวว่า
 “เราทำแผนเสร็จสมบูรณ์แล้ว”
 เพราะความคิดภายในและจิตใจของมนุษย์นั้นลึกล้ำนัก
7แต่พระเจ้าจะทรงยิงธนูใส่พวกเขา
 เขาจะบาดเจ็บทันที
8พวกเขาทำให้ลิ้นเป็นสิ่งสะดุดแก่เขาเอง
 ทุกคนที่เห็นเขาจะสั่นด้วยความกลัว
9แล้วทุกคนจะกลัวเกรง
 เขาจะประกาศพระราชกิจของพระเจ้า
 และตรึกตรองถึงสิ่งซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำแล้ว
10ให้คนชอบธรรมยินดีในพระยาห์เวห์
 และลี้ภัยในพระองค์
 ให้คนใจเที่ยงธรรมสรรเสริญพระองค์

อรรถาธิบาย

ความหวังที่ความดีมีชัยเหนือความชั่วร้ายในที่สุด

คุณเคยรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่คุณเผชิญในชีวิตหรือไม่? ดาวิดเผชิญกับ ‘ความหวาดกลัวศัตรู’ (ข้อ 1ข พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

ดาวิดผ่านช่วงเวลาแห่งปัญหาอย่างแท้จริง ‘ผู้สมรู้ร่วมคิดตามจับข้าพระองค์’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘จุดประสงค์ชั่ว’ (ข้อ 5ก) และ ‘กับดัก’ (ข้อ 5ข' พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ถึงกระนั้น ดาวิดมั่นใจว่าพระเจ้าจะมีชัยเหนือความชั่ว คุณควรทำอย่างไรเมื่อประสบปัญหาคล้ายกัน? พระธรรมสดุดีวันนี้ให้ความจริงบางอย่างแก่เรา:

  1. ร้องทูลต่อพระเจ้า
    ดาวิดอธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า โปรดฟังและช่วยข้าพระองค์’ (ข้อ 1ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ดาวิดทูลขอพระเจ้า ‘ขอทรงปกป้องชีวิตข้าพระองค์ไว้จากความหวาดกลัวศัตรู’ (ข้อ 1ข)

  2. ยินดีในพระยาห์เวห์
    อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า ‘ยินดีในพระยาห์เวห์’ (ข้อ 10ก) ‘จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด’ (ฟีลิบปี 4:4)

  3. อยู่ใกล้พระองค์ ‘ลี้ภัยในพระองค์’ (สดุดี 64:10ข) ‘โบยบินไปหาพระองค์’ (ข้อ 10ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

  4. สรรเสริญพระเจ้า ‘ให้คนใจเที่ยงธรรมสรรเสริญพระองค์!’ (ข้อ 10ค) ‘จงสรรเสริญให้เป็นนิสัยของท่าน’ (ข้อ 10ค พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์สามารถมั่นใจในที่สุดว่า ความดีมีชัยเหนือความชั่วร้าย และข้าพระองค์ไม่เคยอยู่คนเดียว ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์
พันธสัญญาใหม่

