วิธีการตัดสินใจที่ดี
เกริ่นนำ
ชาลส์ ฟินนีย์ ทนายความและผู้ประกาศข่าวประเสริฐ เคยขึ้นบรรยายในคริสตจักรนิวยอร์คช่วงปี ค.ศ. 1830 ในตอนท้ายของการประกาศนั้น เขาให้โอกาสผู้คนได้ออกมาด้านหน้าของห้อง และถวายชีวิตของพวกเขาให้พระเยซู ทนายที่มีชื่อเสียงหลาย ๆ คนมาฟังเขา ในคืนวันหนึ่ง หัวหน้าผู้พิพากษาของนิวยอร์คกำลังนั่งอยู่ทางขึ้นในแกลเลอรี่ เมื่อเขาฟังฟินนีย์ประกาศข่าวประเสริฐ เขายอมรับว่านี่เป็นความจริง
จากนั้นคำถามนี้ก็เข้ามาในใจของเขา ‘ฉันจะออกไปด้านหน้าเหมือนกับคนธรรมดาคนอื่น ๆ ดีไหม?’ บางอย่างในใจเขาทำให้เขาคิดว่า ทำแบบนั้นไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เพราะว่าตำแหน่งทางสังคมอันทรงเกียรติของเขา (ซึ่งอยู่ในตำแหน่งระดับสูงของรัฐนิวยอร์ค) เขานั่งครุ่นคิดถึงทางเลือกที่เขาต้องตัดสินใจ แล้วเขาก็คิดว่า ‘ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ? ฉันเชื่อว่านี่เป็นความจริงนี่...ทำไมฉันถึงจะไม่ทำเหมือนอย่างคนอื่น ๆ เขาล่ะ?’
เขาลุกขึ้นจากที่นั่งในแกลเลอรี่ เดินลงมาตามบันไดและขึ้นบันไดไปด้านหลังตรงจุดที่ฟินนีย์ยืนเทศนาอยู่ ในขณะที่ฟินนีย์กำลังเทศนาอยู่นั้น เขารู้สึกว่ามีคนมาดึงแจ็คเก็ตของเขา และเมื่อเขาหันไปมอง หัวหน้าผู้พิพากษากล่าวว่า 'คุณฟินนีย์ ถ้าคุณเรียกให้ผู้คนออกมาตอบสนองด้านหน้า ผมจะออกมาด้วย’ ฟินนีย์จบการเทศนาของเขา และกล่าวว่า ‘ท่านหัวหน้าผู้พิพากษากล่าวว่า ถ้าผมเรียกคนออกมาตอบสนองด้านหน้า ท่านจะออกมาด้วย ผมขอให้คุณออกมาข้างหน้าตอนนี้ครับ’
หัวหน้าผู้พิพากษาเดินออกมาด้านหน้า ทนายเกือบทุกคนในเขตโรเชสเตอร์ นิวยอร์ค เดินตามเขาออกมา! ว่ากันว่ามีผู้คนกว่า 100,000 คน กลับใจเชื่อในสิบสองเดือนต่อมาในเขตนั้น จะเห็นได้ว่าการตัดสินใจเลือกของคน ๆ หนึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตคนอีกมากมาย
ชีวิตเต็มไปด้วยทางเลือก เราตัดสินใจเลือกอะไรหลายอย่างทุกวันในชีวิตของเรา คุณสามารถตัดสินใจเลือกทางที่ผิดหรือตัดสินใจเลือกทางที่ดีก็ได้ การตัดสินใจเลือกของคุณนั้นสำคัญ และการตัดสินใจเลือกบางอย่างสามารถส่งผลกระทบถึงขั้นเปลี่ยนชีวิตเลยก็เป็นได้
สดุดี 55:12-23
12เพราะมิใช่ศัตรูที่เยาะเย้ยข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจึงจะทนได้
มิใช่ผู้ที่เกลียดชังข้าพเจ้า ผู้ที่ยกตัวข่มข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจึงจะซ่อนตัวจากเขาได้
13แต่เป็นท่าน ผู้เท่าเทียมกับข้าพเจ้า
เป็นเพื่อนสนิทของข้าพเจ้า เป็นมิตรรู้จักมักคุ้นกับข้าพเจ้า
14เราเคยสนทนาปราศรัยกันอย่างชื่นใจ
เราเคยเดินท่ามกลางฝูงชนในพระนิเวศของพระเจ้า
15ขอให้ความตายมาหาเขาเหล่านั้น
ให้เขาลงไปยังแดนคนตายทั้งเป็น
เพราะบรรดาความชั่วร้ายอยู่ในที่พำนักของเขา ในท่ามกลางเขา
16ส่วนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะร้องทูลพระเจ้า
และพระยาห์เวห์จะทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอด
17ทั้งเวลาเย็น เวลาเช้า และเวลาเที่ยง
ข้าพเจ้าร้องทุกข์และคร่ำครวญ
และพระองค์จะทรงฟังเสียงของข้าพเจ้า
18พระองค์จะทรงไถ่ชีวิตข้าพเจ้าให้ปลอดภัย
จากสงครามที่ข้าพเจ้าเผชิญอยู่
เพราะคนเป็นอันมากตั้งแถวสู้ข้าพเจ้า
19พระเจ้าจะทรงสดับฟังและกดพวกเขาลง
คือพระองค์ผู้ประทับบนบัลลังก์ตั้งแต่โบราณกาล
เพราะเขาไม่เปลี่ยนวิถีชีวิต
และไม่ยำเกรงพระเจ้า
20เพื่อนสนิทของข้าพเจ้า ยื่นมือออกต่อสู้เพื่อนของเขา
เขาละเมิดพันธสัญญาของเขา
21คำพูดของเขาลื่นยิ่งกว่าเนย
แต่สงครามแปลได้อีกว่า การคิดร้ายอยู่ภายในใจของเขา
ถ้อยคำของเขานุ่มนวลกว่าน้ำมัน
แต่ทว่าเป็นดาบที่ชักออกมาแล้ว
22จงมอบภาระของท่านไว้กับพระยาห์เวห์
และพระองค์จะทรงค้ำจุนท่าน
พระองค์จะไม่ทรงยอมให้
คนชอบธรรมคลอนแคลนเลย
23ข้าแต่พระเจ้า แต่พระองค์จะทรงเหวี่ยงคนอธรรมลง
สู่ก้นหลุมมรณะ
คนที่กระหายเลือดและหลอกลวง
จะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งจำนวนเวลาของเขา
แต่ข้าพระองค์จะวางใจในพระองค์
อรรถาธิบาย
เลือกการไว้วางใจเหนือความกังวลใจ
เหมือนกับที่มีคำกล่าวว่า 'ความกังวลเป็นเหมือนเก้าอี้โยก มันทำอะไรให้คุณบางอย่างก็จริง แต่ไม่ได้ทำให้คุณไปถึงไหนเลย’ ไม่มีใครก้าวผ่านการใช้ชีวิตโดยไม่เจอกับปัญหามากมาย การต่อสู้ และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้กังวลใจ
ดาวิดเผชิญกับความยากลำบากมากมายในชีวิต ตรงนี้เองเขาได้กล่าวถึงหนึ่งในการต่อสู้ที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต (ข้อ 18ข) ‘เพื่อนสนิท' ของเขา (ข้อ 13ข) กับผู้ซึ่งเขาได้ ‘แบ่งปัน’ ‘ความลับต่าง ๆ’ ให้ฟัง (ข้อ 14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Easy-to-Read Version โดยผู้แปล) เขาเหล่านั้นได้หันมาต่อต้านและร่วมกับคนมากมายที่ต่อสู้ดาวิด (ข้อ 18ค) แน่นอนว่าดาวิดพบความลำบากใจนี้มากกว่าการที่ ‘ศัตรูที่เยาะเย้ยข้าพเจ้า’ (ข้อ 12ก) อย่างที่เราทั้งหลายคงรู้สึกเช่นกัน
เหมือนในการต่อสู้ใด ๆ เรามี ‘ทางเลือก’ ในวิธีที่เราจะตอบสนอง ดาวิดเลือกที่จะหันไปหาพระเจ้าและร้องทูลพระองค์ ‘ทั้งเวลาเย็น เวลาเช้า และเวลาเที่ยง’ (ข้อ 16–17) หากคุณข้องเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับเพื่อนสนิทหรือสมาชิกครอบครัว คุณควรเข้าเฝ้าพระเจ้าเพื่อขอการปลอบประโลมและรับกำลัง ดาวิดทำเช่นนั้น และผลก็คือเขาได้มีประสบการณ์กับสันติสุขของพระเจ้า เขาเขียนไว้ว่า ‘พระองค์จะทรงไถ่ชีวิตข้าพเจ้าไว้ในสันติสุข จากสงครามที่ข้าพเจ้าเผชิญอยู่ เพราะคนเป็นอันมากตั้งแถวสู้ข้าพเจ้า’ (ข้อ 18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
จากประสบการณ์นี้เอง ดาวิดจึงสามารถให้คำแนะนำนี้ได้: ‘จงมอบภาระของท่านไว้กับพระยาห์เวห์ และพระองค์จะทรงค้ำจุนท่าน’ (ข้อ 22ก) ในแต่ละปี ผมได้เขียนที่ขอบหน้าพระคริสตธรรมคัมภีร์ของผมถึง ‘ภาระต่าง ๆ’ ซึ่งผมได้ ‘มอบไว้กับพระเจ้า’ ในการตอบสนองต่อพระคำข้อนี้ ภาระส่วนใหญ่ (แม้จะไม่ใช่เกือบทั้งหมด) ได้รับยิ่งกว่าการแก้ไขเสียอีก
เมื่อคุณเผชิญกับเรื่องกังวลต่าง ๆ การต่อสู้ และความผิดหวังของชีวิต อย่ายอมให้สิ่งเหล่านี้ครอบงำคุณ เช่นเดียวกับดาวิด จงเข้าเฝ้าพระเจ้าและวางภาระของคุณไว้กับพระองค์ และจากนั้นกล่าวว่า ‘แต่ข้าพระองค์จะวางใจในพระองค์’ (ข้อ 23ข)
คำอธิษฐาน
ยอห์น 3:22-36
พระเยซูและยอห์นผู้ให้บัพติศมา
22หลังจากนั้น พระเยซูเสด็จเข้าไปในแคว้นยูเดียกับพวกสาวกของพระองค์ และประทับที่นั่นกับพวกเขา และทรงให้บัพติศมา 23ยอห์นก็ให้บัพติศมาอยู่ที่อายโนนใกล้หมู่บ้านสาลิม เพราะที่นั่นมีน้ำมาก และคนทั้งหลายก็พากันมารับบัพติศมา 24เพราะยอห์นยังไม่ถูกขังในคุก
25แต่เกิดการโต้เถียงกันขึ้นระหว่างพวกศิษย์ของยอห์นและคนหนึ่งในพวกยิวเรื่องการชำระมลทิน 26พวกเขาจึงไปหายอห์นบอกว่า “อาจารย์ คนที่อยู่กับอาจารย์ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คนที่อาจารย์เป็นพยานถึงนั้น นี่แน่ะ คนนี้กำลังให้บัพติศมาและทุกคนก็พากันไปหาเขา” 27ยอห์นตอบว่า “ไม่มีใครสามารถรับสิ่งใด นอกจากสิ่งที่พระเจ้าประทานจากสวรรค์ให้เขา 28พวกท่านเองก็เป็นพยานว่า ข้าพเจ้าพูดว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นพระคริสต์ แต่ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จพระองค์ 29ท่านที่มีเจ้าสาวนั่นแหละคือเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าวก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว เพราะฉะนั้นความปีติยินดีของข้าพเจ้าจึงเต็มเปี่ยม 30พระองค์ต้องยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง”
ผู้ที่เสด็จมาจากสวรรค์
31พระองค์ผู้เสด็จมาจากเบื้องบนทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง ผู้ที่มาจากโลกก็อยู่ฝ่ายโลกและพูดตามอย่างโลก พระองค์ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง 32พระองค์ทรงเป็นพยานถึงสิ่งที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นและทรงได้ยิน แต่ไม่มีใครรับคำพยานของพระองค์ 33คนที่รับคำพยานของพระองค์ก็รับรองว่าพระเจ้าทรงสัตย์จริง 34เพราะพระองค์ผู้ที่พระเจ้าทรงใช้มานั้นทรงกล่าวพระดำรัสของพระเจ้า เพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานพระวิญญาณอย่างจำกัด 35พระบิดาทรงรักพระบุตรและทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ 36คนที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ คนที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา
อรรถาธิบาย
เลือกพระเยซู
ยอห์นผู้ให้บัพติศมากลายเป็นคนชื่อเสียงโด่งดัง เขามีพันธกิจที่โดดเด่น และคนทั้งหลาย ‘ก็พากันมา [หาเขาเพื่อ] รับบัพติศมา’ (ข้อ 23) สาวกของยอห์นก็เป็นพวกชอบแข่งขัน พวกเขาเริ่มอิจฉาความสำเร็จของพระเยซู พวกเขามาหายอห์นและพูดถึงพระเยซูว่า ‘คนนั้นกำลังแข่งกับเรา...ทุกคนพากันไปหาเขาแทนที่จะมาหาเรา’ (ข้อ 26, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ยอห์นจำเป็นต้องเลือกวิธีที่ท่านจะตอบสนอง ท่านเริ่มโดยการชี้ให้สาวกเห็นว่า ‘ไม่มีใครสามารถทำสำเร็จได้โดยปราศจากความช่วยเหลือจากสวรรค์ ข้าพเจ้าพูดถึงความสำเร็จชั่วนิรันดร์’ (ข้อ 27, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาเลือกที่จะชี้ให้ผู้คนไปหาพระเยซูมากกว่าจะชี้ให้มาที่ตัวเอง ‘พวกท่านเองก็เป็นพยานว่า ข้าพเจ้าพูดว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นพระคริสต์ แต่ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จพระองค์”’ (ข้อ 28)
ยอห์นเชื่อมโยงตำแหน่งของตัวท่านเองเข้ากับ “เพื่อนที่มางานบ่าวสาว” (คนที่เราอาจเรียกว่าเป็น “เพื่อนเจ้าบ่าว”) ห่างไกลจากการถูกคุกคามโดยการมาถึงของเจ้าบ่าว นี่เป็นสิ่งสำคัญที่เขารอคอยอยู่ และเขาก็ปีติยินดีด้วยเรื่องนี้ เช่นเดียวกันยอห์นอธิบายว่า ท่านได้รอคอยพระเยซู และ “ชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง” ในพันธกิจของพระเยซู พระเยซูทรงเป็นผู้รับช่วงต่อของยอห์นผู้ให้บัพติศมา ยอห์นกล่าวถึงพระเยซูว่า “พระองค์ต้องยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง” (ข้อ 30)
หลายครั้ง เราทุกคนอาจถูกขับเคลื่อนด้วยการอยากจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่กว่า สำคัญมากกว่า มีเกียรติมากกว่า ถูกเลื่อนขั้นให้สูงกว่า หรือมีคุณสมบัติที่ดีกว่าเดิม นี่ไม่ใช่เป้าหมายที่เลวร้ายด้วยตัวมันเอง แต่ทางเลือกทุก ๆ วันของเราจะถูกครอบงำด้วยความทะเยอทะยานเหล่านี้ คุณต้องเลือกวิธีการใช้ชีวิตของคุณ คุณกำลังจดจ่ออยู่ที่การได้เลื่อนตำแหน่งหรือในการยกย่องพระเยซู? ความทะเยอทะยานของคุณ ทำเพื่อตัวเองมากกว่าหรือเพื่อพระเยซูมากกว่า?
บางครั้ง เรายังเห็นพันธกิจต่าง ๆ ของคริสเตียนแข่งขันกับกันเอง นี่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย
ให้ถ้อยคำเหล่านี้ดังก้องอยู่ในหัวใจของคุณ ‘พระองค์ต้องยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง’ (ข้อ 30) ที่สุดแล้ว จุดสนใจไม่ได้อยู่ที่ตัวคุณ แต่อยู่ที่พระเยซูเสมอ ความทะเยอทะยานของเราควรเป็นการชี้ผู้คนไปหาพระเยซูเสมอ
ยอห์นเน้นย้ำเรื่องที่เป็นประเด็นจริง ๆ ‘คนที่ยอมรับและวางใจในพระบุตรก็ได้ทุกสิ่ง ชีวิตที่ครบบริบูรณ์และเป็นนิรันดร์! คนที่หลีกเลี่ยงและไม่เชื่อพระบุตรก็จะอยู่ในความมืดมิด และไม่ได้เห็นชีวิต ทั้งหมดที่เขาจะรับจากพระเจ้าคือความมืด และพระพิโรธของพระเจ้า' (ข้อ 3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
นี่เป็นทางเลือกที่ชี้เป็นชี้ตายที่สุด เราจะเลือกพระเยซู หรือปฎิเสธพระองค์?
คำอธิษฐาน
โยชูวา 23:1-24:33
โยชูวาหนุนใจประชาชน
1ต่อมาอีกนานเมื่อพระยาห์เวห์โปรดให้อิสราเอลพักสงบจากพวกศัตรูที่ล้อมรอบ และโยชูวามีอายุชราลงมาก 2โยชูวาก็เรียกบรรดาคนอิสราเอล ทั้งพวกผู้ใหญ่ พวกผู้นำ ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ แล้วกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “ข้าพเจ้าแก่และมีอายุมากแล้ว 3พวกท่านได้เห็นทุกสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงทำต่อประชาชาติทั้งหมดเหล่านี้เพื่อเห็นแก่ท่าน เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงสู้รบเพื่อท่าน 4ดูสิ ประชาชาติที่เหลืออยู่นั้น ข้าพเจ้าได้จับฉลากแบ่งให้เป็นมรดกแก่เผ่าต่างๆ ของพวกท่าน รวมทั้งประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งข้าพเจ้าได้ทำลายเสีย ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนจนถึงทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตก 5พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงผลักดันพวกเขาออกไปให้พ้นหน้าท่าน และทรงขับไล่เขาออกไปให้พ้นสายตาของท่าน และท่านจะได้ยึดครองแผ่นดินของเขา ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงสัญญาไว้ต่อท่าน 6ดังนั้นจงรักษาและทำตามทุกสิ่งซึ่งเขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสสอย่างเข้มงวด อย่าเขวไปทางขวาหรือทางซ้าย 7เพื่อท่านจะไม่สมาคมกับประชาชาติเหล่านี้ ซึ่งเหลืออยู่ท่ามกลางท่านหรือออกชื่อหรือสาบานในนามพระของพวกเขา หรือปรนนิบัติหรือกราบลงนมัสการพระเหล่านั้น 8แต่พวกท่านจงยึดมั่นอยู่กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ดังที่ได้ทำอยู่จนถึงวันนี้ 9เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงขับไล่ประชาชาติที่ใหญ่โตและแข็งแรงออกไปให้พ้นหน้าท่าน ส่วนท่านเองก็ยังไม่มีใครต่อสู้ท่านได้จนถึงวันนี้ 10พวกท่านคนเดียวจะขับไล่พันคนให้หนีไปฉธบ.32:30 เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงสู้รบเพื่อท่าน ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ 11จงรักษาตัวให้ดีที่จะรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 12เพราะว่าถ้าท่านหันกลับและผูกพันกับประชาชาติเหล่านี้ที่เหลืออยู่ท่ามกลางพวกท่าน โดยแต่งงานกับพวกเขา คือท่านแต่งงานกับหญิงของเขา และเขาแต่งงานกับหญิงของท่าน 13จงทราบแน่เถิดว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะไม่ทรงขับไล่ประชาชาติเหล่านี้ออกไปให้พ้นหน้าท่านอีก แต่พวกเขาจะเป็นบ่วงและเป็นกับดักท่าน เป็นหอกข้างแคร่ เป็นหนามทิ่มตาของท่าน จนกว่าท่านจะพินาศไปจากแผ่นดินที่ดีนี้ ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ประทานแก่ท่าน
14“นี่แน่ะ ข้าพเจ้ากำลังจะตายแล้ว พวกท่านได้ทราบในจิตในใจของท่านแล้วว่าไม่มีสิ่งดีสักสิ่งเดียวซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านสัญญาเกี่ยวกับท่านแล้วล้มเหลวไป สำเร็จหมดทุกอย่าง ไม่มีสักอย่างเดียวที่ล้มเหลว 15สิ่งดีทุกอย่างซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านสัญญาเกี่ยวกับท่านได้สำเร็จเพื่อท่านอย่างไร พระยาห์เวห์ก็จะทรงนำสิ่งที่ร้ายมาถึงท่านจนกว่าพระองค์จะทรงทำลายท่านเสียจากแผ่นดินอันดีนี้ ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเช่นเดียวกัน 16ถ้าท่านทั้งหลายทำผิดพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาท่านไว้ และไปปรนนิบัติพระอื่น และกราบลงนมัสการพระเหล่านั้น แล้วพระพิโรธของพระยาห์เวห์จะพลุ่งขึ้นต่อท่าน แล้วท่านจะพินาศไปอย่างรวดเร็วจากแผ่นดินที่ดีซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ประทานแก่ท่าน”
โยชูวา 24
เผ่าคนอิสราเอลรื้อฟื้นพันธสัญญา
1แล้วโยชูวาก็รวบรวมบรรดาเผ่าคนอิสราเอลมาที่เชเคม และเรียกพวกผู้ใหญ่ ผู้นำ ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ของอิสราเอล พวกเขาก็มาปรากฏตัวเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า 2แล้วโยชูวากล่าวกับประชาชนทั้งสิ้นว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘ในสมัยก่อน บรรพบุรุษของพวกเจ้าอยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรติส คือเท-ราห์ บิดาของอับราฮัมและของนาโฮร์ และพวกเขาปรนนิบัติพระอื่นๆ 3แล้วเราได้นำบิดาของเจ้าคืออับราฮัม มาจากฟากตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรติส และนำเขามาตลอดแผ่นดินคานาอัน ทำให้ลูกหลานของเขามีมากมาย เราให้อิสอัคแก่เขา 4เราให้ยาโคบและเอซาวแก่อิสอัค และเราได้ให้แดนเทือกเขาเสอีร์แก่เอซาวเป็นกรรมสิทธิ์ แต่ยาโคบและลูกหลานของเขาได้ลงไปในอียิปต์ 5แล้วเราได้ส่งโมเสสกับอาโรนมา และเราได้ให้ภัยพิบัติเกิดแก่อียิปต์ด้วยสิ่งที่เราทำท่ามกลางแผ่นดินนั้น และภายหลังเราได้นำพวกเจ้าออกมา 6แล้วเราก็นำบรรพบุรุษของเจ้าออกจากอียิปต์ และพวกเจ้ามาถึงทะเล ชาวอียิปต์ได้ไล่ตามบรรพบุรุษของเจ้าด้วยรถรบและพลม้ามาถึงทะเลแดง7และเมื่อพวกเขาร้องทูลพระยาห์เวห์ พระองค์ก็ทรงบันดาลให้ความมืดเกิดขึ้นระหว่างพวกเจ้าและชาวอียิปต์ และทำให้ทะเลท่วมมิดเขา นัยน์ตาของเจ้าได้เห็นสิ่งที่เราทำในอียิปต์ และพวกเจ้าก็ได้อยู่ในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลานาน 8แล้วเราก็นำพวกเจ้ามาที่แผ่นดินของคนอาโมไรต์ ซึ่งอยู่ที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน พวกเขาสู้รบกับเจ้า และเราได้มอบเขาไว้ในมือของเจ้าและพวกเจ้ายึดครองแผ่นดินของเขา และเราก็ทำลายเขาให้พ้นหน้าเจ้า 9คราวนั้นบาลาคบุตรศิปโปร์กษัตริย์แห่งโมอับได้ลุกขึ้นต่อสู้กับอิสราเอล เขาใช้ให้ไปเรียกบาลาอัมบุตรเบโอร์มาให้แช่งพวกเจ้า 10แต่เราไม่ฟังบาลาอัม เพราะฉะนั้นเขาจึงอวยพรเจ้า ดังนั้นเราจึงช่วยเจ้าให้พ้นมือของเขา 11และพวกเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาที่เมืองเยรีโค ชาวเมืองเยรีโคต่อสู้กับเจ้า รวมทั้งคนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนเกอร์กาชี คนฮีไวต์ และคนเยบุส แล้วเราได้มอบพวกเขาไว้ในมือของเจ้า 12และเราได้ใช้ฝูงแตนไปข้างหน้าเจ้า ซึ่งขับไล่กษัตริย์ทั้งสองของชาวอาโมไรต์ไปเสียต่อหน้าเจ้า ไม่ใช่ด้วยดาบหรือด้วยธนูของเจ้า 13เราได้ยกแผ่นดินซึ่งเจ้าไม่ได้เหนื่อยกายบนนั้น และยกเมืองซึ่งเจ้าไม่ได้สร้างให้แก่เจ้า และพวกเจ้าได้เข้าอาศัยอยู่ในนั้น เจ้าได้กินผลของสวนองุ่นและสวนมะกอก ซึ่งเจ้าไม่ได้ปลูก’
14“ฉะนั้น จงยำเกรงพระยาห์เวห์และปรนนิบัติพระองค์ด้วยความจริงใจและด้วยความซื่อสัตย์ จงทิ้งพระเหล่านั้นซึ่งบรรพบุรุษของท่านปรนนิบัติที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำและในอียิปต์เสีย จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์ 15และถ้าพวกท่านไม่เห็นด้วยที่จะปรนนิบัติพระยาห์เวห์ ท่านก็จงเลือกเสียในวันนี้ว่าท่านจะปรนนิบัติใคร จะปรนนิบัติบรรดาพระซึ่งบรรพบุรุษของท่านปรนนิบัติอยู่ในท้องถิ่นฟากตะวันออกของแม่น้ำ หรือบรรดาพระของคนอาโมไรต์ในแผ่นดินซึ่งท่านอาศัยอยู่ แต่ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะปรนนิบัติพระยาห์เวห์”
16ประชาชนจึงตอบว่า “อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยที่พวกเราจะละทิ้งพระยาห์เวห์ไปปรนนิบัติพระอื่น 17เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราเป็นผู้ทรงนำเรากับปู่ย่าตายายของเราขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ให้พ้นจากเรือนทาสนั้น และเป็นผู้ทรงทำหมายสำคัญยิ่งใหญ่ในสายตาของเรา และทรงคุ้มครองเราไว้ตลอดทางที่เราได้เดินไป และท่ามกลางชนชาติทั้งหลายซึ่งเราผ่านไป 18และพระยาห์เวห์ทรงขับไล่ชนชาติเหล่านั้นทั้งหมดออกไปให้พ้นหน้าเราคือ คนอาโมไรต์ ซึ่งอยู่ในแผ่นดินนั้น เพราะฉะนั้นพวกเราจะปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้วย เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา”
19แต่โยชูวากล่าวแก่ประชาชนว่า “พวกท่านจะปรนนิบัติพระยาห์เวห์ไม่ได้ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงหวงแหน พระองค์จะไม่ทรงอภัยความทรยศหรือบาปของท่าน 20ถ้าท่านทั้งหลายละทิ้งพระยาห์เวห์ไปปรนนิบัติบรรดาพระต่างด้าว แล้วพระองค์จะทรงหันกลับและทำร้ายท่าน และผลาญท่านเสีย หลังจากที่พระองค์ได้ทรงทำดีต่อท่านมาแล้ว” 21และประชาชนกล่าวแก่โยชูวาว่า “อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะพวกเราจะปรนนิบัติพระยาห์เวห์” 22แล้วโยชูวากล่าวแก่ประชาชนว่า “พวกท่านเป็นพยานปรักปรำตนเองว่า ท่านได้เลือกพระยาห์เวห์ เพื่อปรนนิบัติพระองค์” และพวกเขากล่าวว่า “พวกเราเป็นพยาน” 23ท่านจึงกล่าวว่า “เพราะฉะนั้นจงทิ้งบรรดาพระต่างด้าวซึ่งอยู่ในหมู่พวกท่านนั้นเสีย และน้อมจิตใจของท่านเข้าหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล” 24และประชาชนกล่าวแก่โยชูวาว่า “พวกเราจะปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา และเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์” 25ดังนั้นโยชูวาจึงได้ทำพันธสัญญากับประชาชน และวางกฎเกณฑ์และกฎหมายให้แก่เขาในวันนั้นที่เมืองเชเคม 26แล้วโยชูวาก็จารึกถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติของพระเจ้า และท่านได้เอาก้อนหินใหญ่ตั้งไว้ที่นั่นใต้ต้นโอ๊กในสถานนมัสการของพระยาห์เวห์ 27แล้วโยชูวากล่าวแก่ประชาชนทั้งปวงว่า “นี่แน่ะ ศิลาก้อนนี้จะเป็นพยานปรักปรำพวกเรา เพราะศิลานี้ได้ยินพระวจนะทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์ ซึ่งตรัสแก่เรา จึงจะเป็นพยานปรักปรำท่าน หากท่านปฏิเสธพระเจ้าของท่าน” 28แล้วโยชูวาก็ปล่อยให้ประชาชนกลับไปยังที่มรดกของตนทุกคน
มรณกรรมของโยชูวาและเอเลอาซาร์
29หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ โยชูวาบุตรนูนผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ก็สิ้นชีวิต เมื่ออายุ 110 ปี 30และเขาก็ฝังท่านไว้ในที่ดินมรดกของท่านที่เมืองทิมนาทเสราห์ ซึ่งอยู่ในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิมทิศเหนือของยอดเขากาอัช
31คนอิสราเอลได้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์ตลอดสมัยของโยชูวา และตลอดสมัยของพวกผู้ใหญ่ผู้มีอายุยืนกว่าโยชูวา ผู้ได้ทราบถึงบรรดาพระราชกิจซึ่งพระยาห์เวห์ทรงกระทำเพื่ออิสราเอล
32กระดูกของโยเซฟซึ่งประชาชนอิสราเอลนำขึ้นมาจากอียิปต์นั้น เขาฝังไว้ที่เมืองเชเคม ในส่วนที่ดินซึ่งยาโคบซื้อไว้จากบุตรหลานของฮาโมร์บิดาของเชเคมเป็นเงินหนึ่งร้อยแผ่น ที่นี้ตกเป็นมรดกของพงศ์พันธุ์โยเซฟ
33แล้วเอเลอาซาร์บุตรของอาโรนก็สิ้นชีวิต และเขาฝังศพท่านไว้ที่กิเบอาห์ เมืองของฟีเนหัสบุตรของท่าน ซึ่งได้มอบไว้ให้เขาในแดนเทือกเขาเอฟราอิม
อรรถาธิบาย
เลือกที่จะปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา
การนมัสการและรับใช้พระเจ้า เป็นวิถีไปสู่ชีวิตที่ได้รับการเติมเต็ม อย่าเปลืองเวลาในชีวิตด้วยการติดตาม ‘พระ’ เทียมเท็จทั้งหลาย ตามที่นักบุญไซเปรียนเขียนไว้ว่า ‘อะไรก็ตามที่คนเลือกมากกว่าพระเจ้า เขาก็สร้างพระให้กับตัวเอง’ มีพระต่าง ๆ นับไม่ถ้วนในยุคปัจจุบัน และบางทีสิ่งที่พบได้บ่อยที่สุดอาจสรุปออกมาได้เป็น ‘เงินทอง เรื่องเพศ และอำนาจ’
อิสราเอลเพลิดเพลินกับช่วงเวลาพักสงบอันยาวนานหลังจากการสู้รบทั้งหมด (23:1) โยชูวาผู้เป็น‘ชายชราที่อ่อนแอ’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ในช่วงบั้นปลายชีวิตนั้นเขาได้เรียกประชาชนมารวมกันและพูดกับพวกเขา เขาบอกชุมนุมชนว่า พวกเขาต้องเลือกว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปแบบไหน
เขาเตือนคนเหล่านั้นให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อพวกเขา และการที่พระองค์ทรงอวยพรพวกเขามาตลอด (23:14 , 24:10) ตอนนี้โยชูวาเตือนพวกเขาให้นมัสการพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเขา ‘ในความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่’ (ข้อ 10ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ในการตอบสนองต่อทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อคุณ คุณยังถูกเรียกให้ ‘รักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน’ (23:11) นมัสการ และรับใช้พระองค์ โยชูวากล่าวว่า ‘จงเลือกเสียในวันนี้ว่าท่านจะปรนนิบัติใคร’ (24:15) ท่านได้วางทางเลือกไว้ให้ (ข้อ 14–15) ได้แก่
- ‘พระ’ เทียมเท็จ (‘พระ’ ซึ่งบรรพบุรุษของพวกเขาปรนนิบัติอยู่ หรือ ‘พระ’ ของคนของคนที่ถูกยึดมา) หรือ
- พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว
พระแห่งคนที่พวกเขายึดมาถูกอ้างว่าเป็นพระสมัยใหม่ และ ‘เป็นแบบวิทยาศาสตร์’ ด้วยการควบคุมอย่างแท้จริงเหนือการเกษตรกรรม ความอุดมสมบูรณ์ และเรื่องเพศ ประชาชนดินแดนคานาอันรู้สึกว่าตัวเองหลักแหลม และมีวัฒนธรรมสูงกว่าพวกอิสราเอล แต่โยชูวาเน้นข้อบกพร่องของ ‘พระเจ้าอื่น’ ซึ่งต่อต้านความดีงามและอำนาจของพระเจ้า (ข้อ 3–13)
คุณต้องตัดสินใจเลือก คุณไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ หลายคนใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอย ไม่เคยตัดสินใจแบบใช้สติ
โยชูวาเป็นเหมือนกับผู้นำที่ดีทุกคน นำด้วยการเป็นแบบอย่าง เขาทำการเลือกส่วนตัวอย่างรอบคอบที่จะนมัสการและปรนิบัติพระเจ้า เขากล่าวว่า ‘แต่ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะปรนนิบัติพระยาห์เวห์’ (ข้อ 15)
ประชาชนตอบว่า ‘พวกเราจะปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้วย เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา’ (ข้อ 18,21,24) โยชูวากล่าวว่า ‘ท่านได้เลือกพระยาห์เวห์ เพื่อปรนนิบัติพระองค์’ (ข้อ 22) ผลก็คือ ‘คนอิสราเอลได้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์ตลอดสมัยของโยชูวา’ (ข้อ 31) เมื่อโยชูวาและพวกผู้อาวุโส ซึ่งน่าจะได้รับการฝึกอบรมโดยโยชูวา ได้นำชนชาติอิสราเอล อิสราเอลก็ได้รับใช้พระเจ้า การมีภาวะผู้นำที่ดีเป็นกุญแจสำคัญ
โยชูวาเรียกประชาชนให้กลับใจและเชื่อ นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการเสมอ อันดับแรก กลับใจ: ‘จงทิ้งบรรดาพระต่างด้าว‘ (ข้อ 23ก) กำจัดสิ่งเลวร้ายออกไป อันดับสอง เชื่อ: ‘น้อมจิตใจของท่านเข้าหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล’ (ข้อ 23ข) มอบทั้งชีวิตของคุณไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
โยชูวา 24:15
‘‘แต่ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะปรนนิบัติพระยาห์เวห์’
นี่เป็นข้อพระคัมภีร์ของครอบครัวของฉัน ฉันต้องกลับมาที่ข้อนี้หลายครั้งตลอดหลายปีมานี้ เราอยากจะเป็นครอบครัวที่ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 55:22, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล
‘จงมอบภาระของท่านไว้กับพระยาห์เวห์ และพระองค์จะทรงค้ำจุนท่าน’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)