จะเก็บเกี่ยวมากกว่าที่หว่านอย่างไร
เกริ่นนำ
วอลเตอร์ นิชิโอกะ รู้ดีว่าการบริการของโรงแรมฮาวายที่ซึ่งเค้ามารับประทานมื้อสายในวันพุธนั้นดีมาก แต่เขาพบว่ามันดีเยี่ยมแค่ไหนเมื่อเขาได้รับสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่ในเมนู นั่นคือ ไตข้างหนึ่งของพนักงานเสิร์ฟ
คุณนิชิโอกะ อายุเจ็ดสิบปี เป็นนักธุรกิจท้องถิ่น เขาป่วยหนักด้วยโรคไต และได้รับแจ้งจากแพทย์ว่าเขาจำเป็นต้องปลูกถ่ายไตโดยด่วน เขาเกือบจะหมดความหวังที่จะหาผู้บริจาคไตที่เข้าคู่กันได้ จนกระทั่งมีพนักงานเสิร์ฟ ชื่อ โจเซ่ โรคาซาอายุห้าสิบสองเป็นผู้อาสาบริจาคไตข้างหนึ่งของตนให้ นิชิโอกะกล่าวว่า ‘ผมอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน และหมอบอกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พวกเขาจะพบอวัยวะที่สามารถเข้าคู่กันได้ทันเวลา แต่โดยชายที่แสนดีคนนี้และความช่วยเหลือมากมายจากเบื้องบน ทำให้ตอนนี้ผมยังมีชีวิตอยู่และสบายดี’
เป็นเวลากว่ายี่สิบสองปีที่คุณนิชิโอกะมาใช้บริการที่โรงแรมบ่อย ๆ และ โจเซ่ โรคาซา ก็เป็นพนักงานเสิร์ฟคอยให้การบริการและจำได้เสมอว่าคุณนิชิโอกะ ใจดีและเป็นกันเองมาโดยตลอด ทั้งยังให้ทิปอย่างไม่เห็นแก่ตัว เขากล่าวว่า ‘ผมแค่อยากช่วยเขา’ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เรามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน เขามารับประทานอาหารกลางวันส่วนผมก็พยายามบริการให้ดีที่สุดเพื่อให้เขามีความสุข ซึ่งเขาก็ดีกับผมมาตลอด และเพื่อเป็นการตอบแทน แน่นอนผมพูดได้เลยว่า “ไม่ต้องกังวล ผมสามารถให้ไตคุณได้”'
คุณนิชิโอกะหว่านใจที่กว้างขวางและเขาก็เก็บเกี่ยวใจที่กว้างขวางกลับมา!
วันนี้เราจะได้เห็นว่า:
- คุณจะได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่คุณหว่าน
- คุณจะเก็บเกี่ยวช้ากว่าที่คุณหว่าน
- คุณจะได้เก็บเกี่ยวมากกว่าที่คุณหว่าน
สดุดี 58:1-11
คำอธิษฐานขอทรงลงโทษคนอธรรม
ถึงหัวหน้านักร้อง ตามทำนองอย่าทำลาย มิคทามบทหนึ่งของดาวิด
1ท่านทั้งหลายผู้ทรงอำนาจ ท่านพูดอย่างชอบธรรมหรือ?
ท่านพิพากษาประชาชนอย่างเที่ยงธรรมหรือ?
2เปล่าเลย ใจของท่านคิดแผนชั่ว
มือของท่านทำความทารุณบนแผ่นดินโลก
3คนอธรรมหลงเจิ่นไปตั้งแต่ออกจากครรภ์
เขาหลงเตลิดและพูดมุสามาตั้งแต่เกิด
4เขามีพิษเหมือนพิษงู
เหมือนงูเห่าหูหนวกที่อุดหูของมัน
5มันจึงไม่ได้ยินเสียงของหมองู
หรือเสียงของผู้มีมนต์ขลัง
6ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงหักฟันในปากมันเสีย
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงถอนเขี้ยวสิงห์หนุ่มออกเสีย
7ขอให้เขาทั้งหลายหายไปเหมือนน้ำไหล
เมื่อเขาเล็งธนู ก็ให้ลูกธนูทื่อ
8ขอให้เขาเหมือนหอยทากที่ละลายเป็นเมือกเมื่อเคลื่อนตัวไป
เหมือนทารกแท้งที่ไม่เคยเห็นดวงตะวัน
9เร็วยิ่งกว่าหม้อจะรู้สึกร้อน ด้วยไฟจากต้นหนาม
ไม่ว่าสดหรือไหม้เป็นเปลว ก็ขอพระองค์ทรงกวาดเขาไปเสีย
10คนชอบธรรมจะยินดี เมื่อเขาเห็นการแก้แค้น
เขาจะเอาโลหิตของคนอธรรมล้างเท้าของเขา
11จะมีคนกล่าวว่า “แน่ทีเดียว มีบำเหน็จให้แก่คนชอบธรรม
แน่ทีเดียว มีพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาในโลก”
อรรถาธิบาย
หว่านความยุติธรรม
ผู้คนหลายแสน (ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก) ถูกค้าประเวณีในทุก ๆ ปี นี่ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจการค้าที่ชั่วร้ายที่สุด ทั้งยังมีผู้คนนับล้านตกเป็นทาสของยุคสมัยของโลกทุกวันนี้ เกือบทุกวันเราอ่านข่าวเรื่องความโหดร้ายที่กระทำโดยการเผด็จการที่โหดเหี้ยม และระบอบการปกครองที่ชั่วร้าย
ผู้เขียนพระธรรมสดุดีประกาศต่อต้านความอยุติธรรมแบบนี้ ‘นี่เป็นวิธีปกครองบ้านเมืองหรือ? มีผู้ทรงอำนาจที่สัตย์ซื่ออยู่ในบ้านเมืองบ้างหรือไม่?’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เขาคร่ำครวญต่อพวกผู้ทรงอำนาจที่พิพากษาอย่างไม่ยุติธรรม (ข้อ 1) ในหัวของพวกเขาเหล่านั้นคิดแต่เรื่องอยุติธรรมและมือของพวกเขาเหล่านั้นก็ ‘ทำความทารุณ’ (ข้อ 2) พวกเขาคือ ‘ภาชนะแห่งความชั่วร้าย’ ที่กำลังทำ ‘ข้อตกลงกับซาตาน’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และพวกเขายังกล่าวเท็จ (ข้อ 3) และเพิกเฉยต่อเสียงร้องของผู้ที่ปรารถนาความยุติธรรมทั้งมนุษย์และพระเจ้าเอง พวกเขาเป็นเหมือนดั่ง ‘งูเห่าหูหนวกที่อุดหู มันจึงไม่ได้ยินเสียงของหมองู หรือเสียงของผู้มีมนต์ขลัง’ (ข้อ 4ข–5)
ความเป็นผู้นำเป็นสิ่งสำคัญในทุก ๆ บริบทสังคม ผู้นำที่หว่านความอยุติธรรมจะเก็บเกี่ยวผลที่เลวร้ายตามมา พวกเขากำลังหว่านพิษ ‘เขามีพิษเหมือนพิษงู’ (ข้อ 4) พวกเขาสร้างสังคมที่สั่นคลอนและท้ายที่สุดจะถูก ‘กวาด’ ล้างออกไป (ข้อ 9) เป็นที่น่าโล่งใจมากเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะพวกเขาได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่พวกเขาหว่าน ในทำนองเดียวกันก็ ‘มีบำเหน็จให้แก่คนชอบธรรม’ (ข้อ 11ก) เมื่อเราตระหนักได้ถึงหลักการนี้ในกิจการงานของเรา เราก็พูดได้ว่า ‘มีพระเจ้า’ (ข้อ 11)
แต่บ่อยครั้งการเก็บเกี่ยวเกิดขึ้นช้ากว่าการหว่านมาก แม้ว่าเราต้องรอจนถึงวันพิพากษาก็ตาม พระธรรมสดุดีนี้ย้ำเตือนให้เราระลึกว่าความยุติธรรมจะเกิดขึ้นแน่นอน การพิพากษาของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดี มันเกิดจากความรักของพระองค์ พระเจ้าเห็นคุณค่าของเราแต่ละคนมากจนพระองค์ทรงห่วงใยว่าเราจะปฏิบัติต่อกันอย่างไร ในที่สุดความอยุติธรรมจะไม่ได้รับชัยชนะ แต่ความยุติธรรมจะมีชัย และผู้ชอบธรรมจะ ‘ยินดี’ (ข้อ 10)
คำอธิษฐาน
ยอห์น 6:1-24
การทรงเลี้ยงคนห้าพันคน
1หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จข้ามทะเลสาบกาลิลีหรือที่เรียกว่าทะเลทิเบเรียส 2มหาชนก็ตามพระองค์ไป เพราะพวกเขาเห็นหมายสำคัญต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำต่อบรรดาคนป่วย 3พระเยซูเสด็จขึ้นไปบนภูเขาและประทับอยู่กับพวกสาวกของพระองค์ 4ขณะนั้นใกล้จะถึงปัสกาซึ่งเป็นเทศกาลของพวกยิว 5พระเยซูเงยพระพักตร์ขึ้นและทอดพระเนตรเห็นมหาชนพากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงตรัสกับฟีลิปว่า “พวกเราจะซื้ออาหารให้คนเหล่านี้กินได้ที่ไหน?” 6พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อจะทดสอบฟีลิป เพราะพระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่าพระองค์จะทรงทำอย่างไร 7ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า “สองร้อยเดนาริอันหนึ่งเหรียญเดนาริอัน เท่ากับค่าจ้างคนงานให้ทำงานวันหนึ่ง ก็ยังไม่พอซื้ออาหารให้พวกเขากินกันคนละเล็กละน้อย” 8สาวกคนหนึ่งของพระองค์คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า 9“ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่งมีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้?” 10พระเยซูตรัสว่า “ให้ทุกคนนั่งลงเถิด” (ที่นั่นมีหญ้ามาก) คนเหล่านั้นจึงนั่งลง นับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน 11แล้วพระเยซูก็ทรงหยิบขนมปัง เมื่อขอบพระคุณแล้วก็ทรงแจกจ่ายให้บรรดาคนที่นั่งอยู่นั้น และให้ปลาด้วยตามที่เขาต้องการ 12เมื่อพวกเขากินอิ่มแล้วพระเยซูตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น” 13พวกเขาจึงเก็บเศษขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือหลังจากทุกคนกินแล้วใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็ม 14เมื่อคนทั้งหลายเห็นหมายสำคัญที่พระองค์ทรงทำ พวกเขาจึงพูดกันว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะคนนั้นที่จะมาในโลก”
15เมื่อพระเยซูทรงทราบว่าพวกเขาจะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาอีกตามลำพัง
พระเยซูทรงดำเนินบนน้ำ
16พอค่ำลงพวกสาวกของพระองค์ก็ไปที่ทะเลสาบ 17แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังคาเปอรนาอุม ขณะนั้นมืดแล้วและพระเยซูก็ยังไม่เสด็จไปหาพวกเขา 18ทะเลก็กำเริบขึ้นเพราะลมพัดแรง 19เมื่อพวกเขาตีกรรเชียงไปได้ประมาณห้าหกกิโลเมตร ก็เห็นพระเยซูทรงดำเนินมาบนทะเล กำลังเข้ามาใกล้เรือ พวกเขาต่างตกใจกลัว 20แต่พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” 21พวกเขาจึงเต็มใจรับพระองค์ขึ้นเรือ ทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขาจะไปนั้น
พระเยซูคืออาหารแห่งชีวิต
22วันรุ่งขึ้นฝูงชนที่เหลืออยู่ฝั่งข้างโน้นเห็นว่า ก่อนนั้นมีเรืออยู่ที่นั่นเพียงลำเดียว และเห็นว่าพระเยซูไม่ได้เสด็จลงเรือลำนั้นไปกับพวกสาวก พวกสาวกของพระองค์ไปกันตามลำพังเท่านั้น 23เวลานั้นมีเรือลำอื่นๆ จากทิเบเรียส ผ่านมาใกล้ตำบลที่พวกเขากินขนมปังหลังจากองค์พระผู้เป็นเจ้าขอบพระคุณแล้ว 24ดังนั้นเมื่อฝูงชนเห็นว่าพระเยซูและพวกสาวกไม่ได้อยู่ที่นั่น พวกเขาจึงลงเรือไปตามหาพระเยซูที่เมืองคาเปอรนาอุม
อรรถาธิบาย
หว่านใจที่กว้างขวาง
มีบทเรียนมากมายให้เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของพระเยซู หนึ่งในนั้นคือ หลักการที่ว่า คนที่หว่านด้วยใจกว้างขวางก็จะเก็บเกี่ยวใจที่กว้างขวางกลับมาเช่นกัน
พระเยซูทรงแหงนพระพักตร์และทอดพระเนตรเห็นฝูงชนจำนวนมากที่เข้ามาหาพระองค์ ‘พระองค์ตรัสกับฟิลิปว่า “เราจะซื้อขนมปังเพื่อเลี้ยงคนเหล่านี้ได้ที่ไหน” พระองค์ตรัสเช่นนี้เพื่อขยายความเชื่อของฟีลิป’ (ข้อ 5–6ก พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ความเชื่อก็เหมือนกล้ามเนื้อ เติบโตได้ด้วยการหมั่นบริหาร
แม้ว่าพระเยซูทรงตั้งคำถามแต่อันที่จริง ‘พระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่าพระองค์จะทรงทำอย่างไร’ (ข้อ 6ข) นี่แสดงว่าเป็นเรื่องปกติที่จะถามคำถามที่คุณรู้คำตอบอยู่แล้ว (อันที่จริง ตอนที่ผมเป็นทนายความฝึกหัด ผมถูกสอนให้ถามแต่คำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้วเท่านั้น!)
‘ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า “สองร้อยเดนาริอัน ก็ยังไม่พอซื้ออาหารให้พวกเขากินกันคนละเล็กละน้อย” สาวกคนหนึ่งของพระองค์… ทูลพระองค์ว่า “ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่งมีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้?”’ (ข้อ 7–8)
การแสดงออกถึงใจที่กว้างขวางของเด็กคนนี้จะไม่มีวันถูกลืมเลย พระเยซูทรงสามารถกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ผ่านสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ เด็กชายมอบทุกสิ่งที่เขามีอย่างไม่เห็นแก่ตัว ถึงแม้มันเป็นจำนวนเพียงน้อยนิด คือ ‘มีเพียงแค่หยิบมือในกระบุงเท่านั้นสำหรับฝูงชนที่มากมายเช่นนี้’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
อย่างไรก็ตาม มันกลับถูกทวีคูณขึ้นโดยพระหัตถ์ของพระเยซูที่ทรงเลี้ยงดูผู้คนอย่างน้อย 5,000 คน และมีอาหารเหลืออยู่อีกมาก พระเยซูตรัสว่า ‘จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น’ (ข้อ 12) หากจำเป็นต้องมีหลักการพื้นฐานในพระคัมภีร์ นี่คือหลักการพื้นฐานในพระคัมภีร์สำหรับดูแลไม่ให้อาหารสิ้นเปลือง ดูเหมือนจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุอยู่เสมอหากอาหารถูกทิ้งโดยไม่จำเป็น
โลกได้ผลิตอาหารที่เพียงพอกับมนุษย์ทุกคน แต่กระนั้นกลับมีผู้คนกว่าครึ่งพันล้านกำลังเผชิญความทุกข์ทรมานจากภาวะขาดสารอาหารเรื้อรัง ในเวลาเดียวกัน ทุก ๆ ปีประมาณหนึ่งในสามของอาหารที่ผลิตเพื่อการบริโภคของมนุษย์จะสูญหายหรือสูญเปล่าไป เราจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพระเยซูโดยด่วนทั้งโดยส่วนตัวและส่วนรวมคือ ‘อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น’ (ข้อ 12)
สิ่งใดก็ตามที่คุณถวายแด่พระเยซู พระองค์ทรงทวีคูณขึ้น อัครสาวกเปาโลบรรยายไว้ว่า ‘นี่แหละคนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก’ (2 โครินธ์ 9:6)
ตั้งเป้าให้ตัวคุณเองเป็นคนที่มีจิตใจที่กว้างขวางที่สุดคนหนึ่ง ให้เราเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทั้งทรัพย์สิน เงินทอง เวลาและความรักของตัวคุณเอง คุณไม่สามารถมอบสิ่งใด ๆ ได้เท่ากับที่พระเจ้าประทานให้ได้ แต่ยิ่งคุณให้มากเท่าไหร่ คุณก็จะเก็บเกี่ยวได้มากขึ้นเท่านั้น และคุณก็จะได้รับความโปรดปรานที่มาจากพระเจ้ามากขึ้นด้วย
หลังจากการอัศจรรย์อันน่าทึ่งในการเลี้ยงอาหารแก่คน 5,000 คน เหล่าสาวกพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางพายุ (ยอห์น 6:18) พระเยซูทรงเรียกสาวกของพระองค์ให้ก้าวผ่านจากความเชื่อ ที่อาศัยการอัศจรรย์ ที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ที่คอยตอบสนองความต้องการทางร่างกายไปสู่ความเชื่อซึ่งเป็นความวางใจในพระองค์และพระวจนะของพระองค์
ช่างน่าอัศจรรย์ พระเยซูทรงดำเนินบนน้ำไปหาพวกเขา ที่กำลัง ‘กลัวอย่างไร้สติ’ (ข้อ19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า ‘เราเอง ไม่เป็นไร อย่ากลัวเลย’ (ข้อ20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) การติดตามพระเยซูไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป มีทั้งมรสุมและความท้าทายมากมายเข้ามาในชีวิต แต่การที่พระเยซูทรงสถิตอยู่กับเรานั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่น่าแปลกใจที่ฝูงชนมากมายต่าง ‘ตามหาพระเยซู’ (ข้อ 24)
คำอธิษฐาน
ผู้วินิจฉัย 9:1-57
อาบีเมเลคพยายามสถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์
1ส่วนอาบีเมเลคบุตรเยรุบบาอัลก็ไปหาญาติของมารดาที่เมืองเชเคม แล้วพูดกับเขาทั้งหลายและกับวงศาคณาญาติมารดาของตนว่า 2“ขอบอกความนี้ให้เข้าหูชาวเมืองเชเคมเถิดว่า ‘จะให้บุตรเยรุบบาอัลทั้งเจ็ดสิบคนครอบครองท่านทั้งหลายดี หรือจะให้ผู้เดียวปกครองดี’ ขอระลึกไว้ด้วยว่า ตัวข้าพเจ้านี้เป็นเลือดเนื้อเดียวกับท่านทั้งหลาย” 3ฝ่ายญาติของมารดาของเขาก็กล่าวคำเหล่านี้ให้เข้าหูชาวเชเคม จิตใจของชาวเมืองก็เอนเอียงเข้าข้างอาบีเมเลค ด้วยพวกเขากล่าวกันว่า “เขาเป็นญาติของเรา” 4เขาทั้งหลายจึงเอาเงิน 70 แผ่นออกจากวิหารพระบาอัลเบรีทดูเชิงอรรถ วนฉ.8:33มอบให้อาบีเมเลค อาบีเมเลคก็เอาเงินนั้นไปจ้างพวกนักเลงไว้ติดตามตน 5เขาจึงไปที่บ้านบิดาของเขาที่เมืองโอฟราห์ ฆ่าพี่น้องของตน คือบุตรเยรุบบาอัลทั้ง 70 คนที่ศิลาแผ่นเดียว เหลือแต่โยธามบุตรสุดท้องของเยรุบบาอัลเพราะเขาซ่อนตัวเสีย 6ชาวเมืองเชเคมและชาวเบธมิลโลทั้งสิ้นก็มาประชุมพร้อมกัน ตั้งอาบีเมเลคให้เป็นกษัตริย์ที่ข้างต้นโอ๊กแห่งเสาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในเมืองเชเคม
อุปมาเรื่องต้นไม้ต่างๆ
7เมื่อโยธามทราบเรื่อง เขาก็ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดภูเขาเกริซิม ตะเบ็งเสียงตะโกนบอกเขาทั้งหลายว่า “ชาวเมืองเชเคมเอ๋ย ขอจงฟังข้า เพื่อพระเจ้าจะทรงฟังเสียงของเจ้าทั้งหลาย 8ครั้งหนึ่งต้นไม้ต่างๆ ได้ออกไปเจิมตั้งต้นไม้ต้นหนึ่งไว้เป็นราชา พวกมันไปเชิญต้นมะกอกว่า ‘เชิญท่านปกครองเราเถิด’ 9แต่ต้นมะกอกตอบว่า ‘จะให้ฉันหยุดผลิตน้ำมันซึ่งเขาใช้ถวายเกียรติแด่พระและแก่มนุษย์ เพื่อไปกวัดแกว่งอยู่เหนือต้นไม้ทั้งหลายหรือ?’ 10แล้วต้นไม้เหล่านั้นจึงไปพูดกับต้นมะเดื่อว่า ‘เชิญท่านมาปกครองเราเถิด’ 11แต่ต้นมะเดื่อตอบว่า ‘จะให้ฉันหยุดผลิตรสหวานและผลดีของฉัน และไปกวัดแกว่งอยู่เหนือต้นไม้ทั้งหลายหรือ?’ 12ต้นไม้เหล่านั้นก็ไปพูดกับเถาองุ่นว่า ‘เชิญท่านมาปกครองเราเถิด’ 13แต่เถาองุ่นตอบว่า ‘จะให้ฉันหยุดผลิตเหล้าองุ่นอันเป็นที่ชื่นใจพระและมนุษย์ไปกวัดแกว่งอยู่เหนือต้นไม้ทั้งหลายหรือ?’ 14ต้นไม้ทั้งสิ้นก็ไปพูดกับต้นหนามว่า ‘เชิญท่านมาปกครองเราเถิด’ 15ต้นหนามจึงตอบต้นไม้ทั้งหลายว่า ‘ถ้าท่านทั้งหลายจะเจิมตั้งฉันให้เป็นราชาของท่านจริงๆ จงมาอาศัยใต้ร่มเงาของฉันเถิด มิฉะนั้นก็ให้ไฟเกิดจากต้นหนามเผาผลาญต้นสนสีดาร์เลบานอนเสีย’ 16“เวลานี้เจ้าทั้งหลายตั้งอาบีเมเลคเป็นกษัตริย์ ถ้าทำด้วยความจริงใจและเที่ยงธรรม และถ้าได้ทำดีต่อเยรุบบาอัลและครอบครัวของท่านสมกับความดีที่มือท่านได้ทำไว้ 17(เพราะว่าบิดาของเราได้สู้รบเพื่อเจ้าทั้งหลาย และเสี่ยงชีวิตช่วยเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากมือพวกมีเดียน 18แต่ในวันนี้เจ้าทั้งหลายได้ลุกขึ้นทำร้ายเชื้อสายบิดาของข้า ได้ฆ่าบุตรชายทั้งเจ็ดสิบคนของท่านเสียบนศิลาแผ่นเดียว แล้วตั้งอาบีเมเลคลูกหญิงคนใช้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ปกครองชาวเชเคม เพราะว่าเขาเป็นญาติของเจ้าทั้งหลาย) 19ถ้าเจ้าทั้งหลายได้ทำด้วยความจริงใจและเที่ยงธรรมต่อเยรุบบาอัล และครอบครัวของท่านในวันนี้ ก็จงชื่นชมในอาบีเมเลคเถิด และให้เขามีความชื่นชมยินดีในเจ้าทั้งหลาย 20แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ก็ขอให้ไฟออกมาจากอาบีเมเลค เผาผลาญชาวเมืองเชเคมและเบธมิลโล และให้ไฟออกมาจากชาวเมืองเชเคม และจากเบธมิลโลเผาผลาญอาบีเมเลคเสีย” 21โยธามก็รีบหนีไปยังเบเออร์อาศัยอยู่ที่นั่น เพราะกลัวอาบีเมเลคพี่ชายของตน
ความพินาศของอาบีเมเลค
22อาบีเมเลคครอบครองอิสราเอลอยู่ได้ 3 ปี 23พระเจ้าทรงใช้วิญญาณชั่วเข้าแทรกระหว่างอาบีเมเลคกับชาวเมืองเชเคม ชาวเมืองเชเคมก็กบฏต่ออาบีเมเลค 24เพื่อทารุณกรรมที่ได้ทำแก่บุตร 70 คนของเยรุบบาอัลจะถูกสนองตอบ และโลหิตของเขาเหล่านั้นจะตกบนอาบีเมเลค พี่น้องผู้ได้ประหารพวกเขาและตกแก่ชาวเมืองเชเคม ผู้สนับสนุนอาบีเมเลคให้ฆ่าพี่น้องของตน 25ชาวเมืองเชเคมได้วางคนซุ่มซ่อนไว้ต่อสู้อาบีเมเลคที่บนยอดภูเขา พวกเขาก็ปล้นทุกคนที่ผ่านไปมาทางนั้น และมีคนบอกอาบีเมเลคให้ทราบ
26กาอัลบุตรเอเบดกับญาติๆ ของเขาเข้าไปในเมืองเชเคม และชาวเชเคมไว้เนื้อเชื่อใจเขา 27เขาทั้งหลายพากันออกไปในสวนภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ท้องทุ่งเก็บผลองุ่นมาย่ำ ทำการเลี้ยงรื่นเริงและเข้าไปในวิหารแห่งพระของพวกเขา เขาทั้งหลายกินและดื่ม และแช่งด่าอาบีเมเลค 28กาอัลบุตรเอเบดจึงกล่าวว่า “อาบีเมเลคคือใคร? และเชเคมเป็นใครกันที่เราต้องปรนนิบัติเขา? เขาไม่ใช่บุตรของเยรุบบาอัลหรือ? และเศบุลไม่ใช่เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยของเขาหรือ? จงปรนนิบัติแปลได้อีกว่า พวกเขาปรนนิบัติคนฮาโมร์ บิดาของเชเคม ทำไมเราต้องปรนนิบัติอาบีเมเลคด้วย? 29ถ้าคนเมืองนี้อยู่ใต้ปกครองของข้านะ ข้าจะถอดอาบีเมเลคเสีย ข้าจะท้าเอบีเมเลคว่า ‘จงเพิ่มกองทัพของเจ้าขึ้น แล้วออกมาเถิด’ ”
30พอเศบุลเจ้าเมืองได้ยินถ้อยคำของกาอัลบุตรเอเบดก็โกรธ 31จึงส่งผู้สื่อสารไปยังอาบีเมเลคที่อารูมาห์ฉบับฮีบรูว่า โทรมาห์กล่าวว่า “นี่แน่ะ กาอัลบุตรเอเบดและญาติๆ ของเขามาที่เมืองเชเคม ยุแหย่เมืองนั้นให้ต่อสู้กับท่าน 32บัดนี้ขอท่านจงลุกขึ้นในเวลากลางคืน ทั้งท่านและกองทัพที่อยู่กับท่านไปซุ่มคอยอยู่ในทุ่งนา 33รุ่งเช้าพอดวงอาทิตย์ขึ้น ท่านจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ รีบรุกเข้าเมือง และนี่แน่ะ เมื่อกาอัลกับกองทัพที่อยู่กับเขาออกมาต่อสู้ท่าน ท่านจงทำแก่พวกเขาตามแต่โอกาสจะอำนวย”
34อาบีเมเลค และกองทัพทั้งสิ้นที่อยู่กับเขาก็ลุกขึ้นในเวลากลางคืน แบ่งออกเป็นสี่กองไปซุ่มคอยสู้เมืองเชเคม 35กาอัลบุตรเอเบดก็ออกไปยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมือง อาบีเมเลคก็ลุกขึ้นพร้อมกับกองทัพที่อยู่กับเขา ออกมาจากที่ซุ่มซ่อน 36และเมื่อกาอัลเห็นฝูงชน จึงพูดกับเศบุลว่า “ดูซิ ฝูงชนกำลังเคลื่อนลงมาจากยอดภูเขา” เศบุลตอบเขาว่า “ท่านเห็นเงาภูเขาเป็นคนไป” 37กาอัลพูดขึ้นอีกว่า “ดูซิ ฝูงชนกำลังออกมาจากทับบูร์ฮาอาเรสภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ตอนกลางของแผ่นดิน กลุ่มหนึ่งกำลังออกมาจากทางต้นโอ๊กของผู้ทำนาย” 38เศบุลก็กล่าวแก่กาอัลว่า “ปากของท่านอยู่ที่ไหนเดี๋ยวนี้ ท่านผู้ที่กล่าวว่า ‘อาบีเมเลคเป็นใครที่เราต้องปรนนิบัติ?’ คนเหล่านี้เป็นคนที่ท่านหมิ่นประมาทไม่ใช่หรือ? จงยกออกไปรบกับเขาเถิด” 39กาอัลก็เดินนำหน้าชาวเมืองเชเคมออกไปต่อสู้กับอาบีเมเลค 40อาบีเมเลคก็ขับไล่กาอัลหนีไป มีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมากจนถึงทางเข้าประตูเมือง 41ส่วนอาบีเมเลคก็อาศัยอยู่ที่อารูมาห์ และเศบุลก็ขับไล่กาอัลกับญาติๆ ของเขาออกไป ไม่ให้อยู่ที่เมืองเชเคมต่อไป
42รุ่งขึ้น ชาวเมืองนั้นออกไปที่ทุ่งนา อาบีเมเลคก็ทราบเรื่อง 43เขาจึงแบ่งคนของเขาออกเป็นสามกอง ซุ่มคอยที่ทุ่งนา เขามองดู เมื่อคนออกจากเมือง เขาจึงลุกขึ้นประหารเสีย 44อาบีเมเลคกับกองทหารที่อยู่ด้วยก็รุกไปยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมือง ฝ่ายทหารอีกสองกองก็รุกเข้าโจมตีคนทั้งหมดที่ในทุ่งนาและประหารเสีย 45อาบีเมเลคโจมตีเมืองนั้นตลอดวันจนยึดเมืองได้ และฆ่าฟันประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นเสีย อีกทั้งทำลายเมืองนั้นด้วย แล้วก็หว่านเกลือลงไป
46เมื่อพวกผู้นำทั้งสิ้นที่หอรบเมืองเชเคมได้ยินเช่นนั้น ก็หนีเข้าไปอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินในวิหารของพระเอลเบรีทแปลว่า พระแห่งพันธสัญญาเหมือนกับบาอัลแห่งพันธสัญญา 47มีคนไปเรียนอาบีเมเลคว่า ชาวเมืองทั้งสิ้นที่หอรบเมืองเชเคมมาชุมนุมกันอยู่ 48อาบีเมเลคก็ขึ้นไปบนภูเขาศัลโมน ทั้งตัวเขากับกองทัพทั้งสิ้น อาบีเมเลคถือขวานตัดกิ่งไม้ใส่บ่าแบกมา เขาบอกคนที่อยู่ด้วยว่า “เจ้าเห็นข้าทำอะไร จงรีบไปทำอย่างข้าเถิด” 49คนทั้งปวงก็ตัดกิ่งไม้แบกตามอาบีเมเลคไปสุมไว้ที่อุโมงค์ใต้ดิน แล้วก็จุดไฟเผา ดังนั้นคนที่หอรบเมืองเชเคมก็ตายหมดทั้งชายและหญิงประมาณ 1,000 คน
50อาบีเมเลคไปยังเมืองเธเบศตั้งค่ายประชิดเมืองเธเบศไว้ และยึดเมืองนั้นได้ 51แต่ในเมืองแปลได้อีกว่า แต่ตรงใจกลางเมืองมีหอรบแข็งแกร่งแห่งหนึ่ง ชาวเมืองนั้นทั้งหมดทั้งชายและหญิงก็หนีเข้าไปที่นั่นปิดประตูขังตนเองเสีย แล้วก็ขึ้นไปบนหลังคาหอรบ 52อาบีเมเลคยกมาถึงหอรบนี้ ก็เข้าโจมตีจนเข้ามาใกล้ประตูหอรบได้ เพื่อจะเอาไฟเผา 53แต่หญิงคนหนึ่งเอาหินโม่แป้งชิ้นบนทุ่มศีรษะอาบีเมเลค ทำให้กะโหลกศีรษะของเขาแตก 54เขาจึงรีบร้องบอกคนหนุ่มที่ถืออาวุธของเขาว่า “จงชักดาบออกแล้วฆ่าเราเสียเพื่อคนจะไม่พูดว่า ‘ผู้หญิงคนหนึ่งฆ่าเขาตาย’ ” คนหนุ่มนั้นก็แทงเขาทะลุถึงแก่ความตาย 55เมื่อคนอิสราเอลเห็นว่าอาบีเมเลคสิ้นชีวิตแล้ว ต่างคนก็กลับไปยังที่ของตน 56ดังนี้แหละพระเจ้าทรงตอบสนองความชั่ว ที่อาบีเมเลคได้ทำต่อบิดาของตน ที่ได้ฆ่าพี่น้อง 70 คนของตนเสีย 57และพระเจ้าทรงตอบสนองกรรมชั่วทั้งสิ้นของชาวเชเคมบนศีรษะของพวกเขาเอง และคำสาปแช่งของโยธามบุตรเยรุบบาอัลก็ตกอยู่กับเขาทั้งหลาย
อรรถาธิบาย
หว่านความจงรักภักดี
หลายปีที่ผ่านมา ผมสังเกตเห็นว่าผู้ที่หว่านความภักดีต่อผู้นำของตนจะเก็บเกี่ยวความภักดีอย่างสูงได้อย่างไร เมื่อตนเองได้กลายเป็นผู้นำ ในทางกลับกัน บรรดาผู้ที่ปฏิเสธที่จะอยู่ภายใต้การนำของผู้อื่นและก่อปัญหา มักจะเก็บเกี่ยวทัศนคติที่ไม่จงรักภักดีแบบเดียวกันเสมอหากพวกเขาเองได้เป็นผู้นำ
เนื้อหาตอนนี้เราได้เห็นหายนะของการไม่จงรักภักดีของอาบีเมเลคต่อบิดาและพี่น้องของเขา อาบีเมเลคเป็นผู้นำที่กระตือรือร้น เป็นนักสื่อสารที่ดี และเป็นนักวางกลยุทธ์ที่มีทักษะ แต่เขาก็เย่อหยิ่งและยกยอตนเองเช่นกัน เขาไม่ต้องการมีคู่แข่ง อาบีเมเลคหว่านความรุนแรง ‘เขาจ้างพวกนักเลง กองโจร... และฆ่าพี่น้องของเขา... เจ็ดสิบคน!’ (ข้อ 4–5 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) โดยมีน้องคนสุดท้องเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากการซ่อนตัว
อีกครั้งที่เราเห็นหลักการในพระคัมภีร์นี้ในกิจการงานที่ทำ เราเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราหว่าน อาบีเมเลคหว่านความไม่ซื่อสัตย์และความรุนแรง เขาเก็บเกี่ยวความไม่ซื่อสัตย์และความรุนแรงนี้ด้วย ในตอนแรกเขาไปอยู่กับชาวเมืองเชเคม (ข้อ 2 เป็นต้นไป) แต่สามปีต่อมาได้เกิดความขุ่นเคืองใจกันขึ้นระหว่างอาบีเมเลคกับชาวเมืองเชเคมผู้ได้กบฏต่ออาบีเมเลคในภายหลัง
อาบีเมเลคเก็บเกี่ยวสิ่งที่เขาหว่าน พวกผู้นำของชาวเมืองเชเคม 'ก่อการกบฏลับหลัง ความทารุณสะท้อนกลับมา คือความโหดร้ายจากการสังหารพี่น้องเจ็ดสิบคนบุตรชายของเยรุบ-บาอัล บัดนี้ล่องลอยไปอยู่ท่ามกลางอาบีเมเลคและผู้นำของชาวเมืองเชเคม ผู้ซึ่งเคยอยู่ข้างความโหดร้ายนั้น’ (ข้อ 23–24 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
อาบีเมเลคไม่แสดงความจงรักภักดีต่อชาวเมืองเชเคม เขาหลอกใช้คนเหล่านั้นเมื่อเขาต้องการ (ข้อ 2) อย่างไรก็ตาม เขาไม่ลังเลเลยที่จะกำจัดคนนั้นออกไป (ข้อ 42–49)
ในท้ายที่สุด พวกเขาทั้งหมดก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งที่หว่านออกไป และหลังจากนั้นเองอาบีเมเลคก็ถูกฆ่าตายอย่างน่าละอาย (ข้อ 53–54) ผู้เขียนสรุปทั้งหมดไว้ว่า ‘พระเจ้าทรงแก้แค้นอาบีเมเลคผู้ทำการชั่วต่อบิดาและสังหารพี่น้องเจ็ดสิบคนของเขา และพระเจ้าได้ทรงสนองกรรมชั่วทั้งหมดลงมาบนศีรษะของชาวเชเคม’ (ข้อ 56–57 ,พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ผู้วินิจฉัย 9:1–57
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เราได้เห็นความพินาศของครอบครัวกิเดโอน (เยรุบ-บาอัล) ฉันคิดว่าเขาควรอ่านคู่มือชีวิตสมรสและคู่มือการอบรมเลี้ยงดูบุตรของนิคกี้และซีล่า ลี และต้องจดจ่อกับเรื่องเหล่านั้นในชีวิตของเขาให้มากขึ้น ครอบครัวของเรามีความสำคัญมากและเราจำเป็นต้องใช้เวลากับพวกเขา
ข้อพระคำประจำวัน
ยอห์น 6:20
‘นี่เราเอง อย่ากลัวเลย’ (พระเยซู)
![reader](/assets/img/o2IIH9f3cp-320.jpeg)
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
![reader](/assets/img/VaA8S1A2AE-320.jpeg)
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
![reader](/assets/img/RdJg02ZuKy-320.jpeg)
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)