ยอห์น 11:1-44

การตายของลาซารัส

 1มีชายคนหนึ่งชื่อลาซารัสกำลังป่วยอยู่ที่เบธานี ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มารีย์และมารธาพี่สาวของนางอยู่นั้น 2มารีย์คนนี้คือหญิงที่เอาน้ำมันหอมชโลมพระองค์ และเอาผมเช็ดพระบาทของพระองค์ ลาซารัสน้องชายของนางกำลังป่วยอยู่ 3ดังนั้นพี่สาวทั้งสองจึงส่งข่าวไปทูลพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า คนที่พระองค์ทรงรักนั้นกำลังป่วยอยู่” 4แต่เมื่อพระเยซูทรงได้ยิน พระองค์ตรัสว่า “โรคนี้จะไม่ถึงตาย แต่เกิดขึ้นเพื่อเชิดชูพระเกียรติของพระเจ้า เพื่อให้พระบุตรของพระองค์ได้รับเกียรติเพราะโรคนี้”
 5พระเยซูทรงรักมารธาและน้องสาวของนางและลาซารัส 6เมื่อพระองค์ทรงได้ยินว่าลาซารัสป่วย พระองค์กลับทรงพักอยู่ต่ออีกสองวันในที่ที่พระองค์ประทับอยู่นั้น 7หลังจากนั้นพระองค์ตรัสกับพวกสาวกว่า “ให้เรากลับเข้าไปในแคว้นยูเดียกันอีก” 8พวกสาวกทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์ เมื่อเร็วๆ นี้พวกยิวหาโอกาสเอาหินขว้างพระองค์ให้ตาย แล้วพระองค์ยังจะเสด็จไปที่นั่นอีกหรือ?” 9พระเยซูตรัสตอบว่า “กลางวันมีสิบสองชั่วโมงไม่ใช่หรือ? ถ้าใครเดินตอนกลางวันเขาจะไม่สะดุด เพราะเขาเห็นความสว่างของโลกนี้ 10แต่ถ้าใครเดินตอนกลางคืนเขาจะสะดุด เพราะไม่มีความสว่างในตัวเขา” 11พระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ลาซารัสสหายของพวกเราหลับไปแล้ว แต่เรากำลังจะไปปลุกให้เขาตื่น” 12พวกสาวกทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเขาหลับอยู่ เขาก็จะมีอาการดีขึ้น” 13พระเยซูตรัสถึงการตายของลาซารัส แต่พวกสาวกคิดว่าพระองค์ตรัสถึงการนอนหลับพักผ่อน 14ดังนั้นพระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาตรงๆ ว่า “ลาซารัสตายแล้ว 15และเพราะเห็นแก่พวกท่านเราจึงยินดีที่เราไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อท่านจะได้เชื่อ อย่างไรก็ดี ให้พวกเราไปหาเขากันเถิด” 16โธมัสที่เรียกว่า “ดิดุโมสหมายถึง แฝด” จึงพูดกับเพื่อนสาวกว่า “ให้เราไปด้วยกันกับพระองค์เพื่อจะได้ตายกับพระองค์”

พระเยซูทรงเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย

 17เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงก็พบว่าเขาเอาลาซารัสไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพสี่วันแล้ว 18หมู่บ้านเบธานีอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม คือห่างกันประมาณสามกิโลเมตร 19พวกยิวหลายคนมาหามารธาและมารีย์เพื่อปลอบโยนเรื่องน้องชาย 20เมื่อมารธารู้ข่าวว่าพระเยซูกำลังเสด็จมา นางก็ออกไปต้อนรับพระองค์ แต่มารีย์นั่งอยู่ในบ้าน 21มารธาทูลพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย 22แต่ข้าพระองค์ก็ทราบว่าไม่ว่าสิ่งใดที่พระองค์ทูลขอจากพระเจ้าในเวลานี้ พระเจ้าก็จะประทานแก่พระองค์” 23พระเยซูตรัสกับนางว่า “ลาซารัสจะเป็นขึ้นมาอีก” 24มารธาทูลพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ทราบว่าเขาจะเป็นขึ้นในวันสุดท้ายเมื่อคนทั้งปวงจะเป็นขึ้นมา” 25พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป 26และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย เธอเชื่ออย่างนี้ไหม?” 27มารธาทูลพระองค์ว่า “เชื่อ องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าที่เสด็จมาในโลก”

พระเยซูทรงกันแสง

 28เมื่อทูลอย่างนี้แล้ว มารธาก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาว กระซิบว่า “อาจารย์เสด็จมาแล้วและทรงเรียกเธอ” 29เมื่อมารีย์ได้ยิน ก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์ 30ขณะนั้นพระเยซูยังไม่ได้เสด็จเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ยังอยู่ที่ที่มารธาพบพระองค์นั้น 31เมื่อพวกยิวกำลังปลอบโยนมารีย์อยู่ที่บ้าน พวกเขาเห็นมารีย์รีบลุกขึ้นเดินออกไป พวกเขาจึงตามไป นึกว่านางจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์ฝังศพ 32เมื่อมารีย์มาถึงที่ที่พระเยซูประทับอยู่และเห็นพระองค์แล้ว จึงกราบลงที่พระบาทของพระองค์ทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย” 33เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารีย์ร้องไห้ และพวกยิวที่ตามมาก็ร้องไห้ด้วย พระองค์สะเทือนพระทัยและทรงเป็นทุกข์ 34พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านเอาศพของเขาไปไว้ที่ไหน?” พวกเขาทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า เชิญมาดูเถิด” 35พระเยซูทรงกันแสง 36พวกยิวจึงกล่าวว่า “ดูสิว่าท่านรักเขาเพียงไร” 37แต่บางคนก็พูดว่า “ท่านผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็น จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ?”

พระเยซูทรงทำให้ลาซารัส เป็นขึ้นจากตาย

 38พระเยซูสะเทือนพระทัยอีก จึงเสด็จมาถึงอุโมงค์ฝังศพ อุโมงค์นั้นเป็นถ้ำ มีหินก้อนหนึ่งวางปิดปากอุโมงค์ไว้ 39พระเยซูตรัสว่า “จงเอาหินออกเสีย” มารธาพี่สาวของคนตายจึงทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ศพคงจะมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะว่าน้องตายมาสี่วันแล้ว” 40พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า?” 41พวกเขาจึงเอาหินออก พระเยซูแหงนพระพักตร์ขึ้นตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์โปรดฟังข้าพระองค์ 42ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงฟังข้าพระองค์อยู่เสมอ แต่ที่ข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้ก็เพราะเห็นแก่ฝูงชนที่ยืนอยู่ที่นี่ เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา” 43เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า “ลาซารัส ออกมาเถิด” 44คนตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันมือและเท้า และที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงแกะผ้าที่พันออกแล้วปล่อยเขาเถิด”

อรรถาธิบาย

ความหวังในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์

คุณกลัวความตายหรือไม่? หลายคนกลัวความตาย แต่ถ้าคุณเชื่อในพระเยซู คุณไม่จำเป็นต้องกลัวความตาย พระเยซูทรงเอาชนะอำนาจแห่งความตาย

ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินนักแสดงตลกชาวอังกฤษชื่อ รัสเซลล์ แบรนด์ กล่าวว่า 'เสียงหัวเราะเป็นสิ่งเสพติดเพราะความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันทำให้เราหนีไปได้ชั่วเวลาหนึ่ง คือชั่วขณะหนึ่งก็หยุดความกลัวว่าความตายนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้’ มนุษย์ทุกคนจะเผชิญกับ ‘ปัญหา’ ของความตาย แล้วความหวังของคุณอยู่ที่ไหน?

เนื้อหาวันนี้เราจะได้เห็นความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ของพระเยซูเมื่อเผชิญกับความตาย ลาซารัสเป็นสหายของพระองค์ (ข้อ 11) พระเยซูทรงรักลาซารัสและครอบครัวของเขา (ข้อ 3, 5, 36) ทรง ‘สะเทือนพระทัย’ และ ‘เป็นทุกข์’ กับความตายของลาซารัส (ข้อ 33) ข้อที่สั้นที่สุดในพระคัมภีร์ที่เราอ่านคือ ‘พระเยซูทรงกันแสง’ (ข้อ 35)

แต่พระเยซูทรงเป็นคำตอบของความตายอย่างเจาะจง พระเยซูตรัสกับมาร์ธาว่า ‘น้องชายของเจ้าจะฟื้นคืนชีพ’ มาร์ธาตอบว่า ‘ข้าพระองค์รู้ว่าเขาจะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายในวาระสุดท้าย’ คำตอบของพระเยซูคือ ‘เจ้าไม่ต้องรอถึงจุดอวสาน ตอนนี้เราคือ การฟื้นคืนและชีวิต ผู้ที่เชื่อในเราถึงแม้เขาตายไปแล้วก็จะมีชีวิตอยู่ และทุกคนที่เชื่อในเราในที่สุดก็ไม่ตาย’ (ข้อ 24–26, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

มีชีวิตหลังความตาย พระเยซูสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์ ทุกคนที่เชื่อในพระเยซูจะเป็นเป็นขึ้นจากตายอีกครั้ง เพื่อเป็นการทำนายอนาคต พระเยซูทรงทำให้ลาซารัสฟื้นจากความตาย

เรื่องราวของลาซารัสเป็นเรื่องราวของเราแต่ละคน พระเยซูทรงเรียกคุณให้ลุกขึ้นและมีชีวิตอย่างเต็มที่เพื่อให้ชีวิต คือเพื่อนำความหวังมาสู่ครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน และโลก

ฤทธิ์อำนาจแห่งการฟื้นคืนชีวิตอยู่กับคุณ อาจารย์เปาโลเขียนถึงคริสตจักรในโรมว่า ‘ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตายสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายแล้วนั้น จะทรงทำให้กายซึ่งต้องตายของพวกท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน’ (โรม 8:11) การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เป็นพื้นฐานของความหวังในอนาคตของคุณ

ความเชื่อคริสต์เป็นแรงขับเคลื่อนที่ใหญ่ที่สุดตลอดมา เป็นความเชื่อเดียวที่ไม่เคยสูญเสียสมาชิกผ่านความตาย ผมจำได้ว่าลูกชายของผม ตอนที่เขายังเป็นเด็ก เขาพูดว่า ‘เมื่อพ่อตาย ผมจะเสียใจ แล้วผมจะเจอพ่อบนสวรรค์และจะไม่เสียใจอีกต่อไป!’

แม่ชีเทเรซาถูกถามก่อนที่เธอจะเสียชีวิตไม่นานว่า ‘ท่านกลัวตายหรือไม่’ เธอพูดว่า 'ฉันจะกลัวได้อย่างไร การตายคือ การกลับบ้านไปหาพระเจ้า ฉันไม่เคยกลัว ในทางตรงกันข้าม ฉันตั้งตารอมันจริง ๆ!’

ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ยังให้ภาพแห่งความหวังแก่คริสตจักรในทางอ้อม มีความเจ็บป่วยในคนบางคนในคริสตจักร และหลายคนอาจกำลังจะตาย บางคนในคริสตจักรดูเหมือนจะ ‘หลับไป’ (ยอห์น 11:11) และในบางคนดูเหมือนว่าจะมี ‘กลิ่นเหม็น’ (ข้อ 39)

ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้เตือนเราถึงฤทธิ์อำนาจของพระเยซูในการทำให้คนตายกลับมีชีวิต อำนาจการฟื้นคืนพระชนม์นี้ยังคงทำงานอยู่ในคริสตจักรทุกวันนี้ พระเยซูผู้เดียวกันนี้ที่ตรัสกับลาซารัสว่า ‘โรคนี้จะไม่ถึงตาย’ (ข้อ 4) ก็ทรงสัญญาด้วยว่าพระองค์จะ ‘เราจะสร้างคริสตจักรของ(พระองค์)ไว้ และประตูแห่งนรกจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นก็หามิได้’ (มัทธิว 16:18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก King James Version โดยผู้แปล)

บางคนในคริสตจักรดูเหมือนจะถูกฝังก่อนเวลาอันควร พระเยซูตรัสเกี่ยวกับลาซารัสว่า ‘จงแกะผ้าที่พันออกแล้วปล่อยเขาเถิด’ (ยอห์น 11:44ค) บางทีพระเยซูอาจตรัสบางอย่างที่คล้ายกับบางคริสตจักรในปัจจุบัน หนังสือพิมพ์ไบร์ทตัน และโฮฟ อาร์กัส บรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่คริสตจักรของเราแห่งหนึ่งคือ เซนต์ปีเตอร์ เมืองไบรตัน ว่าเป็นการฟื้นตัวเหมือนลาซารัสของ ‘คริสตจักรที่ไม่เป็นทางการ’ ของเมือง เราได้เรียกโครงการการตั้งคริสตจักรของเราว่า ‘โปรเจคลาซารัส’!

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อธิษฐานเผื่อคริสตจักรของพระองค์ โปรดยกโทษให้เราที่เราได้ล่วงหลับไป และกำลังส่งกลิ่นเหม็น พวกข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์สะเทือนพระทัยกับสถานการณ์นี้มาก พระองค์ทรงกันแสงให้กับคริสตจักร และพระองค์จะแสดงออกด้วยความรัก โปรดนำชีวิตใหม่ ขอให้พวกข้าพระองค์ได้เห็นคริสตจักรมีชีวิตขึ้นมาจากทุกประเทศ
พันธสัญญาเดิม

1 ซามูเอล 2:27-4:22

 27ครั้งนั้นมีคนของพระเจ้ามาหาเอลี กล่าวแก่ท่านว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้เผยเราเองจริงๆ ให้แจ้งแก่พงศ์พันธุ์บิดาเจ้า เมื่อพวกเขาอยู่ในอียิปต์ภายใต้พงศ์พันธุ์ของฟาโรห์ 28และเราเลือกเขาออกจากเผ่าอิสราเอลทั้งหมด ให้เป็นปุโรหิตของเราเพื่อขึ้นไปที่แท่นบูชาของเรา เพื่อเผาเครื่องบูชา เพื่อใช้เอโฟดต่อหน้าเรา และเราได้มอบของทั้งหมดที่บูชาด้วยไฟ ซึ่งพวกคนอิสราเอลนำมาถวายนั้นแก่พงศ์พันธุ์บิดาของเจ้า 29เหตุใดพวกเจ้าจึงเหยียบย่ำเครื่องสัตวบูชาของเรา และของที่เขาถวายตามบัญชาสำหรับที่ประทับของเรา และให้เกียรติแก่บุตรทั้งสองของเจ้าเหนือเรา และทำให้ตัวของพวกเจ้าอ้วนพี ด้วยส่วนที่ดีที่สุดจากของถวายทุกรายจากอิสราเอลชนชาติของเรา?’ 30เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลจึงตรัสว่า ‘เราได้พูดจริงๆ ว่าพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้าจะดำเนินต่อหน้าเราเป็นนิตย์’ แต่บัดนี้พระเจ้าทรงประกาศว่า ‘ขอให้การนั้นห่างไกลจากเรา เพราะว่าบรรดาผู้ที่ให้เกียรติแก่เรา เราจะให้เกียรติ และบรรดาผู้ที่ดูหมิ่นเรา พวกเขาจะเป็นผู้ต่ำต้อย 31ดูเถิด วาระนั้นจะมาถึง เมื่อเราจะตัดแขนของเจ้าและตัดแขนของพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้า เพื่อจะไม่มีคนชราในพงศ์พันธุ์ของเจ้า 32เจ้าจะเห็นความทุกข์ร้อนในที่ประทับของเรา และแม้เราจะทำสิ่งที่ดีทั้งปวงแก่อิสราเอล แต่จะไม่มีคนชราในพงศ์พันธุ์ของเจ้าตลอดไป 33ชายคนไหนของเจ้าซึ่งเราไม่ได้ตัดเสียจากแท่นบูชาของเรานั้น เราจะไว้ชีวิตเพื่อให้ตาของเจ้าเต็มด้วยการร้องไห้ และให้จิตใจของเจ้าโศกเศร้าและผลทั้งปวงที่เพิ่มพูนในพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะตายเสียเมื่อวัยฉกรรจ์ 34และสิ่งนี้จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้า ซึ่งจะบังเกิดแก่บุตรทั้งสองของเจ้า คือโฮฟนีและฟีเนหัส ทั้งสองจะสิ้นชีวิตในวันเดียวกัน 35และเราจะตั้งปุโรหิตผู้ซื่อสัตย์ของเราขึ้นมา ผู้จะทำตามสิ่งที่มีอยู่ในจิตในใจของเรา และเราจะสร้างพงศ์พันธุ์ที่มั่นคงให้เขา และเขาจะดำเนินอยู่ต่อหน้าผู้ที่เราเจิมไว้ตลอดไป 36และทุกคนที่ยังเหลืออยู่ในพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมาก้มลงไหว้เขา ขอเงินเหรียญหนึ่งและขนมปังก้อนหนึ่ง และจะกล่าวว่า “ขอท่านกรุณาตั้งข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งปุโรหิตสักครั้งเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับประทานเศษขนมปังบ้าง” ’ ”

1 ซามูเอล 3

พระเจ้าทรงเรียกซามูเอล

 1เด็กชายซามูเอลปรนนิบัติพระยาห์เวห์ต่อหน้าเอลี ในสมัยนั้นพระดำรัสของพระยาห์เวห์มีมาแต่น้อย ไม่มีนิมิตบ่อยนัก
 2อยู่มาครั้งนั้นเอลีนอนอยู่ในที่นอนของท่าน (ตาของท่านเริ่มมัว มองไม่เห็นอะไร) 3ตะเกียงของพระเจ้ายังไม่ดับ ซามูเอลนอนอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ที่ที่หีบของพระเจ้าอยู่ที่นั่น 4พระยาห์เวห์ทรงเรียกซามูเอลและซามูเอลทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่” 5เขาจึงวิ่งไปหาเอลีและว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่ ท่านเรียกข้าพเจ้า” แต่เอลีตอบว่า “เราไม่ได้เรียกเจ้า จงกลับไปนอน” เขาก็ไปนอน 6และพระยาห์เวห์ทรงเรียกขึ้นอีกว่า “ซามูเอลเอ๋ย” และซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลีกล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่ ท่านเรียกข้าพเจ้า” แต่เอลีตอบว่า “ลูกเอ๋ย เราไม่ได้เรียกเจ้า จงกลับไปนอน” 7ซามูเอลไม่เคยรู้จักพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ยังไม่เคยทรงสำแดงพระดำรัสของพระองค์แก่เขา 8และพระยาห์เวห์ทรงเรียกซามูเอลครั้งที่สาม ซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลี กล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่ ท่านเรียกข้าพเจ้า” แล้วเอลีจึงเข้าใจว่า พระยาห์เวห์ทรงเรียกเด็กนั้น 9เพราะฉะนั้นเอลีจึงพูดกับซามูเอลว่า “จงไปนอนเสีย และถ้าพระองค์ทรงเรียกเจ้า ให้เจ้าทูลว่า ‘พระยาห์เวห์เจ้าข้า ขอตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่’ ” ซามูเอลจึงกลับไปนอนในที่ของเขา
 10และพระยาห์เวห์เสด็จมาทรงยืนอยู่ ทรงเรียกอย่างครั้งก่อนๆ ว่า “ซามูเอล ซามูเอลเอ๋ย” และซามูเอลทูลตอบว่า “ขอตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่” 11แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับซามูเอลว่า “ดูเถิด เราจะทำสิ่งหนึ่งในอิสราเอล หูของทุกคนที่ได้ยินจะอื้อไป 12ในวันนั้นเราจะทำทุกสิ่งที่เรากล่าวไว้เกี่ยวกับพงศ์พันธุ์ของเอลีให้สำเร็จ ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด 13ดังนั้นเราจึงประกาศแก่เขาว่า เราเองจะลงโทษพงศ์พันธุ์ของเขาเป็นนิตย์ เพราะความบาปชั่วซึ่งเขารู้แล้ว เพราะบุตรทั้งสองของเขานำคำสาปแช่งมาสู่ตน และเขาก็ไม่ได้ห้ามปราม 14เพราะฉะนั้นเราจึงปฏิญาณต่อพงศ์พันธุ์ของเอลีว่า ความบาปชั่วของพงศ์พันธุ์เอลีนั้นจะลบล้างเสียด้วยเครื่องสัตวบูชาและของถวายไม่ได้ตลอดไป”
 15ซามูเอลนอนอยู่จนรุ่งเช้า เขาเปิดประตูพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และซามูเอลก็กลัวไม่กล้าบอกนิมิตนั้นแก่เอลี 16เอลีก็เรียกซามูเอลมากล่าวว่า “ซามูเอลลูกเอ๋ย” และซามูเอลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่” 17และเอลีถามว่า “เรื่องอะไรนะที่พระองค์ทรงบอกเจ้า? ขออย่าปิดบังไว้จากเราเลย ถ้าเจ้าปิดบังสิ่งใดไว้จากเราในเรื่องทั้งสิ้นที่พระองค์ทรงบอกแก่เจ้าก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษเจ้า และทรงเพิ่มโทษมากขึ้น” 18ดังนั้นซามูเอลจึงเล่าเรื่องทุกอย่างแก่เอลี ไม่ได้ปิดบังอะไรไว้จากท่าน และเอลีว่า “พระองค์คือพระยาห์เวห์ ขอทรงทำสิ่งที่ทรงเห็นว่าดีเถิด”
 19และซามูเอลก็เติบโตขึ้น และพระยาห์เวห์สถิตกับท่านไม่ให้วาจาทั้งหมดของท่านตกไปเปล่า 20และชนอิสราเอลทั้งปวง ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบาก็ทราบว่า ซามูเอลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ 21และพระยาห์เวห์ทรงปรากฏอีกที่ชิโลห์ เพราะพระยาห์เวห์ทรงสำแดงพระองค์แก่ซามูเอลที่ชิโลห์ โดยพระดำรัสของพระยาห์เวห์ และถ้อยคำของซามูเอลมาถึงคนอิสราเอลทั้งปวง

1 ซามูเอล 4

คนฟีลิสเตียยึดหีบพันธสัญญา

 1คนอิสราเอลยกกองทัพออกไปทำสงครามกับพวกฟีลิสเตีย ตั้งค่ายอยู่ข้างเอเบนเอเซอร์ พวกคนฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ในอาเฟก 2พวกฟีลิสเตียจัดพลเป็นแนวเข้าต่อสู้กับอิสราเอล และเมื่อสงครามขยายวงออกไป อิสราเอลก็พ่ายแพ้แก่พวกฟีลิสเตีย พวกเขาฆ่าชายอิสราเอลประมาณ 4,000 คนในสนามรบ 3และเมื่อพวกทหารกลับมาสู่ค่าย พวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลกล่าวว่า “ทำไมพระยาห์เวห์จึงทรงให้เราพ่ายแพ้แก่พวกฟีลิสเตียในวันนี้? ให้เราไปนำหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์มาจากเมืองชิโลห์เถิด เพื่อว่าพระองค์จะเสด็จมาท่ามกลางเรา และทรงช่วยพวกเราให้พ้นจากมือศัตรู” 4ประชาชนจึงใช้คนไปที่เมืองชิโลห์ และพวกเขานำหีบพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์จอมทัพ ผู้ประทับเหนือเครูบมาจากที่นั่น บุตรทั้งสองของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัส ก็อยู่กับหีบพันธสัญญาของพระเจ้าที่นั่น
 5เมื่อหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์มาที่ค่าย แล้วคนอิสราเอลทั้งสิ้นก็โห่ร้องเสียงดังจนแผ่นดินก้องไปด้วยเสียงนั้น 6และเมื่อพวกฟีลิสเตียได้ยินเสียงโห่ร้องเช่นนั้น เขาก็กล่าวว่า “เสียงโห่ร้องอึกทึกครึกโครมในค่ายของพวกฮีบรูนั้นหมายความว่าอะไรกัน” พอพวกเขาทราบว่าหีบพระยาห์เวห์มาที่ค่ายแล้ว 7พวกฟีลิสเตียก็กลัวเพราะพวกเขากล่าวว่า “พระเจ้าได้เสด็จมาที่ค่ายแล้ว” และพวกเขากล่าวว่า “วิบัติแก่พวกเราเพราะแต่ก่อนไม่เคยเกิดเรื่องอย่างนี้เลย 8วิบัติแก่พวกเรา ใครจะช่วยกู้พวกเราจากพระอันทรงฤทธานุภาพเหล่านี้ได้ พระเหล่านี้เป็นผู้ที่ฆ่าฟันชาวอียิปต์ด้วยภัยพิบัติทุกชนิดในถิ่นทุรกันดาร 9โอ พวกฟีลิสเตียเอ๋ยจงกล้าหาญเถิด จงเป็นลูกผู้ชาย เพื่อพวกเจ้าจะไม่เป็นทาสของพวกฮีบรูดังที่พวกเขาเคยเป็นทาสพวกเจ้า จงเป็นลูกผู้ชายและเข้ารบ” 10เพราะฉะนั้นพวกฟีลิสเตียจึงสู้รบและอิสราเอลก็พ่ายแพ้ ต่างก็หนีไปยังเต็นท์ของเขา ครั้งนั้นมีการฆ่าฟันกันหนักมาก เพราะทหารราบของอิสราเอลตายเสีย 30,000 คน 11และหีบของพระเจ้าถูกยึดไป และบุตรทั้งสองของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัสก็ตายด้วย

เอลีตาย

 12ผู้ชายเผ่าเบนยามินคนหนึ่งวิ่งไปจากแนวรบมาถึงชิโลห์ ในวันเดียวกัน เสื้อผ้าขาดและดินก็อยู่บนศีรษะของเขา 13เมื่อเขามาถึงนั้น นี่แน่ะ เอลีอยู่บนที่นั่งข้างถนนคอยเฝ้าอยู่ เพราะจิตใจของท่านหวาดกลัวเกี่ยวกับเรื่องหีบของพระเจ้า เมื่อชายคนนั้นเข้ามาในเมืองและบอกข่าว ชาวเมืองทั้งสิ้นก็ร้องลั่น 14เมื่อเอลีได้ยินเสียงร้องดังลั่นเช่นนั้นก็ถามว่า “เสียงอึกทึกครึกโครมนี้เป็นเสียงอะไรกัน?” แล้วชายคนนั้นก็รีบเข้ามาบอกเอลี 15เอลีมีอายุ 98 ปี ตาของท่านมัวมองอะไรไม่เห็น 16ชายคนนั้นบอกเอลีว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนที่มาจากแนวรบ ข้าพเจ้าเองหนีมาจากแนวรบวันนี้” เอลีก็ถามว่า “ลูกเอ๋ยเป็นอย่างไรบ้าง?” 17ผู้ส่งข่าวนั้นก็ตอบว่า “อิสราเอลหนีต่อหน้าพวกฟีลิสเตียไปแล้ว มีการฆ่าฟันกันมากท่ามกลางประชาชน ยิ่งกว่านั้นบุตรทั้งสองของท่าน คือโฮฟนีและฟีเนหัสก็ตาย และหีบของพระเจ้าถูกยึดไปแล้ว” 18เมื่อเขากล่าวถึงหีบของพระเจ้า เอลีก็หงายหลังตกจากที่นั่งที่อยู่ข้างประตู ท่านก็คอหักตาย เพราะท่านชรามากและตัวก็หนัก ท่านได้วินิจฉัยคนอิสราเอลอยู่ 40 ปี
 19บุตรสะใภ้ของท่าน คือภรรยาของฟีเนหัสมีครรภ์ใกล้คลอดบุตร และเมื่อนางได้ยินข่าวว่าหีบของพระเจ้าถูกยึดไป และพ่อสามีและสามีของนางก็ตายไป นางก็โน้มตัวลงและคลอดบุตร เพราะความเจ็บปวดเกิดขึ้นแก่นาง 20เมื่อนางกำลังจะตายนั้น พวกผู้หญิงที่เฝ้านางอยู่ได้บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเจ้ามีลูกผู้ชายคนหนึ่ง” แต่นางไม่ตอบไม่สนใจ 21นางให้ชื่อเด็กนั้นว่า อีคาโบดกล่าวว่า “พระสิริพรากไปจากอิสราเอลแล้ว” เพราะหีบของพระเจ้าถูกยึดไป และเพราะเรื่องพ่อสามีและสามีของนาง 22และนางกล่าวว่า “พระสิริพรากจากอิสราเอลแล้ว เพราะหีบของพระเจ้าถูกยึดไป”

อรรถาธิบาย

ความหวังในโลกนี้ในพระเจ้า

คุณตระหนักหรือไม่ว่าพระเจ้าต้องการพูดกับคุณ? คุณสามารถพูดเหมือนซามูเอลว่า ‘พระยาห์เวห์เจ้าข้า ขอตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่’ (ข้อ 3:9)

สิ่งเหล่านี้เป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยาก ไม่ใช่แค่สำหรับประชากรของพระเจ้าเท่านั้น แต่สำหรับเราทุกคน (ข้อ 4:7) เป็นเวลาที่ดูเหมือนว่าพระเจ้าเกือบจะนิ่งเงียบ ‘ในสมัยนั้นพระดำรัสของพระยาห์เวห์มีมาแต่น้อย ไม่มีนิมิตบ่อยนัก’ (ข้อ 3:1)

เอลีคงจะเสียใจมากที่เห็นบุตรชายของตนดูหมิ่นพระเจ้า พวกเขานอนกับพวกผู้หญิงที่ปรนนิบัติที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ (ข้อ 2:22) พวกเขาดูหมิ่นพระเจ้าผู้ทรงตรัสว่า ‘เพราะว่าบรรดาผู้ที่ให้เกียรติแก่เรา เราจะให้เกียรติ และบรรดาผู้ที่ดูหมิ่นเรา พวกเขาจะเป็นผู้ต่ำต้อย’ (ข้อ 30)

เนื่องจากการดูหมิ่นพระเจ้า ผู้คนของพระเจ้าจึงล้มลง (4:1ข–11) เอลีตายด้วยใจสลาย (ข้อ 12–18) ลูกสะใภ้ของเขาให้กำเนิดบุตรชายที่ชื่ออีคาโบด:’พระสิริพรากไปจากอิสราเอลแล้ว’ (ข้อ 19–22)

ถึงกระนั้น ท่ามกลางช่วงเวลาอันน่าสะพรึงกลัวเหล่านี้สำหรับผู้คนของพระเจ้า ยังมีความหวัง พระเจ้าทรงเรียกซามูเอล (ข้อ 3:4) พระเจ้าเปิดเผยพระองค์ต่อซามูเอลและเขาฟังพระเจ้า (ข้อ 9-10) เขากล่าวว่า ‘โปรดตรัสเถิดพระเจ้า ข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์พร้อมที่จะฟัง’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเจ้าตรัสว่า ‘ดูเถิด เราจะทำสิ่งหนึ่งในอิสราเอล หูของทุกคนที่ได้ยินจะอื้อไป’ (ข้อ 11)

ซามูเอลถูกเตรียมที่จะส่งต่อข้อความอย่างครบถ้วน ไม่ว่าข้อความนี้จะไม่เป็นที่ชื่นชอบ น่าอาย และยากลำบากเพียงใด (ข้อ 18) เขาไม่ได้ปิดบังอะไร ผลลัพธ์ก็คือ พระเจ้าสามารถใช้เขาได้อย่างมากมาย ‘ซามูเอลก็เติบโตขึ้น และพระยาห์เวห์สถิตกับท่านไม่ให้วาจาทั้งหมดของท่านตกไปเปล่า’ (ข้อ 19)

คำอธิษฐาน

‘พระยาห์เวห์เจ้าข้า ขอตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่’ (ข้อ 9) โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ตั้งใจฟังพระวจนะของพระเจ้าแล้วส่งต่อเพื่อคนอื่นจะได้หวังในพระวจนะของพระเจ้าด้วย

เพิ่มเติมโดยพิพพา

1 ซามูเอล 3

ฉันปรารถนาจะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น พระเจ้าเริ่มตรัสกับซามูเอลตั้งแต่ยังเป็นเด็ก บางทีฉันอาจจะได้ยินพระเจ้ามากขึ้นถ้าในหัวของฉันไม่มีเรื่องยุ่งเหยิงกับหลายสิ่งหลายอย่าง ซามูเอลไม่มีสิ่งที่ทำให้ไขว้เขวตามปกติของชีวิต เขามีโลกน้อยลงและมีพระเจ้ามากขึ้น

ข้อพระคำประจำวัน

ยอห์น 11:25

‘เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม