คำเชิญของคุณ
เกริ่นนำ
วันหนึ่ง ผมได้รับข้อความว่าพระราชินีแห่งอังกฤษได้เชิญผมไปร่วมรับประทานอาหารกลางวัน ในตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่เรื่องตลก แต่ไม่ใช่ ผมเดินทางไปถึงพระราชวังบัคกิ้งแฮมด้วยรถจักรยาน ตำรวจทำหน้าที่ดูแล ผมอย่างดี ผมได้นั่งลงข้าง ๆ พระราชินี และรับประทานอาหารที่แสนวิเศษ จากนั้นพระราชินีก็หันมา และพูดคุยกับผมในขณะที่ ‘พาร์เฟ่ต์ช็อคโกแลตรูบาร์บและไวท์ช็อกโกแลต’ (the ‘Parfait de Rhubarbe et Chocolat Blanc’) กำลังเสิร์ฟ
มันดูน่าอร่อยมาก แต่ผมก็ไม่อยากพูดคุยในขณะที่อาหารกำลังเต็มปากและก็ไม่ต้องการเสียมารยาทด้วยการ ตัดมันเข้าปากในขณะที่ราชินีกำลังพูดกับผมอยู่ ในที่สุดพระราชินีก็ถามผมว่าไม่ชอบอาหารหรือ ‘ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่’ ผมตอบ ‘ผมชอบมันมาก ๆ เลยครับ’ (แล้วผมก็รีบรับประทานอย่างรวดเร็ว) ผมไม่ได้บอกอะไรกับพระราชินีว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ผมรับประทานไม่ค่อยลงก็คือ ผมยังรู้สึกอึ้งกับสิทธิพิเศษที่ผมได้รับเชิญให้มารับประทาน อาหารกลางวันกับพระราชินีแห่งอังกฤษ
พระเยซูเปรียบแผ่นดินของพระเจ้ากับงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่กับกษัตริย์ ซึ่งเราทุกคนได้รับเชิญ เป็นสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าการรับประทานอาหารกลางวันกับพระราชินีแห่งอังกฤษ และเป็นเรื่องที่ผิดปกติหากใครจะ ปฏิเสธคำเชิญนี้
สดุดี 44:13-26
13พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นที่เยาะเย้ยของเพื่อนบ้าน
เป็นที่ดูถูกและดูหมิ่นแก่ผู้ที่อยู่รอบพวกข้าพระองค์
14พระองค์ทรงทำให้พวกข้าพระองค์เป็นคำล้อเลียนท่ามกลางบรรดาประชาชาติ
เป็นที่หัวเราะท่ามกลางชาวประเทศทั้งหลาย
15ความขายหน้าอยู่ตรงหน้าข้าพระองค์วันยังค่ำ
และความอับอายคลุมหน้าข้าพระองค์ไว้
16เนื่องด้วยเสียงของคนเยาะเย้ยและคนด่าทอ
เนื่องด้วยศัตรูและผู้แก้แค้น
17สิ่งทั้งปวงนี้เกิดกับข้าพระองค์ทั้งหลาย
แม้ว่าพวกข้าพระองค์ไม่ได้ลืมพระองค์
หรือทำผิดต่อพันธสัญญาของพระองค์
18จิตใจของข้าพระองค์ทั้งหลายก็มิได้หันเห
ย่างเท้าของพวกข้าพระองค์ก็มิได้พรากจากพระมรรคาของพระองค์
19พระองค์ยังทรงบดขยี้ข้าพระองค์ทั้งหลายในที่ของหมาป่า
และคลุมพวกข้าพระองค์ไว้ด้วยเงามัจจุราช
20ถ้าข้าพระองค์ทั้งหลายได้ลืมพระนามพระเจ้า
หรือพนมมือของตนไหว้พระอื่น
21พระเจ้าจะไม่ทรงทราบเรื่องนี้หรือ?
เพราะพระองค์ทรงทราบความลึกลับของจิตใจ
22เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกฆ่าวันยังค่ำ
และถูกนับว่าเป็นแกะสำหรับเอาไปฆ่า
23ข้าแต่องค์เจ้านาย ขอทรงตื่นเถิด ไฉนบรรทมอยู่?
ขอทรงตื่นขึ้นเถิด ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เป็นนิตย์
24ไฉนพระองค์ซ่อนพระพักตร์เสีย?
ไฉนทรงลืมความทุกข์ยากและการที่ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกบีบบังคับ?
25เพราะจิตใจข้าพระองค์ทั้งหลายโน้มถึงผงคลี
ร่างกายของพวกข้าพระองค์เกาะติดดิน
26ขอทรงลุกขึ้นมาช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด
ขอทรงไถ่พวกข้าพระองค์เพื่อเห็นแก่ความรักมั่นคงของพระองค์
อรรถาธิบาย
ร้องทูลต่อพระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์จอมกษัตริย์
มีหลายครั้งใช่หรือไม่ที่คุณพบว่าตัวเอง ‘เป็นที่เยาะเย้ย’ ของเพื่อนบ้านอันเนื่องด้วยความเชื่อของคุณ (ข้อ 13ก)? คุณเคยเผชิญกับ ‘การดูถูกและดูหมิ่น’ จากคนรอบข้าง (ข้อ 13ข) บ้างหรือไม่? สำหรับผมแล้วเคยแน่นอน บางครั้งคุณอาจประสบปัญหาบางอย่างในชีวิต นั่นไม่ใช่เพราะคุณกำลังทำอะไรผิด แต่เพราะคุณกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องต่างหาก
พระธรรมสดุดีในตอนนี้ได้กล่าวถึงพระเจ้าในฐานะกษัตริย์ (ข้อ 4) การที่พระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ (และเป็นผู้นำ ที่แท้จริง) ของอิสราเอลนั้น เป็นแนวคิดทั่วไปในพระธรรมสดุดี ความทุกข์อาจไม่จำเป็นต้องเป็นผลมาจากการไม่เชื่อฟังกษัตริย์ แต่อาจเป็นผลมาจากการติดตามกษัตริย์ก็ได้
การต่อต้านไม่จำเป็นต้องเป็นสัญญาณของความล้มเหลวสำหรับประชากรของพระเจ้า ‘ทุกสิ่งทั้งสิ้นที่เกิดขึ้น กับข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ไม่ได้ทำสิ่งใดที่สมควรจะได้รับมันเลย ข้าพระองค์ไม่เคยทรยศต่อ พันธสัญญาของพระองค์ ใจของข้าพระองค์ไม่เคยหันเห เท้าของข้าพระองค์ไม่เคยละออกจากเส้นทางของ พระองค์’ (ข้อ 17–18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
อาจารย์เปาโลอ้างสดุดีบทนี้ (ข้อ 22) ในพระธรรมโรม เมื่อเปาโลถามว่าแล้วใครจะให้เราขาดจากความรักของ พระคริสต์ได้? ‘“เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์จึงถูกประหารวันยังค่ำ และนับว่าเป็นแกะสำหรับเอาไป ฆ่า” แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย’ (โรม 8:35–37)
ดังที่ผมได้เห็นบ่อยครั้งในชีวิตของผมเอง องค์กษัตริย์ทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ทรงตอบคำร้องทูลและความรักของ พระองค์ไม่เคยยั้งหยุด (สดุดี 44:26)
คำอธิษฐาน
ลูกา 14:15-35
อุปมาเรื่องงานเลี้ยงใหญ่
15คนหนึ่งที่ร่วมนั่งรับประทาน เมื่อได้ยินคำเหล่านั้นจึงทูลพระองค์ว่า “ผู้ที่จะได้รับประทานอาหารในแผ่นดินของพระเจ้าก็เป็นสุข” 16พระองค์ตรัสกับเขาว่า “มีคนหนึ่งจัดงานเลี้ยงใหญ่และเชิญแขกไว้จำนวนมาก 17เมื่อถึงเวลางานเลี้ยง เขาก็ใช้บ่าวไปบอกพวกที่ได้รับเชิญไว้แล้วว่า ‘เชิญมาเถิด เพราะสิ่งสารพัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว’ 18พวกนั้นต่างพากันขอตัว คนแรกบอกว่า ‘ข้าพเจ้าซื้อนาไว้ และจะต้องไปดูนานั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ’ 19อีกคนหนึ่งบอกว่า ‘ข้าพเจ้าซื้อวัวไว้ห้าคู่และจะต้องไปลองวัวนั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ’ 20อีกคนหนึ่งก็บอกว่า ‘ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงานใหม่ เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าไปไม่ได้’ 21บ่าวคนนั้นจึงกลับมารายงานสิ่งเหล่านี้ให้นายฟัง นายก็โกรธ จึงสั่งบ่าวว่า ‘จงออกไปโดยเร็ว ไปตามถนนใหญ่และตรอกเล็กซอยน้อยในเมือง พาคนยากจน คนพิการ คนตาบอด และคนง่อยเข้ามาที่นี่’ 22แล้วบ่าวก็มาบอกว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำตามที่ท่านสั่งแล้ว แต่ยังมีที่ว่างอยู่’ 23นายจึงสั่งบ่าวคนนั้นว่า ‘จงออกไปตามถนนและตามหนทางที่มีรั้วรอบขอบชิด บังคับให้พวกเขาเข้ามา เพื่อให้บ้านของเรามีแขกเต็ม 24เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในพวกคนที่ได้รับเชิญนั้น จะไม่มีสักคนหนึ่งได้ลิ้มรสอาหารของเราเลย’ ”
ความเสียสละในการเป็นสาวก
25มีมหาชนไปกับพระเยซู พระองค์จึงทรงเหลียวหลังตรัสกับพวกเขาว่า 26“ถ้าใครมาหาเราและไม่ชังแปลได้อีกว่า ไม่พร้อมที่จะสละบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้แต่ชีวิตของตนเอง คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ 27และใครก็ตามที่ไม่ได้แบกกางเขนของตนตามเรามา คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ 28ในพวกท่านมีใครบ้างเมื่อปรารถนาจะสร้างตึก จะไม่นั่งลงคิดราคาดูเสียก่อนว่า จะมีพอที่จะสร้างให้สำเร็จได้หรือไม่? 29เกรงว่าเมื่อวางรากฐานแล้ว และทำให้สำเร็จไม่ได้ ทุกคนที่เห็นก็จะเยาะเย้ยเขา 30ว่า ‘คนนี้เริ่มต้นก่อ แต่ทำให้สำเร็จไม่ได้’ 31หรือมีกษัตริย์องค์ไหน เมื่อจะยกกองทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อีกองค์หนึ่งนั้น จะไม่นั่งลงคิดดูเสียก่อนหรือว่า ที่มีพลทหารหนึ่งหมื่นจะสู้กับกองทัพที่ยกมารบสองหมื่นได้หรือไม่? 32ถ้าสู้ไม่ได้ก็จะใช้พวกทูตไปเจรจาผูกไมตรีกันในระหว่างที่อีกฝ่ายยังอยู่ไกล 33เช่นนั้นแหละ ทุกคนในพวกท่านที่ไม่ได้สละสิ่งสารพัดที่มีอยู่จะเป็นสาวกของเราไม่ได้
เกลือที่หมดรสเค็ม
34“เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร? 35จะใช้เป็นปุ๋ยใส่ดินก็ไม่ได้ จะหมักไว้กับกองมูลสัตว์ก็ไม่ได้ มีแต่จะถูกเอาไปโยนทิ้งเท่านั้น ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด”
อรรถาธิบาย
รับคำเชิญจากกษัตริย์
แผ่นดินของพระเจ้าเปรียบเสมือนภาพของงานเลี้ยง ‘ผู้ที่จะได้รับประทานอาหารในแผ่นดินของพระเจ้าก็เป็นสุข’ (ข้อ 15) พระเยซูทรงเป็นเจ้าของงานเลี้ยงนั้น พระบุตรของพระเจ้าได้เชิญคุณให้สัมผัสกับการต้อนรับอย่างหรูหราและความรักของพระเจ้า คุณไม่ได้อยู่เพียงลำพังกับเจ้าของงาน แต่มีการปรากฏตัวของแขกคนอื่น ๆ เพื่อเฉลิมฉลองในงานเลี้ยงด้วย
อาหารที่พระเยซูจัดเตรียมไว้ให้นั้นช่วยดับความหิวโหยในใจของคุณ เป็นการเติมเต็มฝ่ายจิตวิญญาณ เป็นการตอบสนองความหิวโหยของการใคร่รู้ความหมายและวัตถุประสงค์ของชีวิต การให้อภัย และชีวิตหลังความตาย เครื่องดื่มในงานเลี้ยงก็สนองตอบความกระหายทางจิตวิญญาณในหัวใจของมนุษย์ทุกคน
สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ หลายๆ คนไม่ได้มองว่านี่เป็นงานเลี้ยงแต่กลับมองว่าเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ พวกเขาต่างหาข้ออ้างในการไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ ‘พวกนั้นต่างพากันขอตัว’ (ข้อ 18) คนแรกบอกว่า ‘ข้าพเจ้าซื้อนาไว้ และจะต้อง ไปดูนานั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ’ (ข้อ 18) อีกคนหนึ่งบอกว่า ‘ข้าพเจ้าซื้อวัวไว้ห้าคู่และจะต้องไปลองวัวนั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ’ (ข้อ 19) อีกคนหนึ่งก็บอกว่า ‘ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงานใหม่ เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าไปไม่ได้’ (ข้อ 20)
เมื่อมาวิเคราะห์ดูแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงข้อแก้ตัวที่น่าสมเพช แต่ละคนไม่มีเหตุผลและไร้สาระสิ้นดี ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะไปดูทุ่งที่ซื้อมา หรือต้องไปลองวัวห้าคู่ และชายที่แต่งงานใหม่ก็สามารถมาพร้อมกับภรรยาของเขาได้
ดังนั้น ถ้อยคำของพระเยซูก็เป็นจริง เมื่อผู้คนที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินของพระเจ้า ทุกคนก็เหมือนกันคือ (เริ่ม) ‘พากันขอตัว’ (ข้อ 18)
พระเยซูยังตรัสกับฝูงชนเกี่ยวกับการจ่ายราคาในการเดินติดตามพระองค์ด้วย พระองค์ทรงกระตุ้นพวกเขาให้ ‘นั่งลงคิดราคาดูเสียก่อนว่า’ (ข้อ 28) และต่อมาให้ ‘นั่งลงคิดดูเสียก่อน’ (ข้อ 31) พระองค์ตรัสว่า ‘ถ้าใครมา หาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้แต่ชีวิตของตนเอง คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้’ (ข้อ 26) คำว่า ‘ชัง’ เป็นสำนวนในภาษาเซมิติกที่แปลว่า ‘รักน้อยลง’ เป็นคำที่สัมพันธ์กัน ซึ่งหมายถึงไม่ให้เกียรติหรือยอมให้สิทธิพิเศษกับบางสิ่งเหนือสิ่งอื่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง พระเยซูต้องมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตของคุณมากกว่าครอบครัวและชีวิตของคุณเอง
พระองค์ตรัสต่อไปว่า ‘และใครก็ตามที่ไม่ได้แบกกางเขนของตนตามเรามา คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้’ (ข้อ 27) ภาพไม้กางเขนบ่งบอกชัดเจนว่าจะมีความทุกข์ ในที่สุดพระองค์ทรงตรัสว่า ‘ทุกคนในพวกท่านที่ ไม่ได้สละสิ่งสารพัดที่มีอยู่จะเป็นสาวกของเราไม่ได้’ (ข้อ 33) คุณต้องวางทุกสิ่งในมือของคุณไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
เป็นกาารคุ้มค่าที่จะจดจำไว้ว่าการจ่ายราคาเพื่อจะติดตามพระเยซูนั้นเทียบไม่ได้เลยกับ
สิ่งที่คุณได้รับ พระเจ้าได้เตรียมงานเลี้ยงสำหรับคุณแล้ว เป็นงานเลี้ยงที่ไม่มีอะไรในโลกนี้เทียบได้
การต้องจ่ายราคาในการไม่ติดตามพระเยซู
พระเยซูตรัสว่าบรรดาคนที่มีข้ออ้างนั้น ‘จะไม่มีสักคนหนึ่งได้ลิ้มรสอาหารของเราเลย’ (ข้อ 24) ไม่มีการจ่ายราคาใดสูงไปกว่าการพลาดพระพรทั้งหมดที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้คุณพระองค์ต้องจ่ายราคามากเพียงไรเพื่อทำให้มันเป็นไปได้สำหรับคุณ
พระเยซูเรียกคุณให้แบกกางเขน (ข้อ 27) แต่ไม้กางเขนเล็ก ๆ ที่คุณแบกนั้นไม่สามารถเทียบได้เลย กับกางเขนที่พระเยซูทรงแบกเพื่อคุณ
อย่าพลาดจากทุกสิ่งที่พระเยซูทำให้เป็นไปได้สำหรับคุณ ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงแห่งแผ่นดินของ พระเจ้า และเชิญคนอื่นๆ มาร่วมด้วย เช่นเดียวกับที่คุณตอบสนองต่อพระบัญชาของพระเยซู ‘จงออกไป โดยเร็ว ไปตามถนนใหญ่และตรอกเล็กซอยน้อยในเมือง พาคนยากจน คนพิการ คนตาบอด และคนง่อย เข้ามาที่นี่’ (ข้อ 21)
คำอธิษฐาน
เฉลยธรรมบัญญัติ 16:21-18:22
รูปแบบการนมัสการต้องห้าม
21“ห้ามปลูกต้นไม้ใดๆ ใช้เป็นเสาอาเช-ราห์ ข้างแท่นบูชาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านที่ท่านสร้างไว้ 22และห้ามตั้งเสาศักดิ์สิทธิ์สำหรับท่านเอง ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงรังเกียจ
เฉลยธรรมบัญญัติ 17
1“ห้ามนำโคผู้หรือแกะที่มีตำหนิหรือส่วนพิการใดๆ มาถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เพราะเป็นสิ่งพึงรังเกียจแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน
2“ถ้าพบว่าในท่ามกลางท่าน ในเมืองหนึ่งของท่านซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านนั้น มีชายหรือหญิงคนใดทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน โดยละเมิดพันธสัญญาของพระองค์ 3และไปปรนนิบัติพระอื่น และนมัสการพระเหล่านั้น รวมทั้งดวงอาทิตย์ หรือดวงจันทร์ หรือสิ่งใดที่เป็นบริวารท้องฟ้าซึ่งข้าพเจ้าไม่ได้บัญชาไว้ 4และมีการรายงานถึงท่านแล้วและท่านก็ได้ยิน ท่านจงอุตส่าห์สืบสวน และถ้าเป็นความจริงและประจักษ์ว่ามีคนทำสิ่งพึงรังเกียจนั้นในอิสราเอล 5ท่านจงนำชายหรือหญิง ผู้ทำสิ่งชั่วร้ายนั้นออกมาที่ประตูเมือง และท่านจงเอาหินขว้างชายหรือหญิงนั้นเสียให้ตาย 6ผู้ที่ถูกกล่าวโทษถึงตายนั้น ให้มีพยานสองหรือสามปาก จึงให้ปรับโทษถึงตายได้ ห้ามลงโทษใครถึงตายด้วยพยานปากเดียว 7ในการประหารชีวิตนั้น ให้พวกพยานลงมือก่อน ต่อไปคนทั้งปวงจึงร่วมมือด้วย แล้วท่านจะกำจัดความชั่วเสียจากท่ามกลางท่าน
การตัดสินใจด้านกฎหมายของปุโรหิตและผู้พิพากษา
8“ถ้าคดีใดเกิดขึ้นเป็นเรื่องยากสำหรับท่านที่จะตัดสิน ไม่ว่าจะเป็นคดีฆ่าคนตาย คดีแพ่ง คดีทำร้ายร่างกาย หรือคดีใดๆ ซึ่งโต้แย้งกันในเมืองของท่าน ท่านจงลุกขึ้นพากันไปยังสถานที่ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงเลือกไว้ 9จงไปหาพวกปุโรหิตคนเลวี และไปหาผู้พิพากษาประจำการในสมัยนั้น ท่านจงปรึกษาพวกเขา และพวกเขาจะชี้แจงให้ท่านทราบถึงคำตัดสิน 10แล้วท่านจงทำตามที่พวกเขาชี้แจงแก่ท่าน จากสถานที่ซึ่งพระยาห์เวห์จะทรงเลือกนั้น และท่านจงระวังที่จะทำตามทุกสิ่งซึ่งพวกเขาแนะนำท่าน 11ท่านจงทำตามธรรมบัญญัติซึ่งพวกเขาแนะนำท่าน และทำตามคำตัดสินซึ่งพวกเขาได้สั่งท่าน อย่าหันเหไปจากคำตัดสินซึ่งเขาชี้แจงแก่ท่าน ไม่ว่าทางขวาหรือทางซ้าย 12คนใดขัดขืนไม่ทำตาม คือ ไม่เชื่อฟังปุโรหิตผู้ยืนปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านที่นั่น หรือผู้พิพากษาคนนั้นต้องตาย แล้วท่านจะกำจัดความชั่วเสียจากอิสราเอล 13และประชาชนทั้งสิ้นจะได้ยินและยำเกรง และไม่ขัดขืนต่อไปอีก
ข้อจำกัดเรื่องสิทธิอำนาจของกษัตริย์
14“เมื่อท่านมาถึงแผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน และท่านถือกรรมสิทธิ์อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น แล้วท่านจะกล่าวว่า ‘เราจะตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเราเหมือนประชาชาติทั้งปวงซึ่งอยู่รอบเรา 15ก็จงตั้งผู้ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนือท่าน คือตั้งคนหนึ่งจากพวกพี่น้องของท่านให้เป็นกษัตริย์เหนือท่าน ห้ามตั้งคนต่างชาติซึ่งไม่ใช่พี่น้องของท่านให้อยู่เหนือท่าน 16แต่ว่าอย่าให้เขามีม้าเป็นของตนเองมากเกินไป หรือเป็นเหตุให้ประชาชนกลับไปอียิปต์ เพื่อจะมีม้ามากๆ เพราะพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับพวกท่านแล้วว่า ‘อย่ากลับไปทางนั้นอีกเลย’ 17และอย่าให้เขามีภรรยามาก เพื่อจิตใจของเขาจะไม่หันเหไป และอย่าให้มีเงินมีทองเป็นของตนอย่างมากมาย
18“เมื่อเขานั่งบัลลังก์ในราชอาณาจักรก็ให้เขาคัดลอกธรรมบัญญัตินี้ไว้ในหนังสือเพื่อตนเองต่อหน้าพวกปุโรหิตคนเลวี 19ให้มันอยู่กับเขา และให้เขาอ่านตลอดชีวิตของตน เพื่อเขาจะได้เรียนรู้ที่จะยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา โดยรักษาถ้อยคำทั้งสิ้นในธรรมบัญญัตินี้ และกฎเกณฑ์เหล่านี้และทำตาม 20เพื่อว่าจิตใจของเขาจะไม่ได้ยกขึ้นสูงกว่าพี่น้องของตน และเพื่อเขาเองจะไม่หันเหจากพระบัญญัติไปทางขวาหรือทางซ้าย เพื่อเขาจะได้ปกครองราชอาณาจักรของเขาอยู่ได้นาน ทั้งตนเองและลูกหลานของตนในอิสราเอล
เฉลยธรรมบัญญัติ 18
เอกสิทธิ์ของปุโรหิตและคนเลวี
1“คนเลวีซึ่งเป็นปุโรหิต และเผ่าเลวีทั้งหมด จะไม่มีส่วนแบ่งหรือมรดกร่วมกับคนอิสราเอล พวกเขาจะรับประทานของถวายด้วยไฟของพระยาห์เวห์ และส่วนที่ตกเป็นของพระองค์ 2พวกเขาจะไม่มีมรดกท่ามกลางพวกพี่น้องของเขา พระยาห์เวห์เองทรงเป็นมรดกของเขา ตามที่พระองค์ตรัสไว้แก่เขาแล้วนั้น 3และนี่คือส่วนที่ปุโรหิตได้จากประชาชน คือจากผู้ถวายสัตวบูชา ไม่ว่าจะเป็นโคผู้หรือแกะ ให้เขามอบเนื้อสันขาหน้า เนื้อแก้มทั้งสองข้าง และเนื้อท้องแก่ปุโรหิต 4ผลรุ่นแรกของข้าว เหล้าองุ่น น้ำมันของท่าน และขนแกะรุ่นแรกที่ได้จากแกะของท่าน จงมอบให้แก่ปุโรหิต 5เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกเขาจากเผ่าทั้งสิ้นของท่าน ให้ยืนปรนนิบัติในพระนามพระยาห์เวห์ ทั้งตัวเขาและบุตรหลานของเขาสืบไปเป็นนิตย์
6“ถ้าคนเลวีคนใดมาจากตำบลใดในอิสราเอล ซึ่งเป็นที่อยู่ของเขา จะมายังสถานที่ซึ่งพระยาห์เวห์จะทรงเลือกไว้ด้วยสุดใจปรารถนาของเขา 7แล้วเขาจะปรนนิบัติในพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาได้ เช่นเดียวกับคนเลวีพี่น้องของเขา ผู้ยืนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ณ ที่นั่น 8ให้พวกเขาได้ส่วนแบ่งที่จะรับประทานเท่าๆ กัน นอกเหนือจากส่วนที่เขาได้มาด้วยการขายทรัพย์สินของบรรพบุรุษของเขาเอง
การถวายบูชาบุตร การทำนาย และการใช้เวทมนตร์เป็นสิ่งต้องห้าม
9“เมื่อท่านเข้าไปในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน อย่าเรียนรู้ที่จะทำสิ่งพึงรังเกียจตามชนชาติเหล่านั้น 10ห้ามใครในพวกท่านยอมให้บุตรชายหรือบุตรหญิงของตนลุยไฟ เป็นคนทำนาย เป็นหมอดู เป็นโหร หรือเป็นนักวิทยาคม11เป็นหมอผี เป็นคนทรง เป็นพ่อมด แม่มด หรือเป็นหมอพราย 12ทุกคนที่ทำสิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นที่รังเกียจแด่พระยาห์เวห์ และเพราะสิ่งพึงรังเกียจเหล่านี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจึงทรงขับไล่พวกเขาไปพ้นหน้าท่าน 13ท่านจงเป็นคนปราศจากตำหนิต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน14เพราะว่าชนชาติเหล่านี้ซึ่งท่านกำลังจะไปยึดครองนั้น เชื่อฟังหมอดูและคนทำนาย แต่ส่วนตัวท่านนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านไม่ทรงยอมให้ท่านทำเช่นนั้น
ผู้เผยพระวจนะคนใหม่เช่นเดียวกับโมเสส
15“พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะโปรดให้ผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกับข้าพเจ้านี้เกิดขึ้นในหมู่พวกท่านจากพี่น้องของท่าน พวกท่านจงเชื่อฟังเขา 16ตามทุกอย่างที่ท่านขอจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านที่โฮเรบในวันประชุม เมื่อท่านกล่าวว่า ‘อย่าให้ข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าหรือได้เห็นเพลิงมหึมานี้อีกเลย เกรงว่าข้าพเจ้าจะตายเสีย’ 17และพระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘ซึ่งพวกเขาพูดมาเช่นนั้นก็ดีอยู่ 18เราจะให้มีผู้เผยพระวจนะอย่างเจ้าเกิดขึ้นในหมู่พวกพี่น้องของเขา และเราจะใส่ถ้อยคำของเราในปากของเขา และเขาจะกล่าวทุกสิ่งที่เราบัญชาเขาไว้นั้นแก่พวกเขา 19คนที่ไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเรา ซึ่งเขากล่าวในนามของเรา เราจะกำหนดโทษผู้นั้น20แต่ผู้เผยพระวจนะที่บังอาจกล่าวคำในนามของเราซึ่งเราไม่ได้บัญชาให้กล่าว หรือกล่าวในนามของพระอื่น ผู้เผยพระวจนะนั้นต้องมีโทษถึงตาย’ 21และถ้าท่านนึกในใจว่า ‘เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นถ้อยคำที่พระยาห์เวห์ไม่ได้ตรัส?’ 22เมื่อผู้เผยพระวจนะกล่าวคำในพระนามของพระยาห์เวห์ ถ้าไม่เป็นจริงตามถ้อยคำนั้นและสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น ถ้อยคำนั้นไม่ได้เป็นพระวจนะที่พระยาห์เวห์ตรัส ผู้เผยพระวจนะนั้นบังอาจกล่าวเอง อย่าเกรงกลัวเขาเลย
อรรถาธิบาย
นมัสการพระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้าและกษัตริย์ของคุณ
พระเยซูทรงเป็นกษัตริย์เที่ยงแท้ จงนมัสการพระองค์เพียงผู้เดียว มีคำเตือนเรื่องการปรนนิบัติและนมัสการ ‘พระอื่น’ (16:21-17:7)
นอกจากนี้ยังมีคำเตือนที่ปรากฎในข้ออื่น ๆ คืออย่าเป็นคนทำนาย เป็นหมอดู เป็นโหร หรือเป็นนักวิทยาคม เป็นหมอผี เป็นคนทรง เป็นพ่อมด แม่มด หรือเป็นหมอพราย (18:10-11)
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบูชาดวงดาว เพราะคุณสามารถนมัสการผู้ที่สร้างดวงดาวเหล่านั้นขึ้นมาได้ อย่าเสียเวลา แรงกาย หรือเงินของคุณไปกับพวกที่ตั้งใจจะบอกเกี่ยวกับอนาคตของคุณ แต่ให้พระเจ้าเป็นผู้นำทางสำหรับอนาคตของคุณ
ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล พวกเขาได้กล่าวว่า ‘เราจะตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเรา’ (17:14) แน่นอนว่ากษัตริย์จะ ไม่สมบูรณ์แบบ ไม่มีใครเหมือนพระเจ้า เขาจะตกอยู่ภายใต้การทดลองอย่างที่กษัตริย์อิสราเอลและยูดาห์ จำนวนมากต่างล้มลง และผู้นำหลายคนก็ยังคงล้มลงอยู่ในทุกวันนี้ การทดลองเหล่านี้รวมถึงการผิดศีลธรรม (ข้อ 17ก) ความโลภ (ข้อ 16, 17ข) และความจองหอง (ข้อ 20)
พระธรรมตอนนี้กล่าวถึงลักษณะของกษัตริย์ในอุดมคติ (ข้อ 18–20) แนวคิดอันสูงสุดนี้ดูเหมือนจะมีความ ใกล้เคียงกับยุคการปกครองของกษัตริย์ดาวิดมากที่สุด แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นในยุคดต่อมาจึงนำมาซึ่งความ หวังถึงกษัตริย์ที่จะเสด็จมา ‘บนพระที่นั่งของดาวิด และเหนือราชอาณาจักรของพระองค์’ (อิสยาห์ 9:7)
พระเยซูไม่เพียงแต่เป็นกษัตริย์ในอุดมคติเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้เผยพระวจนะในอุดมคติอีกด้วย โมเสสพยากรณ์ว่าจะมีผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกับเขาเองที่จะกล่าวพระวจนะของพระเจ้า (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15) ทั้งอัครสาวกเปโตรและสเทเฟน ผู้พลีชีพเพื่อความเชื่อก็ได้อ้างข้อความในพระธรรมตอนนี้ และมองว่าพระเยซูเป็นผู้ที่ทำให้คำพยากรณ์นี้สำเร็จเป็นจริง (กิจการ 3:21–22; 7:37)
ช่างเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่แผ่นดินของพระเจ้าได้รับการสถาปนาโดยพระเยซู ผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ได้เป็นขึ้นแล้ว คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมทั้งหมดสำเร็จแล้ว พระเยซูทรงเป็นองค์จอมกษัตริย์
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ลูกา 14:33
‘เช่นนั้นแหละ ทุกคนในพวกท่านที่ไม่ได้สละสิ่งสารพัดที่มีอยู่จะเป็นสาวกของเราไม่ได้’ พระเจ้าช่วย! ฉันแน่ใจว่าฉันยังคงยึดติดกับหลายสิ่งหลายอย่างเอาไว้อยู่
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 44:26
‘ขอทรงลุกขึ้นมาช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด…เพื่อเห็นแก่ความรักมั่นคงของพระองค์’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)