วัน 99

เห็นความดีงามของพระองค์

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 43:1-5
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 12:35-59
พันธสัญญาเดิม เฉลยธรรมบัญญัติ 11:1-12:32

เกริ่นนำ

พี่สาวกับผมไปปิกนิกด้วยกันกับพ่อแม่ตอนที่เรายังเด็ก เราสองคนกำลังวิ่งเล่นบนรางรถไฟที่เราทุกคนต่างเดาว่ามันใช้งานไม่ได้แล้ว ทันใดนั้นแม่ของผมก็ตะโกนเสียงดังขึ้นว่า ‘กระโดด! ออกไปจากราง!’ เธอเห็นรถไฟด่วนวิ่งมาตามราง ขอบคุณพระเจ้าที่เราไม่ได้ตะโกนกลับไปว่า ‘อย่ามาหลอกกันเลย พวกเราไม่กลัวหรอก’ แน่นอนถ้าเราทำอย่างนั้น ผมคงไม่สามารถมานั่งเขียนบรรยายเรื่องราวนี้ได้ในตอนนี้ แต่เราทั้งสองได้กระโดดออกจากรางทันที

คำสั่งนี้เกิดจากความรักของแม่ที่มีต่อลูก พระบัญญัติของพระเจ้าเกิดขึ้นจากความดีงามของพระองค์ และความรักที่พระองค์มีต่อคุณ ที่พระองค์ทรงประทานให้เพื่อ ‘ประโยชน์สุขของท่านเอง’ (เฉลยธรรมบัญญัติ 10:13) ให้เรามองไปที่ความดีของพระองค์ คำเตือนของพระเยซูเกี่ยวกับการพิพากษาที่กำลังจะมาถึง และวิธีเตรียมพร้อมสำหรับการพิพากษานั้นมาจากความรักที่พระองค์มีต่อคุณ ในเนื้อหาทั้งหมดสำหรับวันนี้ เราจะได้เห็นว่าการเชื่อฟังเป็นวิธีที่จะสัมผัสกับความดีของเจ้า และเป็นแม่เหล็กดึงดูดพระพรของพระองค์

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 43:1-5

คำอธิษฐานในยามยากลำบาก

1ข้าแต่พระเจ้า ขอประทานความเป็นธรรมแก่ข้าพระองค์ และขอทรงสู้คดี
  เพื่อข้าพระองค์
 ต่อประชาชาติที่ไม่ใช่ผู้จงรักภักดี
ขอทรงช่วยข้าพระองค์
 ให้พ้นจากคนล่อลวงและอยุติธรรม
2เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าซึ่งข้าพระองค์เข้าลี้ภัย
 ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?
ไฉนข้าพระองค์ต้องดำเนินไปมาอย่างทุกข์โศก
 เพราะการบีบบังคับของศัตรู?
3ขอทรงส่งความสว่างและความจริงของพระองค์ออกไป
 ให้ทั้งสองนำข้าพระองค์
ให้ทั้งสองพาข้าพระองค์มายังภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์
 และมายังที่ประทับของพระองค์
4แล้วข้าพระองค์จะไปยังแท่นบูชาของพระเจ้า
 ไปยังพระเจ้าผู้ทรงเป็นความยินดีอย่างที่สุดของข้าพระองค์
และข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าของข้าพระองค์
 ข้าพระองค์จะยกย่องพระองค์ด้วยพิณเขาคู่
5จิตใจของข้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่?
 ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายอยู่ภายใน?
จงหวังในพระเจ้า เพราะข้าจะยกย่องพระองค์อีก
 ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระเจ้าของข้า

อรรถาธิบาย

การทรงสถิตของพระเจ้า

เช่นเดียวกับบุรุษและสตรีที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าตลอดยุคสมัยที่ผ่านมา ผู้เขียนพระธรรมตอนนี้กำลังต่อสู้กับภาวะกดดันทางฝ่ายวิญญาณ จิตใจเขา ‘ฝ่อ’ (ข้อ 5) จิตวิญญาณของเขา ‘กระสับกระส่าย’ อยู่ภายในตัว (ข้อ 5) พระเยซูเองก็ร้องทูลออกมาว่า ‘เดี๋ยวนี้ใจของเราเป็นทุกข์’ และ ‘ใจเราเป็นทุกข์แทบจะตาย’ (ยอห์น 12:27; มาระโก 14:34)

ผู้เขียนพระธรรมสดุดีถูกล้อมรอบไปด้วย ‘ประชาชาติที่ไม่ใช่ผู้จงรักภักดี’ (สดุดี 43:1ก) ซึ่งเป็นคนที่ ‘คนล่อลวงและอยุติธรรม’ (ข้อ 1ข) พวกเขาถูกศัตรูข่มเหงรังแก (ข้อ 2ข) มีบางสิ่งที่เป็นจริงแท้แน่นอนเกี่ยวกับพระธรรมสดุดีนี้ นั่นคือชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราอาจต้องเผชิญกับการต่อสู้ การต่อต้าน และแม้กระทั่งภาวะซึมเศร้าในชีวิตได้

การตอบสนองที่ถูกต้องคือการเข้าเฝ้าพระเจ้า อธิษฐานขอการทรงนำ และการทรงสถิตและ ‘ความยินดีอย่าง ที่สุด’ ของพระองค์ (ข้อ 3–4) ประเด็นหลักในการทรงสถิตของพระเจ้าที่อยู่ในประชากรของพระองค์ในเวลา นั้นคือพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม ที่สร้างขึ้นบน ‘ภูเขา’ นั้นเป็น ‘ที่ประทับของพระองค์’ (ข้อ 3) ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่พระเยซูเป็นพระวิหารที่ความบริบูรณ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ในพระองค์ (ดู ยอห์น 2:19–21; โคโลสี 1:19)

ในวันเพ็นเทคอสต์ พระเยซูทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เหนือบุคคล และเหนือผู้คนทั้งหลายซึ่งเป็นที่ทรงสถิตของพระเจ้า (‘พระวิหารบริสุทธิ์’) ของพระองค์ในขณะนี้ ‘คริสตจักร’ ไม่ควรน่าเบื่อ แต่ควรจะเป็นสถานที่แห่งความสุข เต็มล้นไปด้วยความชื่นชมยินดี และการสรรเสริญ

หัวใจสำคัญของการเชื่อฟัง คือ การเข้าเฝ้าพระเจ้า วางใจในความดีของพระองค์ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม สิ่งที่เราต้องการในความมืดมน คือ การทรงสถิตของพระเจ้า และคุณสามารถวางใจได้ว่าท้ายที่สุดแล้วคุณจะพบสิ่งใด

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดส่งความสว่าง และความจริงของพระองค์ให้นำข้าพระองค์ไปสู่ที่ประทับของพระองค์ (สดุดี 43:3ก)
พันธสัญญาใหม่

ลูกา 12:35-59

บรรดาบ่าวที่เฝ้าระวัง

 35“ท่านทั้งหลายจงคาดเอวไว้ และให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่ 36จงเป็นเหมือนคนที่คอยรับนายของตน เมื่อนายจะกลับมาจากงานสมรส เพื่อว่าเมื่อนายมาเคาะประตูแล้วพวกเขาจะเปิดให้นายได้ทันที 37บ่าวพวกนั้นซึ่งนายมาพบว่ากำลังคอยเฝ้าอยู่ก็เป็นสุข เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายผู้นั้นจะคาดเอวไว้และให้บ่าวพวกนั้นนั่งลง และท่านจะมาปรนนิบัติ 38ถ้านายมาเวลาสองยามหรือสามยามและพบว่าบ่าวกำลังคอยเฝ้าอยู่ บ่าวพวกนั้นก็เป็นสุข 39จงเข้าใจอย่างนี้เถอะว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้ก่อนว่าขโมยจะมาเวลาไหน เขาจะตื่นอยู่และระวังไม่ให้ทะลวงบ้านของเขาได้ 40พวกท่านจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา”
 41เปโตรทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ตรัสอุปมานั้นกับพวกข้าพระองค์หรือตรัสกับคนทั่วไป?” 42องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ใครเป็นพ่อบ้านซื่อสัตย์และฉลาด ที่นายตั้งไว้เหนือพวกคนใช้เพื่อแจกอาหารตามเวลา 43เมื่อนายมาพบเขาทำอย่างนั้น บ่าวคนนั้นก็จะเป็นสุข 44เราบอกพวกท่านจริงๆ ว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลทรัพย์สิ่งของทั้งหมดของท่าน 45แต่ถ้าบ่าวคนนั้นคิดในใจว่า ‘นายของข้าคงจะมาช้า’ แล้วเริ่มต้นโบยตีบรรดาบ่าวชายหญิงและกินดื่มเมามาย 46นายของบ่าวคนนั้นจะมาในวันที่เขาไม่คาดคิด ในเวลาที่เขาไม่รู้ และจะลงโทษเขาอย่างหนัก และจะขับไล่ให้ไปอยู่ในที่ของพวกที่ไม่เชื่อ 47บ่าวคนที่รู้ใจนายและไม่ได้เตรียมตัวไว้ ไม่ได้ทำตามใจนาย จะต้องถูกเฆี่ยนอย่างหนัก 48แต่คนที่ไม่รู้ แล้วทำสิ่งที่สมควรจะถูกเฆี่ยน ก็จะถูกเฆี่ยนเพียงเล็กน้อย คนที่ได้รับมาก จะต้องเรียกเอาจากคนนั้นมาก และคนที่ได้รับฝากไว้มาก ก็จะต้องทวงเอาจากคนนั้นมาก

พระเยซูทรงเป็นเหตุของการแตกแยก

 49“เรามาเพื่อจะให้ไฟเกิดขึ้นที่แผ่นดินโลก เราอยากให้ไฟนั้นลุกขึ้นแล้ว 50เราจะต้องรับบัพติศมาอย่างหนึ่ง เราเป็นทุกข์มากจนกว่าจะสำเร็จ 51พวกท่านคิดว่าเรามาเพื่อจะให้เกิดสันติภาพในโลกหรือ? เราบอกท่านว่า ไม่ใช่ แต่จะให้แตกแยกกันต่างหาก 52เพราะว่าตั้งแต่นี้ไป ห้าคนในบ้านหลังหนึ่งก็จะแตกแยกกัน คือสามต่อสองและสองต่อสาม
53พ่อจะแตกแยกกับลูกชาย
 และลูกชายจะแตกแยกกับพ่อ
แม่กับลูกสาว
 และลูกสาวกับแม่
แม่ผัวกับลูกสะใภ้
 และลูกสะใภ้กับแม่ผัว”

การคาดการณ์ความเป็นไปของยุคนี้

 54พระองค์ตรัสกับฝูงชนอีกว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเห็นเมฆก่อตัวขึ้นทางทิศตะวันตก ท่านก็กล่าวทันทีว่า ‘ฝนจะตก’ และก็เป็นอย่างนั้นจริง 55เมื่อเห็นลมทิศใต้พัดมา ท่านก็บอกว่า ‘จะร้อนจัด’ และก็เป็นจริง 56โอ คนหน้าซื่อใจคด พวกท่านรู้จักวิจัยความเป็นไปของแผ่นดินและท้องฟ้า เพราะอะไรท่านถึงวิจัยความเป็นไปของยุคนี้ไม่ได้?

การปรองดองกับโจทก์ของท่าน

 57“ทำไมพวกท่านไม่ตัดสินเอาเองว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ถูก? 58เพราะในขณะที่ท่านกับโจทก์พากันไปหาตุลาการ จงอุตส่าห์หาช่องที่จะปรองดองกับเขาเมื่อยังอยู่ระหว่างทาง เกรงว่าเขาจะฉุดลากท่านเข้าไปถึงตัวผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้คุม และผู้คุมจะขังท่านไว้ในคุก 59เราบอกท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้จนกว่าจะใช้หนี้ครบทุกบาททุกสตางค์”

อรรถาธิบาย

บำเหน็จของพระเยซู

ชีวิตเป็นบำเหน็จที่แสนวิเศษ คุณถูก ‘รับฝาก’ (ข้อ 48) ด้วยของประทานและความรับผิดชอบ เป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ที่คุณต้องรู้จักใช้สิ่งเหล่านี้ คำเตือนที่เราได้รับมาตลอดในพระธรรมตอนนี้ เกี่ยวกับวิธีที่คุณใช้ชีวิตของคุณอันเป็นผลมาจากความรัก พระเยซูทรงเตือนถึงการพิพากษาที่จะมาถึง และวิธีเตรียมตัวให้พร้อม

พระเยซูทรงเรียกคุณให้ ‘คาดเอวไว้’ คือพร้อมที่จะรับใช้ (ข้อ 35) รอคอยว่าวันนี้พระเยซูจะกลับมา นี่ช่างเป็นบำเหน็จที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ สำหรับคนที่พร้อม ‘บ่าวพวกนั้นซึ่งนายมาพบว่ากำลังคอยเฝ้าอยู่ก็เป็นสุข เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายผู้นั้นจะคาดเอวไว้และให้บ่าวพวกนั้นนั่งลง และท่านจะมาปรนนิบัติ’ (ข้อ 37ก) คุณจะได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับพระเยซู และพระองค์จะปรนนิบัติคุณ (ข้อ 37ข) ความดี และพระคุณของพระเยซู แทบไม่น่าเชื่อพระองค์ทรงพลิกบทบาทในแบบที่มนุษย์ส่วนใหญ่คาดไม่ถึงด้วยซ้ำ

เตรียมตัวให้พร้อมเพื่อการกลับมาของพระองค์ (ข้อ 40) จงเป็นเหมือน ‘พ่อบ้านซื่อสัตย์และฉลาด’ (ข้อ 42) คุณจะได้บำเหน็จมากมาย อันเป็นผลดีทำให้คุณ ‘เป็นสุข’ (ข้อ 43) พระองค์จะตั้งให้คุณเป็นผู้ดูแล ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพระองค์ (ข้อ 44)

เป็นเรื่องอันตรายมากในการคิดว่าพระเยซูยังไม่เสด็จมาตอนนี้ (ข้อ 45) เพราะเราคิดว่าเราสามารถทำในสิ่งที่ชอบได้ต่อไป และจะมีเวลาเหลือเฟือที่ค่อยกลับมาทำให้สิ่งต่าง ๆ ถูกต้องทีหลัง

เป็นความจริงกับความคิดที่ว่า ‘นายของข้าคงจะมาช้า’ หลอกลวงคนรับใช้ที่ไม่ฉลาดให้ละเลยงานและไม่ทำตามที่นายต้องการ (ข้อ 45) สำหรับคนจำนวนมากในปัจจุบันดูเหมือนว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่ห่างไกล หรือไม่เกี่ยวข้องรวมถึงมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อชีวิตของพวกเขา เรื่องราวนี้เป็นคำเตือนที่เตือนใจเราว่าวันหนึ่งจะมีการพิพากษาในทุกสิ่งที่เราทำ และนั่นก็ทำให้เราควรที่จะเริ่มตอบสนองโดยทันที

พระเยซูตรัสว่า ถ้าคุณรู้ว่ามีอะไรผิดพลาดและคุณยังทำมันต่อไป สิ่งนั้นจะแย่ยิ่งกว่าการทำอะไรผิดโดยที่คุณไม่รู้ตัว แต่สุดท้ายก็พลาดอยู่ (ข้อ 47–48)

พระเยซูทรงเรียกให้คุณเชื่อฟังและรับใช้พระองค์ด้วยความสัตย์ซื่อ และด้วยสติปัญญา หากคุณใช้สิ่งที่พระเจ้าประทานให้คุณอย่างชาญฉลาด พระองค์จะทรงอวยพรคุณมากขึ้นด้วยความรับผิดชอบ ยิ่งพระเจ้าประทาน ให้คุณมากเท่าไหร่ความรับผิดชอบก็จะยิ่งมากขึ้นด้วยเพื่อใช้ให้เกิดผลสูงสุด พระเยซูตรัสว่า ‘คนที่ได้รับมาก จะต้องเรียกเอาจากคนนั้นมาก และคนที่ได้รับฝากไว้มาก ก็จะต้องทวงเอาจากคนนั้นมาก’ (ข้อ 48ข)

หากคุณมีบ้านที่มีความสุข มีการศึกษาที่ดี สุขภาพ มีเพื่อนฝูง งาน อาหาร เสื้อผ้า วันหยุด และหากคุณ สามารถเข้าถึงพระคัมภีร์ได้สะดวก มีอิสระในการสามัคคีธรรมและอธิษฐานและอื่น ๆ คุณก็ถือเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้รับมากจากพระเจ้า และได้รับความคาดหวังมากขึ้นด้วยเช่นกัน

พระเยซูไม่ได้มีชีวิตที่ง่ายดาย พระองค์ตรัสว่า ‘เราจะต้องรับบัพติศมาอย่างหนึ่ง เราเป็นทุกข์มากจนกว่า จะสำเร็จ!’ (ข้อ 50) พระเยซูทรงดำเนินอยู่ภายใต้เงาของไม้กางเขน พระองค์ทรงทราบว่ากำลังจะต้องเผชิญ กับการทนทุกข์ เมื่อเรารู้ว่าเรากำลังเผชิญกับความยากลำบากหรือความท้าทายบางอย่างในชีวิตเรามักจะ รู้สึกว่า ‘ถูกทรมานจนกว่าจะสำเร็จ’ (ข้อ 50, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Revised Standard Version โดยผู้แปล) หากเรารู้สึกเช่นนี้กับปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ จะต้องน่ากลัวเพียงใดสำหรับพระเยซูเมื่อพระองค์เผชิญกับ ความน่าสะพรึงกลัวของการตรึงกางเขนซึ่งแบกรับบาปของคนทั้งโลก

นี่คงเป็นวิธีที่พระเยซูนำสันติสุขมาให้เราในองค์พระเจ้า แต่พระเยซูตรัสว่าพอถึงช่วงหนึ่งเราจะไม่พบสันติสุข เสมอไป แต่จะมีการแตกแยกเกิดขึ้น: ‘พวกท่านคิดว่าเรามาเพื่อจะให้เกิดสันติภาพในโลกหรือ? เราบอกท่านว่า ไม่ใช่ แต่จะให้แตกแยกกันต่างหาก’ (ข้อ 51) ความแตกแยกนี้สามารถเกิดขึ้นกับผู้ที่ใกล้ชิดและเกี่ยวข้องกับ เรามากที่สุดด้วยซ้ำ อาจมีการแแตกแยกระหว่างผู้ที่อยู่เพื่อพระเยซูและผู้ที่ต่อต้านพระองค์

แต่กระนั้นคุณยังถูกเรียกให้เป็นผู้สร้างสันติด้วยเช่นกัน 'จงอุตส่าห์หาช่องที่จะปรองดอง’ (ข้อ 58)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้พร้อมเสมอสำหรับงานรับใช้ และขอทรงใช้ข้าพระองค์ให้เกิดผลสูงสุด จากทุกสิ่งที่ทรงประทานให้กับข้าพระองค์
พันธสัญญาเดิม

เฉลยธรรมบัญญัติ 11:1-12:32

รางวัลสำหรับการเชื่อฟัง

 1“ฉะนั้นท่านจงรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน จงรักษาพระดำรัสสั่ง กฎเกณฑ์ กฎหมาย และพระบัญญัติของพระองค์อยู่เสมอ 2ท่านทั้งหลายจงตระหนักในวันนี้เถิด เพราะข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวกับลูกหลานของพวกท่าน ผู้ไม่เห็นการตีสอนของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และพระกรที่เหยียดออกของพระองค์ 3รวมทั้งหมายสำคัญและพระราชกิจของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงกระทำในอียิปต์ต่อฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ และต่อแผ่นดินทั้งสิ้นของท่าน 4และซึ่งพระองค์ทรงทำต่อกองทัพอียิปต์ ต่อม้าของเขา และต่อรถรบของเขา เมื่อพระองค์ทรงทำให้น้ำในทะเลแดง ท่วมพวกเขา เมื่อเขาไล่ติดตามพวกท่าน และที่พระยาห์เวห์ทรงทำลายเขาทั้งหลายจนทุกวันนี้ 5และสิ่งที่พระองค์ทรงทำแก่พวกท่านในถิ่นทุรกันดาร จนพวกท่านมาถึงสถานที่นี้ 6และสิ่งที่ทรงทำต่อดาธานและอาบีรัมบุตรของเอลีอับ บุตรชายของรูเบน คือแผ่นดินได้อ้าปากกลืนพวกเขาเข้าไป ทั้งครัวเรือน เต็นท์ และสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่ติดตามเขาไปท่ามกลางคนอิสราเอลทั้งสิ้น 7เพราะนัยน์ตาของท่านทั้งหลายได้เห็นพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์ซึ่งพระองค์ทรงกระทำนั้น
 8“ดังนั้นท่านทั้งหลายจงรักษาพระบัญญัติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้ เพื่อท่านทั้งหลายจะเข้มแข็ง และเข้ายึดครองแผ่นดินซึ่งพวกท่านกำลังจะข้ามไปยึดครองนั้น 9และเพื่อพวกท่านจะมีชีวิตยืนนานในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของพวกท่านว่าจะให้แก่พวกเขา และแก่เชื้อสายของเขา เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ 10เพราะว่าแผ่นดินซึ่งท่านกำลังเข้ายึดครองนั้น ไม่เหมือนแผ่นดินอียิปต์ ซึ่งพวกท่านได้จากมา ในที่นั้นท่านหว่านพืชและเอาเท้ารดน้ำเอาเท้ารดน้ำ แปลได้อีกว่า รดน้ำด้วยความยากลำบากเหมือนเป็นสวนผัก 11แต่แผ่นดินซึ่งพวกท่านจะเข้ายึดครองนั้นเป็นแผ่นดินที่มีเนินเขาและหุบเขา ซึ่งมีน้ำฝนจากฟ้ารดอยู่ 12เป็นแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงดูแล พระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านอยู่เหนือแผ่นดินนั้นเสมอ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นปี
 13“ถ้าท่านจะตั้งใจเชื่อฟังตามบัญญัติของข้าพเจ้าซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านไว้ในวันนี้ ให้รักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายและปรนนิบัติพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน 14‘เราจะให้ฝนตกบนแผ่นดินของพวกเจ้าตามฤดูกาล คือฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู เพื่อเจ้าจะได้เก็บข้าว เหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมันของเจ้า 15และเราจะให้หญ้าในทุ่งสำหรับฝูงสัตว์ของเจ้า และเจ้าจะได้รับประทานจนอิ่ม’ 16จงระวังตัวอย่าให้จิตใจของท่านทั้งหลายลุ่มหลงและหันเหไปปรนนิบัตินมัสการพระอื่นๆ 17และพระยาห์เวห์จึงกริ้วพวกท่าน ทรงปิดฟ้าสวรรค์ไม่ให้ฝนตก และแผ่นดินก็ไม่งอกพืชผล และท่านทั้งหลายจะพินาศจากแผ่นดินดีซึ่งพระยาห์เวห์ประทานแก่ท่านนั้นอย่างรวดเร็ว
 18“จงใส่ถ้อยคำเหล่านี้ของข้าพเจ้าไว้ในใจและในจิตของพวกท่าน จงผูกไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และคาดไว้ที่หน้าผากของท่านเป็นสัญลักษณ์ 19และพวกท่านจงสอนถ้อยคำเหล่านี้แก่บุตรหลานของท่าน จงพูดถึงถ้อยคำเหล่านี้เมื่อท่านอยู่ในบ้าน และเมื่อท่านเดินอยู่ตามทาง เมื่อท่านนอนลงหรือลุกขึ้น 20ท่านจงเขียนคำเหล่านี้ไว้ที่เสาประตูบ้าน และที่ประตูของท่าน 21เพื่ออายุของพวกท่านและอายุของบุตรหลานของท่านจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณที่จะประทานแก่บรรพบุรุษของท่าน ตราบเท่าที่ฟ้าสวรรค์อยู่เหนือโลก 22เพราะถ้าพวกท่านระวังที่จะทำตามพระบัญญัติทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่าน คือรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ดำเนินในทางทั้งสิ้นของพระองค์ และติดสนิทกับพระองค์แล้ว 23พระยาห์เวห์จะทรงขับไล่ประชาชาติทั้งสิ้นเหล่านี้ให้ออกไปพ้นหน้าท่านทั้งหลาย แล้วท่านจะเข้ายึดครองแผ่นดินของประชาชาติที่ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าท่าน 24ทุกที่ที่ฝ่าเท้าของพวกท่านเหยียบลงจะเป็นของท่าน อาณาเขตของท่านจะเริ่มจากถิ่นทุรกันดารไปจนถึงเลบานอน และจากแม่น้ำ คือแม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงทะเลตะวันตก 25จะไม่มีใครสามารถยืนหยัดต่อสู้พวกท่านได้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงทำให้พวกท่านเป็นที่เกรงขามและตกใจกลัวของแผ่นดินที่ท่านจะเหยียบย่ำไป ตามที่ทรงสัญญาไว้กับท่าน
 26“ดูสิ วันนี้ข้าพเจ้าได้นำคำอวยพรและคำสาปแช่งมาไว้ตรงหน้าท่านทั้งหลาย 27เป็นคำอวยพร ถ้าพวกท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ 28เป็นคำสาปแช่ง ถ้าท่านไม่เชื่อฟังพระบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน แต่หันเหไปจากทางซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้ ไปติดตามพระอื่นซึ่งท่านไม่รู้จัก 29และเมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงนำท่านเข้าไปในแผ่นดินซึ่งท่านจะเข้ายึดครองนั้น ท่านจงตั้งคำอวยพรไว้บนภูเขาเกริซิม และตั้งคำสาปแช่งไว้บนภูเขาเอบาล 30ภูเขาเหล่านี้อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ไปทางทิศตะวันตกในแผ่นดินคนคานาอันผู้อาศัยอยู่ในที่ราบตรงหน้ากิลกาล ข้างหมู่ต้นโอ๊กคือ ต้นก่อซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่โมเรห์ไม่ใช่หรือ? 31เพราะพวกท่านจะต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองแผ่นดิน ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน และเมื่อท่านยึดครองและอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น 32ท่านจงระวังที่จะทำตามกฎเกณฑ์และกฎหมายทั้งสิ้น ซึ่งข้าพเจ้าตั้งไว้ต่อหน้าท่านทั้งหลายในวันนี้

เฉลยธรรมบัญญัติ 12

แท่นบูชาของคนต่างด้าวต้องถูกทำลาย

 1“ต่อไปนี้เป็นกฎเกณฑ์และกฎหมายซึ่งพวกท่านจะต้องระวังที่จะทำตามในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านประทานให้ท่านยึดครองตลอดวันคืนที่ท่านมีชีวิตอยู่ในโลก 2พวกท่านจงทำลายสถานที่ทุกแห่งซึ่งประชาชาติที่ท่านขับไล่ไปนั้นใช้เป็นที่ปรนนิบัติพระของเขา ซึ่งอยู่บนภูเขาสูงและบนเนินเขา และใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น 3พวกท่านจงรื้อแท่นบูชาของพวกเขา และทุบเสาศักดิ์สิทธิ์ของเขาให้แตกเป็นชิ้นๆ และเผาบรรดาเสาอาเช-ราห์ของเขาด้วยไฟ ท่านจงฟันทำลายรูปแกะสลักซึ่งเป็นรูปพระของเขาเสีย และลบชื่อของพระเหล่านั้นออกจากที่นั่น 4ห้ามทำอย่างนั้นต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 5พวกท่านจงแสวงหาและเข้าไปยังสถานที่ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงเลือกจากเขตแดนของทุกเผ่าของท่าน เพื่อสถาปนาพระนามของพระองค์ไว้ให้เป็นที่ประทับของพระองค์ 6และท่านทั้งหลายจงนำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องสัตวบูชาของท่านไปที่นั่น ทั้งทศางค์ร้อยละสิบและเครื่องถวาย ทั้งเครื่องบูชาแก้บน เครื่องบูชาตามความสมัครใจ และผลรุ่นแรกที่ได้จากฝูงโคและฝูงแพะแกะ 7ท่านทั้งหลายจงรับประทานที่นั่นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ทั้งท่านและครอบครัวของท่านจงยินดีในกิจการทั้งสิ้นซึ่งท่านได้ทำนั้น ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงอวยพรท่าน 8ห้ามทำตามสิ่งสารพัดที่พวกเราทำที่นี่ทุกวันนี้ คือทุกคนต่างทำตามสิ่งที่ตาของตนเองเห็นว่าถูกต้อง 9เพราะพวกท่านยังไปไม่ถึงที่หยุดพัก และถึงมรดกซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน 10แต่เมื่อพวกท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปแล้ว และอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานเป็นมรดกแก่ท่าน และเมื่อพระองค์ทรงให้ท่านพักจากศัตรูทั้งสิ้นรอบข้างท่าน ท่านจึงอยู่อย่างปลอดภัย 11แล้วจงไปยังสถานที่ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงเลือกไว้ให้พระนามของพระองค์ประทับที่นั่น จงนำทุกสิ่งซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านไปด้วย คือเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องสัตวบูชาของท่าน ทั้งทศางค์และเครื่องถวาย ทั้งเครื่องบูชาแก้บนซึ่งท่านได้บนไว้ต่อพระยาห์เวห์ 12และพวกท่านจงยินดีเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ทั้งตัวท่านและบุตรชายบุตรสาวของท่าน ทั้งทาสทาสีของท่านและคนเลวีซึ่งอยู่ในเมืองของท่าน เพราะเขาไม่มีส่วนแบ่งหรือส่วนมรดกกับท่าน

สถานนมัสการที่กำหนดไว้

 13“พวกท่านจงระวังให้ดีเกรงว่าท่านทั้งหลายจะถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวตามที่ใดๆ ซึ่งท่านเห็นชอบ 14แต่จงถวายในสถานที่ซึ่งพระยาห์เวห์จะทรงเลือกท่ามกลางเผ่าหนึ่งของท่าน ท่านจงถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวของท่านที่นั่น และ ณ ที่นั่นท่านจงทำทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านไว้
 15“อย่างไรก็ตาม ท่านจะฆ่าสัตว์และรับประทานเนื้อในเมืองใดๆ ของท่านตามที่ท่านปรารถนาก็ได้ ตามพระพรซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ทั้งผู้ที่สะอาดและผู้ที่มลทินก็รับประทานได้ ดังที่รับประทานเนื้อละมั่งและเนื้อกวาง 16แต่ห้ามรับประทานเลือด ท่านจงเทลงบนดินเหมือนเทน้ำ 17ส่วนทศางค์ของข้าว หรือเหล้าองุ่นใหม่ หรือน้ำมัน หรือผลรุ่นแรกจากฝูงโคหรือฝูงแพะแกะ หรือของถวายแก้บนตามที่ท่านบนไว้ หรือของถวายตามความสมัครใจ หรือของที่ท่านนำมาถวาย ห้ามรับประทานในเมืองของท่าน 18แต่ท่านจงรับประทานของเหล่านี้เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ในสถานที่ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้ ทั้งตัวท่านและบุตรชายบุตรสาวของท่าน ทาสทาสีของท่านและคนเลวีผู้อยู่ในเมืองของท่าน และท่านจงยินดีเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านในกิจการทุกอย่างซึ่งมือท่านได้ทำนั้น 19ท่านจงระวัง เกรงว่าท่านจะทอดทิ้งคนเลวี ตลอดเวลาที่ท่านอาศัยอยู่ในแผ่นดินของท่าน
 20“เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงขยายอาณาเขตของท่าน ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับท่านแล้วนั้น และท่านกล่าวว่า ‘ข้าจะกินเนื้อสัตว์’ เพราะใจท่านอยากรับประทานเนื้อ ท่านจะรับประทานเนื้อได้ตามใจปรารถนาของท่านทุกอย่าง 21ถ้าสถานที่ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้ เพื่อสถาปนาพระนามของพระองค์ที่นั่นนั้นห่างจากท่านเกินไป ท่านจงฆ่าสัตว์จากฝูงโคฝูงแพะแกะของท่าน ซึ่งพระยาห์เวห์ประทานแก่ท่าน ดังที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านไว้แล้วนั้น ท่านจงรับประทานในเมืองของท่านตามที่ใจท่านปรารถนาทุกประการเถิด 22ท่านจะรับประทานได้อย่างที่ท่านรับประทานเนื้อละมั่ง หรือเนื้อกวาง ทั้งผู้ที่มลทินและผู้ที่สะอาดก็รับประทานได้เช่นกัน 23แต่ต้องแน่ใจว่าท่านไม่รับประทานเลือดเลย เพราะเลือดเป็นชีวิต ห้ามท่านรับประทานชีวิตพร้อมกับเนื้อ 24ห้ามท่านรับประทานเลือด แต่จงเทเลือดลงบนดินเหมือนเทน้ 25ห้ามรับประทานเลือด เพื่อจะเป็นการดีต่อท่านและบุตรหลานของท่านต่อไป เมื่อท่านทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ 26แต่สิ่งบริสุทธิ์ซึ่งเป็นส่วนกำหนดจากท่านและของแก้บนของท่านนั้น ท่านจงนำไปยังสถานที่ซึ่งพระยาห์เวห์จะทรงเลือกไว้ 27และถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวทั้งเนื้อและเลือดบนแท่นบูชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ท่านจงเทเลือดของเครื่องสัตวบูชาลงบนแท่นบูชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน แต่ส่วนเนื้อนั้นท่านรับประทานได้ 28จงระวังที่จะเชื่อฟังถ้อยคำเหล่านี้ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านไว้ เพื่อจะเป็นการดีต่อท่านและลูกหลานของท่านเป็นนิตย์ เพราะท่านทำสิ่งที่ดีและถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน”

ตักเตือนไม่ให้นมัสการรูปเคารพ

 29“เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะขจัดประชาชาติซึ่งท่านจะเข้ายึดครองนั้นออกไปเสียต่อหน้าท่าน และเมื่อท่านเข้ายึดครองและเข้าอาศัยอยู่ในแผ่นดินของพวกเขานั้น 30จงระวังตัวว่าท่านจะไม่หลงติดตามพวกเขา หลังจากที่พวกเขาถูกทำลายต่อหน้าท่านแล้วนั้น และจงระวังที่จะไม่ไต่ถามเรื่องพระของพวกเขาโดยกล่าวว่า ‘ประชาชาติเหล่านี้ปรนนิบัติพระของพวกเขาอย่างไร? เพื่อเราจะทำด้วยเช่นกัน’ 31ห้ามทำอย่างนั้นต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เพราะว่าสิ่งพึงรังเกียจทุกอย่างซึ่งพระยาห์เวห์ทรงรังเกียจ พวกเขาได้ทำต่อพระของพวกเขา แม้แต่บุตรชายและบุตรสาวของพวกเขา พวกเขาก็เผาด้วยไฟบูชาแด่พระของเขา”
 32“ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าบัญชาพวกท่านไว้นั้น จงระวังที่จะทำตาม ห้ามเพิ่มอะไรเข้าหรือตัดอะไรออกไป

อรรถาธิบาย

กำลังที่มาจากพระเจ้า

พระเยซูไม่ได้ทรงเป็นคนแรกที่เชื่อมโยงความรักและการเชื่อฟังเข้าด้วยกัน ธรรมบัญญัติของโมเสสที่พระเจ้าประทานไว้ให้นั้นออกมาจากความรักของพระองค์ ซึ่งเราถูกเรียกให้ตอบสนองต่อความรักนี้ด้วย ‘จงรักพระเจ้าของท่าน รักษาพระดำรัสและกฎเกณฑ์ของพระองค์ให้ดี เชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ตลอดเวลาที่เหลือ’ (11:1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพระวจนะของพระเจ้าซึมซับอยู่ในทุกส่วนของชีวิตคุณ ‘จงใส่ถ้อยคำเหล่านี้ของเราไว้ในใจ ให้ลงไปในส่วนลึกในใจท่าน ... สอนถ้อยคำเหล่านี้แก่บุตรหลานของท่าน จงพูดถึงถ้อยคำเหล่านี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในบ้าน หรือเดินอยู่ตามทาง จงพูดถึงถ้อยคำเหล่านี้ตั้งแต่ตื่นจนนอนลงในตอนมืด’ (ข้อ 18–19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

จงรู้จัก ศึกษา และสอนพระวจนะของพระเจ้ารวมถึงนำไปปฏิบัติใช้ในชีวิตของคุณ พระพรอันยิ่งใหญ่มาจาก การดำเนินชีวิตอย่างเปิดเผย ซื่อสัตย์ การดำเนินในความสว่างแห่งความจริงของพระเจ้าดังที่พระองค์ได้สำแดง ออกมาจากพระวจนะของพระองค์

พระองค์ทรงสัญญาว่าจะเทพระพรของพระองค์ลงมาแก่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระดำรัสของพระองค์อย่างสัตย์ซื่อ ‘ให้รักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายและปรนนิบัติพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน’ (ข้อ 13; ดูข้อ 22,27 ด้วย)

การไม่เชื่อฟังเป็นสิ่งที่ละเลยและเป็นการทำลายล้างมาก ผมรู้ว่าในชีวิตของผมเองนั้น การทำบาปโดยเจตนา นำไปสู่ความรู้สึกผิดและทำให้หมดพลังงานไป ท้ายที่สุดเราก็ทุกข์ทรมาน โมเสสกล่าวอย่างเกิดผลว่า ‘เห็นความดีของพระองค์’: ‘เพราะนัยน์ตาของท่านทั้งหลายได้เห็นพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ทั้งสิ้นของ พระยาห์เวห์ซึ่งพระองค์ทรงกระทำนั้น ดังนั้นท่านทั้งหลายจงรักษาพระบัญญัติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชา ท่านในวันนี้ เพื่อท่านทั้งหลายจะเข้มแข็ง…’ (ข้อ 7,8) การเชื่อฟังนำมาซึ่งพระพรแห่งความเข้มแข็ง

เลือกในสิ่งที่ดี พระเจ้าตรัสว่า ‘วันนี้ข้าพเจ้านำท่านมาถึงทางแยกแห่งพระพรและคำแช่งสาป’ (ข้อ 26, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) หากคุณเลือกการเชื่อฟัง คุณจะได้รับพรจากพระเจ้า คุณจะเป็นดั่งแม่เหล็กดึงดูดพระพรของพระองค์ สติปัญญาคือการเลือกที่จะทำในสิ่งที่จะเติมเต็มคุณได้ในภายหลัง

การทดลอง คือ การล่อลวงไม่ให้เราเชื่อฟังพระเจ้าเนื่องจากคนรอบข้างต่างทำเช่นนั้น โมเสสกล่าวว่า ‘จงระวังตัวว่าท่านจะไม่หลงติดตามพวกเขา หลังจากที่พวกเขาถูกทำลายต่อหน้าท่านแล้วนั้น และจงระวังที่จะไม่ไต่ถามเรื่องพระของพวกเขาโดยกล่าวว่า “ประชาชาติเหล่านี้ปรนนิบัติพระของพวกเขา อย่างไร? เพื่อเราจะทำด้วยเช่นกัน”’ (12:30) เขากล่าวต่อไปว่า ‘ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าบัญชาพวกท่านไว้นั้น จงระวังที่จะทำตาม ห้ามเพิ่มอะไรเข้าหรือตัดอะไรออกไป’ (ข้อ 32)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับความดีทั้งสิ้นของพระองค์ โปรดเติมความรักและเสริมกำลัง โปรดเติมความสุขและความชื่นบาน ความสัตย์ซื่อ และสติปัญญาของพระองค์แก่ข้าพระองค์ในวันนี้

เพิ่มเติมโดยพิพพา

เฉลยธรรมบัญญัติ 11:18–20

‘จงใส่ถ้อยคำเหล่านี้ของข้าพเจ้าไว้ในใจและในจิตของพวกท่าน จงผูกไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และคาดไว้ที่หน้าผากของท่านเป็นสัญลักษณ์ และพวกท่านจงสอนถ้อยคำเหล่านี้แก่บุตรหลานของท่าน จงพูดถึงถ้อยคำเหล่านี้เมื่อท่านอยู่ในบ้าน และเมื่อท่านเดินอยู่ตามทาง เมื่อท่านนอนลงหรือลุกขึ้น ท่านจงเขียนคำเหล่านี้ไว้ที่เสาประตูบ้าน และที่ประตูของท่าน’

เรียนรู้ข้อพระคำต่าง ๆ ไว้ในขณะที่คุณยังอายุไม่มาก (เพราะมันยากกว่ามากเมื่อคุณอายุมากขึ้น!) ฉันไม่แน่ใจว่าเราสอนพระคัมภีร์ให้ลูกได้ดีพอแค่ไหน แม้ว่าบางครั้งฉันจะติดข้อพระคำไว้บนตู้เย็น!

แต่ข้อพระวจนะที่ฉันเรียนรู้เมื่อครั้งยังเด็ก ฉันกลับไปใคร่ครวญครั้งแล้วครั้งเล่า

ข้อพระคำประจำวัน

(ถอดความจากสดุดี 43:3)

‘โปรดทรงส่งความสว่างและความจริงของพระองค์แก่ข้าพระองค์ ให้ทั้งสองนำข้าพระองค์’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม