วัน 137

รู้จักพระเจ้าในฐานะบิดา

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 62:1-12
พันธสัญญาใหม่ ยอห์น 9:35-10:21
พันธสัญญาเดิม รูธ 3:1-4:22

เกริ่นนำ

  • อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตที่นำมาซึ่งความสุข ความยินดี และความพึงพอใจ มากกว่าสิ่งอื่นใด? การรู้จักพระเจ้า
  • คุณเกิดมาเพื่ออะไร? เพื่อรู้จักพระเจ้า
  • คุณควรตั้งเป้าหมายในชีวิตอย่างไร? เพื่อรู้จักพระเจ้า

นี่คือคำถามที่ เจ.ไอ. แพ็คเกอร์ ตั้งขึ้นในตอนเริ่มต้นของหนังสือ Knowing God ที่ทรงอิทธิพลของเขา พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา เหมือนอย่างที่พระบิดาทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา” (ยอห์น 10:14)

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 62:1-12

วางใจในพระเจ้าพระองค์เดียว

ถึงหัวหน้านักร้อง ตามทำนองเยดูธูน เพลงสดุดีของดาวิด

1จิตใจของข้าพเจ้าสงบคอยพระเจ้าเท่านั้น
 ความรอดของข้าพเจ้ามาจากพระองค์
2พระองค์เท่านั้นทรงเป็นศิลาและความรอดของข้าพเจ้า
 ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหวเลย
3พวกเจ้าจะโจมตีคนคนหนึ่งนานสักเท่าใด?
 เจ้าทุกคนจะถูกสังหาร
 เจ้าจะเหมือนกำแพงที่เอนและรั้วที่โยกเยก
4พวกเขาคิดแต่จะผลักท่านลงมาจากตำแหน่งสูง
 เขาพอใจในความเท็จ
เขาอวยพรด้วยปาก
 แต่แช่งอยู่ในใจ
5จิตใจของข้าพเจ้าสงบคอยพระเจ้าเท่านั้น
 เพราะความหวังของข้าพเจ้ามาจากพระองค์
6พระองค์เท่านั้นทรงเป็นศิลาและความรอดของข้าพเจ้า
 ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว
7สวัสดิภาพและเกียรติของข้าพเจ้าอยู่ที่พระเจ้า
 ศิลาแข็งแกร่งและที่ลี้ภัยของข้าพเจ้าคือพระเจ้า
8ประชาชนเอ๋ย จงวางใจในพระองค์ตลอดเวลา
 จงระบายความในใจของท่านต่อพระองค์
 พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยของเรา
9คนฐานะต่ำก็เป็นเพียงแต่ลมหายใจ
 คนฐานะสูงก็เป็นภาพลวงตา
เมื่อชั่งดู เขาก็ลอยขึ้น
 เขารวมกันยังเบากว่าลมหายใจ
10อย่าวางใจในการบีบบังคับ
 อย่าหวังลมๆ แล้งๆ จากการปล้น
 ถ้าความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น ก็อย่าวางใจในสิ่งนั้น
11พระเจ้าตรัสครั้งหนึ่ง
 ข้าพเจ้าได้ยินอย่างนี้สองครั้งแล้ว
 ว่าฤทธานุภาพเป็นของพระเจ้า
12ข้าแต่องค์เจ้านาย ความรักมั่นคงเป็นของพระองค์
 เพราะพระองค์เองทรงตอบแทนแต่ละคน
 ตามการงานของเขา

อรรถาธิบาย

วางใจพระองค์ตลอดเวลา

เป็นเรื่องง่ายที่จะวางใจพระเจ้าเมื่อสิ่งต่าง ๆ เป็นไปด้วยดี ดาวิดเร้าใจว่า ‘จงวางใจ ขอความช่วยเหลือ พึ่งพา และเชื่อมั่นในพระองค์ตลอดเวลา (ข้อ 8ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) การวางใจในพระเจ้าตลอดเวลาหมายถึงการวางใจพระองค์ ไม่เฉพาะเมื่อสิ่งต่าง ๆ เป็นไปด้วยดีเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการวางใจในพระองค์เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่ดีด้วย คุณจะพัฒนาลักษณะนิสัยการวางใจพระเจ้าเมื่อคุณกำลังเผชิญกับปัญหาในชีวิตของคุณ

การรู้จักพระเจ้าและวางใจพระองค์ นำไปสู่สิ่งต่าง ๆ ดังนี้

  1. จิตใจที่สงบ ท่ามกลางความกลัวและความกระวนกระวายใจ คุณสามารถพบสันติสุขได้ ‘จิตใจของข้าพเจ้าสงบคอยพระเจ้าเท่านั้น...จิตใจของข้าพเจ้าสงบคอยพระเจ้าเท่านั้น’ (ข้อ 1, 5)

  2. ความรอด ความรอดได้รับด้วยความเชื่อ ‘ความรอดของข้าพเจ้ามาจากพระองค์ พระองค์เท่านั้นทรงเป็นศิลาและความรอดของข้าพเจ้า สวัสดิภาพและเกียรติของข้าพเจ้าอยู่ที่พระเจ้า’ (ข้อ 1ข–2ก, 7ก)

  3. ความปลอดภัย ทุกสิ่งไม่แน่นอน และสุดท้ายจะไม่มีความมั่นคง แต่พระเจ้า ‘ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหวเลย...ศิลาแข็งแกร่งและที่ลี้ภัยของข้าพเจ้าคือพระเจ้า’ (ข้อ 2ข, 6ข–7ข)

ดาวิดเปรียบเทียบความรักของพระเจ้ากับเงินเช่นเดียวกับพระเยซู คือ ‘ถ้าความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น ก็อย่าวางใจในสิ่งนั้น’ (ข้อ 10) เมื่อผมเริ่มฝึกเป็นทนายความ ผมเขียนสิ่งนี้ไว้ตรงขอบของพระคัมภีร์ว่า ‘นี่เป็นข้อความสำคัญสำหรับผมในเวลานี้ เป็นเรื่องง่ายในสมัยเป็นนักศึกษาที่จะไม่คิดถึงเรื่องเงิน แต่ตอนนี้เมื่อเงินเริ่มเข้ามา ผมพบว่าตัวเองกำลังคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ พูดถึงเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ การต่อสู้นั้นดุเดือด แรงดึงดูดของโลกนั้นแข็งแกร่งมาก ไม่ว่าคุณจะจดจ่อกับพระเจ้าหรือเงินก็ตาม’

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ขอให้จิตใจของข้าพระองค์พักสงบในพระองค์ผู้เดียว ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงสัญญาว่า ข้าพระองค์จะไม่หวั่นไหว ข้าพระองค์วางใจในวันนี้
พันธสัญญาใหม่

ยอห์น 9:35-10:21

ความบอดทางจิตวิญญาณ

 35พระเยซูทรงได้ยินว่าพวกยิวไล่คนนั้นออกไปแล้ว เมื่อพระองค์ทรงพบเขาจึงตรัสว่า “ท่านวางใจในบุตรมนุษย์หรือ?” 36ชายคนนั้นทูลตอบว่า “ท่านเจ้าข้า ใครคือบุตรมนุษย์ที่ข้าพเจ้าจะวางใจได้?” 37พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ท่านเห็นผู้นั้นแล้ว คือผู้ที่กำลังพูดอยู่กับท่าน” 38เขาจึงทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์วางใจ” แล้วเขาก็กราบไหว้พระองค์ 39พระเยซูตรัสว่า “เราเข้ามาในโลกเพื่อการพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด” 40เมื่อพวกฟาริสีที่อยู่ใกล้พระองค์ได้ยินอย่างนั้นจึงกล่าวแก่พระองค์ว่า “เราตาบอดด้วยหรือ?” 41พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้าพวกท่านตาบอด ท่านก็จะไม่มีบาป แต่พวกท่านพูดเดี๋ยวนี้เองว่า ‘เรามองเห็น’ เพราะฉะนั้นบาปของท่านยังมีอยู่

ยอห์น 10

อุปมาเรื่องคอกแกะ

 1“เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่ไม่ได้เข้าไปในคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าไปทางอื่นนั้นเป็นขโมยและโจร 2แต่คนที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ 3คนเฝ้าประตูจึงเปิดประตูให้คนนั้น แกะย่อมฟังเสียงของท่าน ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป 4เมื่อท่านต้อนแกะของท่านออกไปหมดแล้วก็เดินนำหน้า และแกะก็ตามไปเพราะรู้จักเสียงของท่าน 5ส่วนคนอื่นแกะจะไม่ตามเลย แต่จะหนีจากเขา เพราะไม่รู้จักเสียงของคนอื่น” 6เรื่องเปรียบนี้พระเยซูตรัสกับพวกเขา แต่เขาเหล่านั้นไม่เข้าใจความหมายของพระดำรัสที่พระองค์ตรัสกับเขาเลย

พระเยซูทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี

 7พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาอีกว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า เราเป็นประตูของแกะทั้งหลาย 8ทุกคนที่มาก่อนเรานั้นเป็นขโมยและโจร แต่ฝูงแกะไม่ได้ฟังพวกเขา 9เราเป็นประตู ถ้าใครเข้าไปทางเรา คนนั้นจะรอด เขาจะเข้าออกแล้วก็จะพบอาหาร 10ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลัก ฆ่า และทำลาย เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์ 11เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ 12คนที่รับจ้างไม่ได้เป็นผู้เลี้ยงแกะ ฝูงแกะไม่ได้เป็นของเขา เมื่อเห็นสุนัขป่ามาเขาจึงละทิ้งฝูงแกะหนีไป สุนัขป่าก็ไล่กัดกินพวกแกะจนกระจัดกระจาย 13เขาหนีเพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้างและไม่ได้เป็นห่วงแกะเลย 14เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา 15เหมือนอย่างที่พระบิดาทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา และเราสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ 16แกะอื่นที่ไม่ได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู่ แกะพวกนั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะพวกนั้นจะฟังเสียงของเราแล้วจะรวมเป็นฝูงเดียวและมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว 17เพราะเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก 18ไม่มีใครชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตตามที่เราตั้งใจเอง เรามีสิทธิอำนาจที่จะสละชีวิตนั้นและมีสิทธิอำนาจที่จะรับคืนมาอีก คำกำชับนี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา”
 19คำสอนเหล่านี้ทำให้พวกยิวแตกคอกันอีก 20พวกเขาหลายคนพูดว่า “เขามีผีสิงและเป็นบ้า ไปฟังเขาทำไม?” 21คนอื่นๆ ก็พูดว่า “คำสอนแบบนี้ไม่ได้เป็นของคนที่มีผีสิง ผีจะทำให้คนตาบอดมองเห็นได้หรือ?”

อรรถาธิบาย

ชื่นชมยินดีในชีวิตได้อย่างเต็มที่

ผมคิดว่าการเป็นคริสเตียนหมายถึงจุดจบของความชื่นชมยินดีในชีวิต อันที่จริงผมพบสิ่งที่ตรงกันข้าม พระเยซูตรัสว่าพระองค์เสด็จมาเพื่อเราจะได้ ‘เริงร่ากับชีวิตและมีชีวิตอย่างบริบูรณ์ (อย่างเต็มที่จนล้น)’ (10:10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

ชายที่หายจากการตาบอดนั้นไม่มีปัญหาในการวางใจในพระเยซู เมื่อพระเยซูพบเขาแล้วตรัสถามว่า ‘ท่านวางใจในบุตรมนุษย์หรือ?’ (9:35) ชายคนนั้นทูลตอบว่า ‘ท่านเจ้าข้า ใครคือบุตรมนุษย์ที่ข้าพเจ้าจะวางใจได้?’ (ข้อ 36)พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘“ท่านเห็นผู้นั้นแล้ว คือผู้ที่กำลังพูดอยู่กับท่าน”’ เขาจึงทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์วางใจ” แล้วเขาก็กราบไหว้พระองค์’ (ข้อ 37–38) ในพระเยซูชายคนนั้นตระหนักว่าเขาได้พบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าคุณเองก็สามารถพบกับพระเจ้าได้ผ่านทางพระเยซู

พระเยซูทรงอธิบายว่าคุณสามารถพบกับพระเจ้าได้โดยผ่านทางพระองค์เอง ทรงตรัสโดยเปรียบเทียบผ่านทางสองอุปมา อุปมาแรกทรงเปรียบพระองค์เองเป็นดั่ง ‘ประตู’ (10:1) คำว่า 'thura' ในภาษากรีกอาจแปลว่า ‘ประตู’ ได้ดีกว่า พระเยซูทรงเป็นประตูของแกะทั้งหลายที่เข้ามาและพบความรอด (ข้อ 9) ทรงเป็นประตูไปสู่พระบิดา ประตูที่จะได้มารู้จักพระเจ้า คือ ผ่านทางการรู้จักพระเยซู

อุปมาที่สองพระองค์ทรงเปรียบเทียบพระองค์เองเป็นดั่งผู้เลี้ยงที่ดี คำภาษากรีกแปลว่า ดี (kalos) (คาลอส) หมายถึง ‘สวย’, ‘สูงส่ง’, ‘ยอดเยี่ยม’ แกะรู้จักผู้เลี้ยงแกะ: ‘เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา เหมือนอย่างที่พระบิดาทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา’ (ข้อ 14–15) ที่มาของเรื่องนี้ก็คือพระเจ้าเองทรงอธิบายว่าพระองค์เป็นผู้เลี้ยงแกะในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม (สดุดี 23:1, อิสยาห์ 40:11) การรู้จักพระเยซูคือการรู้จักพระเจ้า

  • ชื่นชมยินดีในชีวิตที่ครบบริบูรณ์
    ในความสัมพันธ์กับพระเยซู คุณจะพบความหมาย วัตถุประสงค์ การเติมเต็ม สันติสุข การให้อภัย และชีวิตอย่างบริบูรณ์

  • อย่าให้มารมาปล้นคุณ
    พระเยซูทรงเปรียบเทียบพระองค์เองว่า ‘ขโมย’ มาเพื่อ ‘ลัก ฆ่า และทำลาย’ (ยอห์น 10:10ก) มารต้องการปล้นความสงบสุขและความเพลิดเพลินในชีวิตของคุณ อย่าปล่อยให้มารทำเช่นนั้น

  • มั่นใจในความรักของพระเจ้าที่มีต่อคุณ
    พระเยซูยังเปรียบเทียบผู้เลี้ยงแกะที่ดีกับ ‘คนที่รับจ้าง’ ซึ่งเมื่อหมาป่าโจมตีฝูงแกะ เขาก็วิ่งหนีไปเพราะเขาไม่สนใจแกะ (ข้อ 12–13)

ในทางกลับกัน ผู้เลี้ยงที่ดียอมสละชีวิตเพื่อฝูงแกะของตน (ข้อ 11,15) นี่เป็นการเสียสละโดยความเต็มใจ: ‘เพราะเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก ไม่มีใครชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตตามที่เราตั้งใจเอง’ (ข้อ 17–18) หากคุณเคยสงสัยว่าพระเจ้ารักคุณ คุณเพียงแค่มองไปที่ไม้กางเขน พระเยซูทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อคุณ

พระเยซูเสด็จมาเพื่อสละชีวิตบนไม้กางเขนเพื่อขจัดอุปสรรคทั้งหมดที่ขัดขวางไม่ให้คุณรู้จักและเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าในฐานะพระบิดาของคุณ

  • เรียนรู้ที่จะฟังเสียงพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณตามธรรมชาติของแกะที่จะจำเสียงผู้เลี้ยงได้ ‘แกะย่อมฟังเสียงของท่าน ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป เมื่อท่านต้อนแกะของท่านออกไปหมดแล้วก็เดินนำหน้า และแกะก็ตามไปเพราะรู้จักเสียงของท่าน’ (ข้อ 3–4)

ยิ่งคุณรู้จักพระเยซูมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งแยกแยะได้ว่าเป็นเสียงของพระองค์มากกว่าเสียงล่อลวงของหมาป่า

  • รู้ไว้ว่าคุณได้รับชีวิตนิรันดร์ พระองค์ผู้ที่คุณรู้จักไม่เพียงแต่ตายเพื่อคุณเท่านั้น แต่ยังเป็นขึ้นมาจากความตายเพื่อคุณด้วย ทรงมีฤทธิ์อำนาจที่จะรับเอาชีวิตตัวเองอีกครั้ง ‘เรามีสิทธิอำนาจที่จะสละชีวิตนั้นและมีสิทธิอำนาจที่จะรับคืนมาอีก’ (ข้อ 18ข) พระองค์ทรงประทานชีวิตนิรันดร์แก่คุณ

ต่อมาพระเยซูได้นิยามชีวิตนิรันดร์ดังนี้: 'และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือการที่พวกเขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา ' (17:3)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์มากจนยอมสละชีวิตเพื่อข้าพระองค์ ขอบพระคุณที่ทรงประทานชีวิต และชีวิตที่เต็มบริบูรณ์แก่ข้าพระองค์
พันธสัญญาเดิม

รูธ 3:1-4:22

นางรูธและโบอาสที่ลานนวดข้าว

 1นาโอมีแม่สามีพูดกับนางว่า “ลูกเอ๋ย แม่ควรจะหาที่พักพิงให้เจ้า เพื่อเจ้าจะได้มีความสุขไม่ใช่หรือ? 2โบอาสผู้ที่เจ้าไปกับพวกสาวใช้ของเขานั้น เป็นญาติของเราไม่ใช่หรือ? ดูซิ คืนนี้เขาจะฝัดข้าวบาร์เลย์ที่ลานนวดข้าว 3จงอาบน้ำ ทาน้ำมันหอม สวมเครื่องแต่งกายแล้วลงไปที่ลานนวดข้าว แต่อย่าให้เขารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นั่นจนกว่าเขาจะรับประทานและดื่มเสร็จแล้ว 4เขานอนที่ไหนจงสังเกตไว้ให้ดี แล้วจงไปเปิดผ้าคลุมเท้าขึ้นและจงนอนที่นั่น ต่อไปเขาจะบอกเจ้าเองว่า เจ้าต้องทำอะไร” 5นางตอบว่า “ลูกจะทำตามที่แม่บอกทุกอย่าง”
 6ดังนั้นนางจึงลงไปยังลานนวดข้าว และทำตามที่แม่สามีสั่งทุกอย่าง 7เมื่อโบอาสรับประทานและดื่มจนสุขใจแล้ว ท่านก็ไปนอนอยู่ที่ปลายกองข้าว แล้วนางก็ย่องเข้ามา เปิดผ้าคลุมเท้าของท่านขึ้น และนอนลง 8พอถึงเที่ยงคืน โบอาสก็ตกใจตื่นพลิกตัว ดูสิ มีผู้หญิงนอนอยู่ที่เท้าของท่าน 9ท่านจึงถามว่า “เจ้าเป็นใคร?” นางตอบว่า “ดิฉันคือรูธคนใช้ของท่านค่ะ ขอให้ท่านกางชายเสื้อคลุมของท่านห่มสาวใช้ของท่านด้วย เพราะท่านเป็นญาติสนิท” 10ท่านจึงว่า “ลูกเอ๋ย ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรเจ้า ความภักดีของเจ้าครั้งหลังนี้ก็ดีกว่าครั้งก่อน เพราะว่าเจ้าไม่ได้ไปหาคนหนุ่ม ไม่ว่าจนหรือมั่งมี 11ลูกเอ๋ย อย่ากลัวเลย ฉันจะทำตามทุกสิ่งที่เจ้าบอก เพราะว่าคนทั้งเมืองของฉันก็ทราบดีอยู่ว่าเจ้าเป็นผู้หญิงที่ดี 12และก็เป็นความจริงด้วยที่ฉันเป็นญาติสนิท แต่ยังมีญาติสนิทอีกคนที่อยู่ในลำดับก่อนฉัน 13คืนนี้เจ้าจงค้างที่นี่ก่อน พรุ่งนี้เช้า ถ้าเขาจะทำหน้าที่ญาติสนิทเพื่อเจ้าก็ดีแล้ว ให้เขาทำเถอะ ถ้าเขาไม่ยินดีที่จะทำหน้าที่ญาติสนิทเพื่อเจ้า พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ฉันเองจะทำหน้าที่ญาติสนิทเพื่อเจ้าแน่ฉันนั้น จงนอนลงเถิดจนกว่าจะรุ่งเช้า”
 14ดังนั้นนางจึงนอนอยู่ข้างๆ เท้าของท่านจนรุ่งเช้า แต่นางลุกขึ้นก่อนคนจะจำหน้ากันได้ เพราะท่านบอกว่า “อย่าให้ใครทราบว่ามีผู้หญิงมาที่ลานนวดข้าว” 15ท่านพูดว่า “จงเปิดเสื้อคลุมที่เจ้าใช้อยู่นั้นถือไว้” นางก็ถือเสื้อคลุมไว้ ท่านก็ตวงข้าวบาร์เลย์ประมาณ 20 กิโลกรัมให้นางแบก แล้วท่านก็เข้าไปในเมือง 16เมื่อนางมาถึง แม่สามีจึงถามว่า “ลูกเอ๋ย เป็นอย่างไรบ้าง?” แล้วนางก็เล่าทุกอย่างที่ท่านได้ทำต่อนางให้แม่สามีฟัง 17และจบลงว่า “ท่านให้ข้าวบาร์เลย์ประมาณ 20 กิโลกรัมนี้แก่ลูก ท่านว่า ‘เจ้าอย่ากลับไปหาแม่สามีมือเปล่าเลย’ ” 18แม่สามีจึงว่า “ลูกเอ๋ย จงคอยอยู่ก่อน จนกว่าจะทราบว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร เพราะว่าเขาจะไม่นิ่งเฉย จนกว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จในวันนี้”

นางรูธ 4

โบอาสแต่งงานกับนางรูธ

 1โบอาสไปที่ประตูเมืองและนั่งอยู่ที่นั่น ดูสิ ญาติสนิทซึ่งโบอาสกล่าวถึงเดินผ่านมา โบอาสจึงกล่าวว่า “เพื่อนเอ๋ย แวะนั่งที่นี่ก่อน” เขาก็แวะมานั่งลง 2ท่านจึงไปนำพวกผู้ใหญ่ในเมืองนั้นมาสิบคนกล่าวว่า “เชิญนั่งที่นี่เถิด” พวกเขาก็นั่งลง 3ท่านจึงพูดกับญาติสนิทคนนั้นว่า “นาซึ่งเป็นส่วนของเอลีเมเลคญาติของเรานั้น นาโอมีผู้กลับมาจากดินแดนโมอับอยากขายเสีย 4ข้าพเจ้าเองคิดว่า ข้าพเจ้าจะเปิดเผยให้ท่านทราบ และขอบอกว่าจงซื้อไว้ ต่อหน้าคนที่นั่งอยู่ที่นี่และต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ของชาวเมืองเรา ถ้าท่านจะไถ่ไว้ก็จงไถ่เถอะ ถ้าท่านไม่ไถ่จงบอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะได้ทราบ นอกจากท่านแล้วไม่มีใครมีสิทธิ์ไถ่ได้ ข้าพเจ้าเองมีสิทธิ์ถัดท่านไป” ผู้นั้นจึงบอกโบอาสว่า “ข้าพเจ้าจะไถ่เอง” 5แล้วโบอาสบอกว่า “ในวันที่ท่านซื้อที่นาจากมือนาโอมีนั้น ท่านก็จะได้รูธชาวโมอับ แม่ม่ายของผู้ตายด้วย เพื่อนามของผู้ตายจะได้สืบต่อไปบนมรดกของเขา” 6ญาติสนิทคนนั้นตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไถ่เพื่อตนเองอย่างนั้นไม่ได้ จะทำให้มรดกข้าพเจ้าเสียไป ท่านจงเอาสิทธิในการไถ่ของข้าพเจ้าไปไถ่เองเถอะ เพราะข้าพเจ้าไถ่ไม่ได้แล้ว”
 7ต่อไปนี้เป็นธรรมเนียมในอิสราเอลสมัยก่อน เกี่ยวกับการไถ่และการแลกเปลี่ยน คือเพื่อยืนยันข้อตกลงทุกเรื่อง คนหนึ่งจะถอดรองเท้าข้างหนึ่งของเขาเองมอบให้อีกคนหนึ่ง นี่เป็นการแสดงพยานหลักฐานในอิสราเอล 8ดังนั้นเมื่อญาติสนิทคนนั้นกล่าวแก่โบอาสว่า “ท่านจงซื้อเองเถิด” เขาก็ถอดรองเท้าข้างหนึ่งของเขาออก 9แล้วโบอาสจึงกล่าวแก่พวกผู้ใหญ่และประชาชนทั้งปวงว่า “ท่านทั้งหลายเป็นพยานในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าได้ซื้อทรัพย์สินทั้งหมดของเอลีเมเลค และทรัพย์สินทั้งหมดของคิลิโอนและมาห์โลนจากมือนาโอมีแล้ว 10ทั้งรูธชาวโมอับแม่ม่ายของมาห์โลน ข้าพเจ้าก็จะได้มาเป็นภรรยาของข้าพเจ้า เพื่อจะดำรงนามของผู้ตายไว้บนมรดกของเขาสืบต่อไป เพื่อนามของผู้ตายจะไม่ถูกตัดออกจากพวกพี่น้องของเขา และจากบ้านเกิดเมืองนอนของเขา ท่านทั้งหลายเป็นพยานแล้วในวันนี้” 11ประชาชนทั้งปวงที่อยู่ที่ประตูเมืองและพวกผู้ใหญ่กล่าวว่า “เราเป็นพยานแล้ว ขอพระยาห์เวห์ทรงทำให้หญิงนั้นที่กำลังจะเข้ามาในบ้านของท่าน เหมือนนางราเชลและนางเลอาห์ หญิงทั้งสองซึ่งช่วยกันสร้างวงศ์ตระกูลอิสราเอล ขอให้ท่านเจริญในเอฟราธาห์และมีชื่อเสียงในเบธเลเฮม 12ขอให้พงศ์พันธุ์ของท่านเหมือนพงศ์พันธุ์ของเปเรศ ซึ่งทามาร์คลอดให้แก่ยูดาห์ เนื่องด้วยบุตรหลานซึ่งพระยาห์เวห์จะประทานแก่ท่านโดยหญิงผู้นี้”
 13ดังนั้นโบอาสก็รับรูธมาเป็นภรรยาของท่าน และท่านก็เข้าหานาง และพระยาห์เวห์ทรงให้นางตั้งครรภ์คลอดบุตรชายคนหนึ่ง
 14ฝ่ายพวกผู้หญิงก็พูดกับนาโอมีว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ ผู้ไม่ได้ทรงทิ้งเจ้าไว้ให้ปราศจากญาติสนิทในเวลานี้ ขอให้เด็กนี้มีชื่อเสียงในอิสราเอล 15ให้เด็กนี้ฟื้นฟูชีวิตของเจ้าและเลี้ยงดูเจ้าเมื่อชรา เพราะว่าเด็กคนนี้เกิดมาจากบุตรสะใภ้ที่รักเจ้า ผู้ประเสริฐกว่าบุตรชายเจ็ดคน” 16แล้วนาโอมีก็รับเด็กนั้นมาอุ้มไว้แนบอก และรับเป็นผู้ดูแลเด็กนั้น 17พวกผู้หญิงเพื่อนบ้านก็ให้ชื่อเด็กนั้น พูดว่า “มีบุตรชายคนหนึ่งเกิดให้แก่นาโอมี” เขาตั้งชื่อเด็กนั้นว่า โอเบด ผู้เป็นบิดาของเจสซี ซึ่งเป็นบิดาของดาวิด
 18ต่อไปนี้เป็นพงศ์พันธุ์ของเปเรศ เปเรศเป็นบิดาของเฮสโรน 19เฮสโรนเป็นบิดาของราม รามเป็นบิดาของอัมมีนาดับ 20อัมมีนาดับเป็นบิดาของนาโชน นาโชนเป็นบิดาของสัลโมน 21สัลโมนเป็นบิดาของโบอาส โบอาสเป็นบิดาของโอเบด 22โอเบดเป็นบิดาของเจสซี และเจสซีเป็นบิดาของดาวิด

อรรถาธิบาย

ถวายเกียรติพระเจ้าในทุกสถานการณ์

พระเจ้าให้เกียรติคนที่ให้เกียรติพระองค์และทำสิ่งที่ถูกต้อง ถึงแม้ต้องจ่ายราคาเพื่อทำเช่นนั้น และแม้ว่าเจอการทดลองและความยากลำบากในชีวิต เราจะเห็นว่ามีหลายคนที่ถวายเกียรติพระเจ้า ได้แก่ นาโอมี (1:8–9), นางรูธ (ตั้งแต่ข้อ 17 เป็นต้นมา), และโบอาส (2:4,12; 3:10,13; 4:11) คนเหล่านี้เป็นแบบอย่างที่ดีให้เราดำเนินชีวิตตาม

หนังสือของรูธเริ่มต้นด้วยนาโอมีที่สิ้นหวังจากความเมตตาของพระเจ้า (1:20–21) จากนั้นเธอก็ประสบกับบรรดาคนมากมายรอบตัวที่แสดงความเมตตาของมนุษย์ เธอเผชิญสิ่งนี้ในลูกสะใภ้สองคนของเธอคือนางรูธ และโอรปาห์ (ข้อ 8) และในการปฏิบัติของโบอาสที่มีต่อนางรูธ ในที่สุด เธอประกาศว่า 'ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่ขาดจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่หรือผู้ที่สิ้นชีวิตไปแล้ว' (2:20)

นางรูธเชื่อฟังแม่สามีในทุก ๆ รายละเอียด แต่ความกังวลทั้งหมดทั้งมวลของนาโอมีความผาสุกของนางรูธ โบอาสเป็นบุคคลที่ควบคุมตนเองได้ ใจกว้างและเป็นผู้มีเกียรติ เห็นได้ชัดว่าชีวิตของโบอาสมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ปฏิกิริยาของเขาเมื่อเขาตื่นขึ้นและพบนางรูธคือ 'ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรเจ้า' และ 'พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด' (3:10,13)

เมื่อวานนี้ เราได้เห็นวิธีที่นางรูธถวายเกียรติพระเจ้าและทำสิ่งที่ถูกต้องโดยการภักดีต่อแม่สามีของเธอ วันนี้เราเห็นชัดเจนว่าโบอาสปรารถนาจะแต่งงานกับรูธอย่างไรและรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่มิได้ดำเนินไปอย่างที่เขาสามารถทำได้โดยอาศัยผลลัพธ์ที่สร้างความชอบธรรมให้วิธีการ โบอาสซื่อตรงในการดำเนินเรื่องนี้อย่างมาก นั่นคือปฏิบัติตามมารยาทและขนบธรรมเนียมประเพณี

โบอาสไม่เพียงแค่รีบเร่งแล้วแต่งงาน เขาผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง จะว่าไป เขากำลังเสี่ยงอย่างมากและอาจสูญเสียนางรูธไป แต่เขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่

พระเจ้าทรงยกย่องสิ่งนี้ในวิธีที่น่าอัศจรรย์และยอดเยี่ยม โบอาสกับนางรูธแต่งงานกันและให้กำเนิดคุณปู่ของกษัตริย์ดาวิด (4:17) แท้จริงแล้ว นางรูธสาวใช้ ได้กลายมาเป็นบรรพบุรุษของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ (มัทธิว 1: 5–6) ในแง่หนึ่ง พระเยซูทรงเป็นญาติสนิทผู้ทรงเป็นพระผู้ไถ่ (นางรูธ 4:14) พระองค์ทรงเรียกเราว่าพี่น้องทรงเข้าใจการต่อสู้ดิ้นรนของเราและทรงไถ่เรา (ฮีบรู 2:11–12, 17–18)

เราเห็นความเมตตาของพระเจ้าตลอดพระธรรมนางรูธทั้งเล่ม เบื้องหลังความเมตตาของนางรูธ นาโอมีและโบอาส คือ พระกรุณาของพระเจ้า

คำอธิษฐาน

พระบิดาเจ้าข้า ขอบพระคุณสำหรับความเมตตาที่น่าอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อข้าพระองค์ ขอบพระคุณที่ทรงไถ่ข้าพระองค์ ขอทรงประทานความกล้าที่จะให้ถวายเกียรติพระองค์เสมอ และพยายามทำสิ่งที่ถูกต้องแม้ว่าจะเป็นเรื่องยากก็ตาม

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ยอห์น 10:10

‘เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์'

พระคัมภีร์มีฤทธิ์อำนาจมหาศาล เมื่อหลายปีก่อนมีใครบางคนได้แสดงข้อพระคัมภีร์นี้ ซึ่งทำให้ฉันได้พบความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์เป็นครั้งแรก

ข้อพระคำประจำวัน

ยอห์น 10:10

‘เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม