สามหนทางในการเปลี่ยนแปลงโลกของคุณ
เกริ่นนำ
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (1929–1968) มีชีวิตและตายเพื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในปี ค.ศ. 1964 เขากลายเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่เคยมีมาที่ได้รับรางวัลโนเบล ในสาขาสันติภาพ สำหรับการงานของเขาที่ทำให้การแบ่งแยกและการเลือกปฏิบัติทางสังคมหมดสิ้นไป
เขากล่าวถึงความฝันของเขาอย่างทรงพลังและน่าจดจำว่า วันหนึ่ง เขาจะดำเนินชีวิตในประเทศซึ่งลูกหลานของเขาจะ ‘ไม่ถูกตัดสินจากสีผิว แต่เป็นคุณลักษณะนิสัยของพวกเขา'
เขาฝันถึงโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ที่ซึ่งทุกคนสามารถจับมือกัน และพูดว่า ‘เป็นไทแล้วในที่สุด! ขอบคุณพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เราเป็นไทแล้วในที่สุด!’
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เป็นผู้ติดตามพระเยซู วาระของเขาคือเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้าไม่ใช่แค่เรื่องของการกลับใจส่วนบุคคล แม้ว่าเรื่องนั้นจะสำคัญเพียงใด แต่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วย
สุภาษิต 11:9-18
9คนที่ไม่นับถือพระเจ้าทำลายเพื่อนบ้านของเขาด้วยปาก
แต่คนชอบธรรมจะรอดพ้นด้วยความรู้
10เมื่อคนชอบธรรมอยู่เย็นเป็นสุข บ้านเมืองก็เปรมปรีดิ์
และเมื่อคนอธรรมพินาศ ก็มีเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี
11โดยพรของคนเที่ยงธรรม บ้านเมืองก็เป็นที่ยกย่อง
แต่โดยปากของคนอธรรม บ้านเมืองก็ล่มจม
12คนที่ดูหมิ่นเพื่อนบ้านของตนย่อมไม่มีสามัญสำนึก
แต่คนที่มีความเข้าใจก็นิ่งเงียบ
13คนที่เที่ยวซุบซิบก็เผยความลับ
แต่คนที่ไว้วางใจได้ย่อมปิดเรื่องไว้ได้
14เมื่อไม่มีการชี้แนะ ประชาชนก็ล้มลง
แต่โดยมีที่ปรึกษามาก ก็มีความปลอดภัย
15ผู้ที่ค้ำประกันให้คนอื่นจะต้องทนทุกข์
แต่ผู้ที่เกลียดการค้ำประกันย่อมปลอดภัย
16หญิงที่มีใจเมตตา ย่อมได้รับเกียรติ
แต่ชายใจร้ายย่อมมั่งคั่ง
17คนมีความเมตตาย่อมให้ประโยชน์แก่ตน
แต่คนดุร้ายย่อมทำให้ตัวเองเจ็บ
18คนอธรรมได้ค่าจ้างที่หลอกลวง
แต่คนที่หว่านความชอบธรรมจะได้บำเหน็จที่แน่นอน
อรรถาธิบาย
1. เป็นพระพรให้กับประเทศชาติของคุณ
ชีวิตของคุณสามารถส่งผลกระทบได้ ไม่เพียงแค่กับครอบครัว และชุมชนท้องถิ่นของคุณ แต่ยังเป็นบ้านเมืองและแม้กระทั่งประเทศของคุณ
ผู้เขียนสุภาษิตชี้ประเด็นว่า วิธีที่เราดำเนินชีวิตในฐานะบุคคลส่งผลไม่เพียงแค่ตัวเราเอง แต่ยังส่งผลถึงโลกรอบตัวเรา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย
ในทางกลับกัน ‘เมื่อคนชอบธรรมอยู่เย็นเป็นสุข บ้านเมืองก็เปรมปรีดิ์
’ (ข้อ 10) และ ‘โดยได้รับพรจากอิทธิพลของคนเที่ยงธรรมและความโปรดปรานจากพระเจ้า บ้านเมืองก็เป็นที่ยกย่อง’ (ข้อ 11ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) ในทางตรงกันข้าม ‘แต่โดยปากของคนอธรรม บ้านเมืองก็ล่มจม’ (ข้อ 11ข) และ 'เมื่อไม่มีการชี้แนะ ประชาชนก็ล้มลง’ (ข้อ 14)
ถ้าอย่างนั้น คุณควรดำเนินชีวิตอย่างไร? อย่าดูหมิ่นเพื่อนบ้านของคุณ แต่ให้ฝึกที่จะนิ่งเงียบไว้ (ข้อ 12) อย่าเที่ยวซุบซิบนินทา แต่คนที่ไว้วางใจได้ย่อมรักษาความลับไว้ได้ (ข้อ 13)
เราล้วนต้องการคนมีปัญญาที่รักพระเจ้ารอบตัวเรา เพื่อให้คำแนะนำที่ดี ‘เมื่อไม่มีการชี้แนะ ประชาชนก็ล้มลง แต่โดยมีที่ปรึกษามาก ก็มีความปลอดภัย’ (ข้อ 14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) เมื่อคุณมีที่ปรึกษาที่มีปัญญา ให้รับคำปรึกษาจากพวกเขาบ่อย ๆ ถ้ายังไม่มี ทูลขอพระเจ้าให้จัดเตรียมที่ปรึกษาเช่นนั้นให้กับคุณ
จงมีใจเมตตา (ข้อ 16) และหว่านความชอบธรรม (ข้อ 18) หากคุณดำเนินชีวิตเช่นนี้ ทั้งโลกรอบตัวคุณก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลง
คำอธิษฐาน
ยอห์น 4:1-26
พระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรีย
1เมื่อพระเยซูทรงทราบว่าพวกฟาริสีได้ยินข่าวว่า “อาจารย์เยซูมีสาวกและให้บัพติศมามากกว่ายอห์น” 2(ความจริงพระเยซูไม่ได้ทรงให้บัพติศมาเอง แต่สาวกของพระองค์เป็นผู้ให้) 3พระองค์จึงเสด็จออกจากแคว้นยูเดียกลับไปที่แคว้นกาลิลีอีก 4พระองค์จำเป็นต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย 5จึงเสด็จผ่านเมืองหนึ่งชื่อสิคาร์ในแคว้นสะมาเรีย ซึ่งอยู่ใกล้ที่ดินที่ยาโคบให้กับโยเซฟบุตรของตน 6บ่อน้ำของยาโคบก็อยู่ที่นั่น พระเยซูทรงเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย จึงประทับลงที่ข้างบ่อนั้น เวลานั้นประมาณเที่ยง
7มีหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูตรัสกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง” 8ขณะนั้นสาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง 9หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า “ทำไมท่านซึ่งเป็นคนยิวจึงมาขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นหญิงชาวสะมาเรีย?” (เพราะพวกยิวไม่คบหาพวกสะมาเรียเลย) 10พระเยซูตรัสตอบนางว่า “ถ้าเธอรู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเธอว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง’ ก็คงจะขอจากท่านผู้นั้น และผู้นั้นก็คงจะให้น้ำดำรงชีวิตแก่เธอ” 11นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะเอาน้ำดำรงชีวิตนั้นมาจากไหน? 12ท่านใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราผู้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ? ยาโคบเองก็ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรทั้งหลายและสัตว์เลี้ยงของท่านด้วย” 13พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก 14แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” 15นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีก และจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่”
16พระเยซูตรัสกับนางว่า “ไปเรียกสามีของเธอมาที่นี่” 17นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันไม่มีสามีค่ะ” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เธอพูดถูกที่ว่าไม่มีสามี 18เพราะเธอมีสามีถึงห้าคนแล้ว และคนที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่สามีของเธอ เรื่องนี้เธอพูดจริง” 19นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงๆ แล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ 20บรรพบุรุษของเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านบอกว่าสถานที่นมัสการนั้นต้องอยู่ที่เยรูซาเล็ม” 21พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีสักวันหนึ่งที่พวกเธอจะไม่ได้นมัสการพระบิดาทั้งที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม 22สิ่งที่พวกเธอนมัสการนั้นเธอไม่รู้จัก สิ่งที่พวกเรานมัสการนั้นพวกเรารู้จัก เพราะความรอดมาจากพวกยิว 23แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนที่นมัสการอย่างแท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์ 24พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” 25นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา” 26พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราผู้ที่พูดกับเธอเป็นผู้นั้น”
อรรถาธิบาย
2. ทำให้การแบ่งแยกทุกอย่างพังทลายไป
คริสตจักรทุกแห่งควรเป็นคริสตจักรที่มีส่วนร่วมเพราะความรักของพระเจ้านั้นกว้างใหญ่ไพศาล คริสตจักรควรมีชื่อเสียงในเรื่องความรัก เราควรต้อนรับทุกคนโดยไม่คำนึงว่าจะเป็นเพศใด เชื้อชาติใด หรือมีวิถีชีวิตแบบใดก็ตาม พระเยซูทรงทลายทุกสิ่งกีดขวางในสังคมเราลงแล้ว
ชื่อเสียงของพระเยซูโด่งดังยิ่งขึ้น ‘พวกฟาริสีคอยนับจำนวนคนรับบัพติศมาที่พระองค์และยอห์นได้ให้...พวกเขานับว่าพระเยซูทรงให้มากกว่า จึงนับว่าพระองค์และยอห์นเป็นคู่แข่ง’ (ข้อ 1–2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระเยซูทรงไม่ได้สนพระทัยในการชิงดี ชื่อเสียง หรือการแข่งขันกัน ‘เมื่อพระองค์ทรงทราบ พระองค์จึงเสด็จออกจากแคว้นยูเดียกลับไปที่แคว้นกาลิลีอีก’ (ข้อ 3) พระองค์ทรงสนพระทัยมากในการช่วยเหลือชาวสะมาเรียคนหนึ่ง พระองค์ทรงใช้เวลาทำพันธกิจกับเธอ แม่ชีเทเรซ่ากล่าวว่า ‘อย่ากังวลเรื่องจำนวน ช่วยคนทีละคน และเริ่มจากคนที่อยู่ใกล้ตัวคุณที่สุด’
ในการเผชิญหน้ากันครั้งนี้ พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นถึงหนึ่งในวิธีที่สังคมจะถูกเปลี่ยนแปลงไปนั่นคือการทำลายล้างซึ่งการแบ่งแยก
ยุติสงครามระหว่างเพศ พระเยซูทรงสนทนาอย่างยาวนานกับสตรีในที่สาธารณะ นี่ขัดขืนต่อธรรมเนียมในเวลานั้น บรรดารับบีที่เคร่งครัดในเวลานั้นห้ามรับบีแม้กระทั่งทักทายสตรีในที่สาธารณะ ไม่ต้องนึกถึงการนั่งสนทนากันยาว ๆ เลย เมื่อพวกสาวกกลับมา พวกเขา ‘ประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนากับผู้หญิง’ (ข้อ 27)
ตามที่จอห์น สต็อทท์เขียนไว้ว่า “โดยปราศจากการเอะอะหรือการทำประชาสัมพันธ์ใด ๆ พระเยซูทรงทำลายคำสาปแช่งของการล้มลงในบาป ลงทุนชีวิตกับเธอใหม่ด้วยเกียรติยศบางส่วนที่เธอสูญเสียไป และทวงคืนพระพรแห่งการทรงสร้างดั้งเดิมในเรื่องความเท่าเทียมกันทางเพศ เพื่อชุมชนแห่งอาณาจักรใหม่ของพระองค์’
ทั้งสองเพศไม่ควรต่อสู้กัน ตามที่พระสันตะปาปาเบเนดิคที่สิบสี่ ตรัสไว้ว่า ‘ในพระคริสต์ การแข่งขัน ความเป็นปฏิปักษ์ และความรุนแรง ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงผิดเพี้ยนไป สามารถเอาชนะได้และถูกเอาชนะเรียบร้อยแล้ว’
ยุติการเหยียดเชื้อชาติ การเลือกปฏิบัติ และการแบ่งแยกสีผิว การแบ่งแยกระหว่างคนยิวและคนสะมาเรียย้อนกลับไปไกล คนสะมาเรียถูกดูหมิ่นและเป็นชนกลุ่มน้อยที่ไร้อำนาจ ถูกกด และไร้คุณค่า ยอห์นอธิบายว่า ‘เพราะพวกยิวในยุคนั้นไม่พูดจากับพวกสะมาเรียเลย’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระเยซูไม่ได้ประนีประนอมบนพื้นฐานแห่งความจริง ‘ความรอดมาจากพวกยิว’ (ข้อ 22) แต่ถึงกระนั้น พระองค์ทรงเอื้อมไปหาหญิงชาวสะมาเรียคนนี้ ในการทำเช่นนี้ พระองค์ทรงทำลายคำสาปแช่งของการเลือกปฏิบัติเรื่องชนชาติ และการแบ่งแยกสีผิว การเปลี่ยนแปลงทางสังคมต้องมีการทำลายกำแพงแห่งการแบ่งแยกด้านเชื้อชาติ และชาติพันธุ์
ยุติสงครามชนชั้น และการแบ่งแยกทางสังคม
พระเจ้าทรงรักคุณโดยไม่คำนึงถึงวิถีชีวิตของคุณก่อนหน้านี้ หรือในปัจจุบันนี้ ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงรักคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ
ในการขอน้ำดื่มจากเธอ พระเยซูทรงแสดงให้เราเห็นถึงวิธีที่เข้าหาผู้คนที่แตกสลายและมีบาดแผล ไม่ได้เกื้อกูลดั่งคนที่เหนือกว่า แต่ทรงถ่อมตนเหมือนขอทาน
ผู้หญิงคนนี้เคยเป็นคนที่ถูกสังคมกีดกัน ด้วยประวัติของความสัมพันธ์ที่แตกหัก การถูกปฏิเสธและเยาะเย้ยโดยคนร่วมชาติของเธอเอง เธอมาตักน้ำตามลำพังในยามเที่ยงวัน
ไม่เพียงแค่พระเยซูทรงตรัสกับหญิงที่เป็นชาวสะมาเรีย พระองค์ตรัสกับ ‘คนบาป’ ผู้หญิงคนนี้ถูกนำไปสู่ชีวิตที่ผิดศีลธรรม 'เพราะเธอมีสามีถึงห้าคนแล้ว และคนที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่สามีของเธอ’ (ข้อ 18) เธอเคยหย่าร้างหลายครั้งและบัดนี้ก็อยู่กับชายที่เธอไม่ได้แต่งงานด้วย พระเยซูทรงไม่ประนีประนอมเรื่องความจริง แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตัดสิน ประนาม หรือปฏิเสธหญิงชาวสะมาเรีย เพราะวิถีชีวิตของเธอ หรือฐานะทางสังคม (อ้างอิง มาระโก 2:17, ยอห์น 8:10–11)
ความเชื่อไม่ได้ผสมผสานกับ ‘พวกคนบาป’ แต่โดยการปฏิสัมพันธ์ของพระองค์กับหญิงสำส่อนทางเพศคนนี้ พระเยซูทรงทำลายสิ่งกีดขวางอีกอันลงไป ความรักของพระองค์เอื้อมไปยังทุกส่วนในสังคม ข้ามสิ่งกีดขวางเรื่องชนชั้น วิถีชีวิต และฐานะทางสังคม
สุดท้ายแล้ว มีเพียงพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงสามารถนำเอาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม คือองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่นำเอาความเป็นหนึ่งเดียว ทำลายการแบ่งแยกทางเพศ เชื้อชาติ และฐานะทางสังคม ผู้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ควรอยู่ในแนวหน้าของการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศ เชื้อชาติและสังคม
บทสนทนาของพระเยซูกับหญิงคนนี้ ล้วนเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอไม่ได้ต้องการคำสั่งสอน เธอต้องการน้ำธำรงชีวิต พระองค์ตรัสกับเธอว่า ‘ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์”’ (ข้อ 13–14)
พระเยซูเสด็จมาเพื่อดับกระหายของเราในการได้รับการยอมรับ ความสัมพันธ์ และความหมาย ชีวิตที่เราได้รับเป็นชีวิตที่เราให้ออกไป เรากลายเป็นแหล่งแห่งชีวิตสำหรับคนอื่นๆ
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเริ่มต้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา เริ่มจากการดื่มน้ำแห่งชีวิตที่พระเยซูประทานแก่ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาประทับอยู่ภายในคุณ พระองค์ทรงกลายเป็นน้ำพุถาวรซึ่งพลุ่งขึ้นล้นออกจากชีวิตของคุณจนถึงชีวิตนิรันดร์
คุณถูกเปลี่ยนแปลงโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และโดยความสัมพันธ์ส่วนตัวของคุณกับพระเจ้า คำที่ใช้ว่า ‘นมัสการ’ ในที่นี้หมายถึง ‘การคุกเข่าลง การถูกถึงเข้าใกล้ในความสัมพันธ์แห่งความรักที่ใกล้ชิดสนิทสนม’ เรา ‘ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง’ (ข้อ 24)
คำอธิษฐาน
ผู้วินิจฉัย 1:1-2:5
คนอิสราเอลไม่อาจยึดครองคานาอันได้ทั้งหมด
1อยู่มาเมื่อโยชูวาสิ้นชีวิตแล้ว คนอิสราเอลทูลถามพระยาห์เวห์ว่า “ใครในพวกข้าพระองค์จะขึ้นไปสู้รบกับคนคานาอันก่อน?” 2พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ยูดาห์จะขึ้นไป นี่แน่ะ เราได้มอบแผ่นดินนั้นไว้ในมือเขาแล้ว” 3ยูดาห์จึงพูดกับสิเมโอนพี่ของตนว่า “จงขึ้นไปกับฉันในเขตแดนที่กำหนดให้ฉัน ให้เราสู้รบกับคนคานาอัน และฉันเองจะไปร่วมรบในเขตแดนที่กำหนดให้พี่ด้วย” สิเมโอนก็ไปกับเขา 4แล้วยูดาห์ก็ขึ้นไป และพระยาห์เวห์ทรงมอบคนคานาอันและคนเปริสซีไว้ในมือของพวกเขา และพวกเขาก็ประหารคนที่เมืองเบเซก 10,000 คน 5และเขาทั้งหลายพบอาโดนีเบเซกในเมืองเบเซก และสู้รบกับท่าน พวกเขาได้ประหารคนคานาอันและคนเปริสซี 6ส่วนอาโดนีเบเซกหนีไป แต่พวกเขาตามจับได้ เขาตัดนิ้วหัวแม่มือ และนิ้วหัวแม่เท้าของท่านออกเสีย 7อาโดนีเบเซกกล่าวว่า “มีกษัตริย์ 70 องค์ที่มีหัวแม่มือและหัวแม่เท้าด้วน เก็บเศษอาหารใต้โต๊ะของเรา เราทำกับเขาอย่างไร พระเจ้าก็ทรงทำกับเราอย่างนั้น” เขาทั้งหลายก็คุมตัวท่านมาที่เมืองเยรูซาเล็ม และท่านก็สิ้นชีวิตที่นั่น
8และคนยูดาห์ได้โจมตีเมืองเยรูซาเล็มและยึดเมืองได้ จึงฆ่าฟันชาวเมืองเสียด้วยคมดาบ และเอาไฟเผาเมืองเสีย 9ภายหลังคนยูดาห์ได้ลงไปสู้รบกับคนคานาอัน ผู้อยู่ในแดนเทือกเขา ในเนเกบ และในที่ราบ 10และยูดาห์ได้ไปสู้รบกับคนคานาอันผู้อยู่ในเฮโบรน (เมืองเฮโบรนนั้นแต่ก่อนมีชื่อว่า คีริยาทอารบา) และพวกเขาได้ประหารเชชัย อาหิมาน และทัลมัย
11เขายกจากที่นั่นไปสู้รบกับชาวเมืองเดบีร์ (เมืองเดบีร์นั้นแต่ก่อนมีชื่อว่า คีริยาทเสเฟอร์) 12และคาเลบกล่าวว่า “ผู้ที่ตีเมืองคีริยาทเสเฟอร์และยึดได้ เราจะยกอัคสาห์บุตรสาวของเราให้เป็นภรรยา” 13โอทนีเอลบุตรเคนัส น้องชายของคาเลบตีเมืองนั้นได้ คาเลบจึงยกอัคสาห์บุตรสาวของตนให้เป็นภรรยา 14อยู่มาเมื่อแต่งงานกันแล้ว นางจึงชวนสามีให้ขอที่นาจากบิดาของนาง นางก็ลงจากหลังลา คาเลบจึงถามนางว่า “ลูกมาด้วยเรื่องอะไร?” 15นางจึงตอบท่านว่า “ขอของขวัญให้ลูกสักอย่างหนึ่งเถิด เพราะพ่อให้ดินแดนเนเกบที่แห้งแล้งแก่ลูกแล้ว ลูกก็ขอน้ำพุด้วย” และคาเลบก็ยกน้ำพุบนและน้ำพุล่างแก่นาง
16คนเคไนต์ผู้เป็นเชื้อสายพ่อตาของโมเสสได้ขึ้นไปจากเมืองต้นอินทผลัม พร้อมกับคนยูดาห์มาถึงถิ่นทุรกันดารยูดาห์ซึ่งอยู่ในเนเกบใกล้เมืองอาราด และเขาก็ไปอยู่กับชนชาตินั้น 17และยูดาห์ก็ไปกับสิเมโอนพี่ของเขา พวกเขาประหารคนคานาอันผู้อยู่ในเมืองเศฟัท และทำลายเมืองนั้นเสียสิ้น เขาจึงเรียกชื่อเมืองนั้นว่า โฮรมาห์
18ยูดาห์ได้ยึดเมืองกาซา เมืองอัชเคโลน และเมืองเอโครนพร้อมทั้งอาณาเขตของเมืองเหล่านั้นไว้ด้วย 19และพระยาห์เวห์สถิตกับยูดาห์ เขาจึงยึดครองแดนเทือกเขา แต่ไม่อาจขับไล่ผู้ที่อยู่ในหุบเขา เพราะพวกนั้นมีรถรบเหล็ก 20เมืองเฮโบรนนั้นเขายกให้คาเลบดังที่โมเสสได้กล่าวไว้ คาเลบจึงขับไล่บุตรชายทั้งสามคนของอานาคออกไปเสีย 21แต่คนเบนยามินไม่ได้ขับไล่คนเยบุสผู้อยู่ในเยรูซาเล็มออกไป ดังนั้นคนเยบุสจึงอาศัยอยู่กับคนเบนยามินในเมืองเยรูซาเล็มจนถึงทุกวันนี้
22พงศ์พันธุ์ของโยเซฟได้ขึ้นไปโจมตีเมืองเบธเอลด้วย และพระยาห์เวห์สถิตกับพวกเขา 23พงศ์พันธุ์โยเซฟได้ใช้คนไปสอดแนมเมืองเบธเอล (แต่ก่อนเมืองนี้ชื่อ ลูส) 24และพวกผู้สอดแนมเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากเมือง จึงพูดกับเขาว่า “จงชี้ทางเข้าเมืองนี้ให้แก่เรา และเราจะปรานีเจ้า” 25ชายคนนั้นก็ชี้ทางเข้าเมืองให้และพวกเขาทำลายเมืองนั้นเสียด้วยคมดาบ แต่ปล่อยชายนั้นและครอบครัวทั้งสิ้นของเขาไป 26ชายคนนั้นก็เข้าไปในแผ่นดินของคนฮิตไทต์ และสร้างเมืองขึ้นเมืองหนึ่ง เรียกชื่อว่าเมืองลูส ซึ่งเป็นชื่ออยู่จนทุกวันนี้
27มนัสเสห์ไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองเบธชาน หรือชาวเมืองทาอานาค หรือชาวเมืองโดร์ หรือชาวเมืองอิบเลอัม หรือชาวเมืองเมกิดโด และไม่ได้ขับไล่คนในหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองเหล่านั้นออกไป ดังนั้นคนคานาอันจึงยังอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น 28อยู่มาเมื่อคนอิสราเอลเข้มแข็งขึ้น ก็บังคับคนคานาอันให้ทำงานหนักเยี่ยงทาส แต่ไม่ได้ขับไล่เขาออกไปอย่างสิ้นเชิง
29และเอฟราอิมไม่ได้ขับไล่คนคานาอัน ผู้อาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ออกไป ดังนั้นคนคานาอันจึงยังอาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ท่ามกลางเขาฉบับกรีก เพิ่มข้อความว่า แต่ถูกเกณฑ์ให้ทำงานหนักเยี่ยงทาส
30เศบูลุนไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองคิทโรนและชาวเมืองนาหะโลล ดังนั้นคนคานาอันจึงอาศัยอยู่ท่ามกลางเขาและถูกเกณฑ์ให้ทำงานหนักเยี่ยงทาส
31อาเชอร์ไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองอัคโค หรือชาวเมืองไซดอน หรือชาวเมืองอัคลาบ หรือชาวเมืองอัคซีบ หรือชาวเมืองเฮลบาห์ หรือชาวเมืองอาฟิกหรือชาวเมืองเรโหบ 32ฉะนั้นคนเผ่าอาเชอร์จึงอาศัยอยู่ท่ามกลางคนคานาอันชาวแผ่นดินนั้น เพราะว่าเขาไม่ได้ขับไล่คนคานาอันออกไป
33นัฟทาลีไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองเบธเชเมช และชาวเมืองเบธานาท แต่ได้อาศัยอยู่ท่ามกลางคนคานาอันชาวแผ่นดินนั้น อย่างไรก็ดีชาวเมืองเบธเชเมชและชาวเมืองเบธานาทก็ถูกเกณฑ์ให้ทำงานหนักเยี่ยงทาสให้พวกเขา
34คนอาโมไรต์ได้บีบคนดานเข้าไปในแดนเทือกเขา และไม่ยอมให้ลงมายังหุบเขา 35คนอาโมไรต์ยังตั้งมั่นอยู่ที่ภูเขาเฮเรสในเมืองอัยยาโลน และในเมืองชาอัลบิม แต่อำนาจของพงศ์พันธุ์โยเซฟเหนือกว่า ดังนั้นคนอาโมไรต์จึงถูกเกณฑ์ให้ทำงานหนักเยี่ยงทาส 36พรมแดนของคนอาโมไรต์ เริ่มตั้งแต่ทางขึ้นเนินอัครับบิมคือตั้งแต่เมืองเส-ลาเรื่อยขึ้นไป
ผู้วินิจฉัย 2
อิสราเอลไม่เชื่อฟัง
1ทูตของพระยาห์เวห์ได้ขึ้นไปจากกิลกาลถึงโบคิม และท่านกล่าวว่า “เราได้นำเจ้าทั้งหลายขึ้นมาจากอียิปต์ และได้นำพวกเจ้าเข้ามายังแผ่นดินซึ่งเราได้ปฏิญาณไว้แก่บรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลายว่า ‘เราจะไม่มีวันหักพันธสัญญาที่เราทำกับเจ้าเลย 2และเจ้าทั้งหลายอย่าทำพันธสัญญากับชาวแผ่นดินนี้ พวกเจ้าจงทำลายแท่นบูชาของพวกเขาเสีย แต่เจ้าทั้งหลายไม่เชื่อฟังเรา ทำไมเจ้าทำเช่นนี้เล่า? 3ฉะนั้นเรากล่าวด้วยว่า เราจะไม่ขับไล่เขาเหล่านั้นออกไปให้พ้นหน้าเจ้าทั้งหลาย แต่พวกเขาจะเป็นหอกข้างแคร่ของพวกเจ้า และบรรดาพระของพวกเขาจะเป็นบ่วงดักเจ้าทั้งหลาย” 4เมื่อทูตของพระยาห์เวห์กล่าวคำเหล่านี้แก่คนอิสราเอลทั้งปวงแล้ว ประชาชนก็ส่งเสียงร้องไห้ 5และพวกเขาเรียกที่นั้นว่า โบคิม และถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์ที่นั่น
อรรถาธิบาย
- คร่ำครวญกับพระเจ้าเพื่อการนำที่ดี
เราดำเนินชีวิตในโลกที่ไร้ระเบียบ และโกลาหล ในบางด้านก็ไม่ได้แตกต่างเท่าไหร่จากโลกที่ถูกบรรยายไว้ในพระธรรมผู้วินิจฉัย
การเข้าสู่พระธรรมผู้วินิจฉัยนั้นค่อนข้างน่าตกใจ เราพบการผสมผสานของความรุนแรง การข่มขืน การสังหารหมู่ ความโหดเหี้ยม การหลอกลวง และการทำร้ายร่างกาย เราได้เห็นถึงวิธีที่ผู้คนล้มเหลวในการยึดถือรูปเคารพและการทำบาป เมื่อพวกเขาตั้งรกรากในแผ่นดินแห่งพันธสัญญา แม้จะมีคำเตือนของพระเจ้า พวกเขาก็ประนีประนอมกับให้กับความเชื่อ และหลักศีลธรรมของผู้คนรอบตัว (2:1–2) ผู้ซึ่งกลายเป็น ‘หอกข้างแคร่ของ(พวกเขา) และบรรดาพระของพวกเขาจะเป็นบ่วงดัก(พวกเขา)ทั้งหลาย’ (ข้อ 3)
พระเจ้าทรงเรียกคุณให้ไม่ประนีประนอมกับสิ่งเลวร้าย พระองค์ไม่ได้อยากให้คุณแค่ตัดด้านต่าง ๆ ของชีวิตคุณที่คุณรู้ว่าผิดออกไป แต่ให้ตัดออกไปอย่างหมดจด และไร้ความปรานี
ประชาชนพบว่าตัวเองอยู่ในวังวนของความไม่เชื่อฟัง ถูกกดขี่จากศัตรูของพวกเขา จากนั้นก็ร้องหาพระเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ
พระเจ้าทรงตอบด้วยการส่งผู้วินิจฉัย (ผู้นำ) ให้กับพวกเขา พระองค์ทรงใช้คนทุกประเภทที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ให้มาเป็นผู้นำ ซึ่งหนุนใจเราทุกคนอย่างใหญ่หลวง โดยการเสริมกำลังขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้นำเหล่านี้สามารถนำพวกเขา และเปลี่ยนแปลงโลกของพวกเขา
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ยอห์น 4:1–26
จากคนทั้งหมดที่พระเยซูทรงอาจใช้เวลาด้วย พระองค์ทรงเลือกคนที่ต่ำที่สุดในหมู่คนที่ชั้นต่ำ นั่นคือหญิงชาวสะมาเรีย ในอาณาจักรที่กลับด้านของพระเยซู พระเยซูประทานศักดิ์ศรีให้แก่ผู้ที่ไร้ศักดิ์ศรีใด ๆ
ข้อพระคำประจำวัน
(สุภาษิต 11:13)
‘คนที่เที่ยวซุบซิบก็เผยความลับ
แต่คนที่ไว้วางใจได้ย่อมปิดเรื่องไว้ได้’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)