ขอบเขตแห่งรัก
เกริ่นนำ
ผมจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน มีการแข่งขันฟุตบอลที่มีเด็กผู้ชายยี่สิบสองคน (รวมถึงลูกชายของผมคนหนึ่งอายุแปดขวบด้วย) แอนดี้ เพื่อนของผมกำลังจะมาเป็นกรรมการผู้ตัดสิน แต่น่าเสียดายเมื่อถึงเวลา 14:30 น. เขาก็ยังไม่ปรากฏตัว แต่เด็ก ๆ ไม่สามารถรอได้อีกต่อไป
ผมจึงถูกเกณฑ์ให้เป็นกรรมการผู้ตัดสินแทน แต่ผมก็ไม่มีนกหวีด ไม่มีเครื่องหมายใด ๆ สำหรับแสดงขอบเขตของสนาม และผมแทบไม่รู้กติกาพอ ๆ กับเด็ก ๆ บางคน
ในไม่ช้าเกมก็เข้าสู่ความสับสนวุ่นวายอย่างที่สุด บ้างก็ตะโกนว่าลูกบอลเข้าแล้ว คนอื่น ๆ ก็บอกว่าออกแล้ว ผมไม่แน่ใจเลยปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไป จากนั้นการฟาล์วก็เริ่มขึ้น บางคนร้องว่า ‘ฟาล์ว’ อีกคนบอกว่า ‘ไม่ฟาล์ว’ ผมไม่รู้ว่าใครถูก ผมจึงปล่อยให้พวกเขาเล่นต่อไป จากนั้นผู้เล่นก็เริ่มบาดเจ็บ เมื่อแอนดี้มาถึง ก็มีเด็กผู้ชายสามคนนอน ‘บาดเจ็บ’ อยู่ที่พื้น และเด็ก ๆ ที่เหลือทั้งหมดส่วนใหญ่ก็ตะโกนใส่ผม!
แต่ในขณะที่แอนดี้มาถึง เขารีบเป่านกหวีด จัดการการเล่นของทีม บอกพวกเขาว่าขอบเขตอยู่ที่ไหน และให้พวกเขาอยู่ภายใต้กฎกติกาอย่างสมบูรณ์ จากนั้นพวกเด็ก ๆ ก็สนุกสนานกับฟุตบอลกันสุด ๆ เลย
เด็ก ๆ มีอิสระในการเล่นมากขึ้นโดยไม่มีกฎกติกา หรือในความเป็นจริงแล้วพวกเขามีอิสระน้อยลง? หากไม่มีผู้มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมกฎกติกาอย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาสามารถทำในสิ่งที่ต้องการได้แต่นั่นก็จะ ทำให้พวกเขาสับสนและบาดเจ็บ พวกเขาชอบมันมากกว่าเมื่อได้เล่นเกมตามกฎ จากนั้นพวกเขาก็มีอิสระที่จะ สนุกสนานกับเกม กฎของฟุตบอลไม่ได้ออกแบบมาเพื่อดึงความสนุกของเกมออกไป แต่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สามารถสนุกกับเกมได้อย่างเต็มที่
‘กฎเกณฑ์’ ของพระเจ้าเป็นขอบเขตสำหรับชีวิตซึ่งพระองค์ทรงประทานมาจากความรักที่พระองค์มีต่อเรา ขอบเขตของพระองค์ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อจำกัดเสรีภาพของเราแต่กลับให้เสรีภาพแก่เรา เช่นเดียวกับกฎกติกาของฟุตบอลซึ่งไม่ได้หยุดความสนุกของเกม แต่ช่วยให้สามารถเล่นเกมแห่งชีวิตได้อย่างเต็มที่
สุภาษิต 7:1-5
เล่ห์เหลี่ยมมารยาของหญิงโสเภณี
1ลูกเอ๋ย จงรักษาถ้อยคำของข้า
จงสะสมบัญญัติของข้าไว้กับเจ้า
2จงรักษาบัญญัติของข้า และมีชีวิตอยู่
จงรักษาคำสอนของข้าอย่างกับแก้วตาของเจ้า
3จงพันมันไว้ที่นิ้วมือของเจ้า
จงเขียนมันไว้บนแผ่นจารึกแห่งหัวใจของเจ้า
4จงพูดกับปัญญาว่า “เธอเป็นพี่สาวของฉัน”
และจงเรียกความรอบรู้ว่า “ญาติสนิท”
5เพื่อสองสิ่งนี้จะปกป้องเจ้าไว้จากหญิงแพศยา
จากหญิงสำส่อนที่พูดจาพะเน้าพะนอ
อรรถาธิบาย
ขอบเขตแห่งความรักของพระเจ้า
พระเจ้าไม่ได้ทรงเชื้อเชิญเราให้ทำตามกฎเกณฑ์ของพระองค์แต่พระองค์ทรงตรัสสั่ง แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่คำสั่งของเผด็จการ แต่เป็นคำสั่งของพระบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรักซึ่งออกแบบมาเพื่อรับประกันความยุติธรรม สันติสุขและความบริบูรณ์ของชีวิต
ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิต เปรียบเสมือนพ่อแม่ที่หนุนจิตชูใจลูก ๆ และส่งต่อคำสั่งของพระเจ้าไปยังพวกเขา เขาเรียกร้องให้ลูก ๆ ของเขา ‘จงสะสมบัญญัติของข้าไว้กับเจ้า’ (ข้อ 1) ‘รักษาบัญญัติของข้าและมีชีวิตอยู่’ (ข้อ 2ก) ‘รักษาคำสอนของข้า ... อย่างกับแก้วตาของเจ้า’ (ข้อ 2ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) ‘เขียนไว้บนแผ่นจารึกแห่งหัวใจของเจ้า’ (ข้อ 3ข) นี่คือสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำ พระองค์ทรงใส่ บทบัญญัติจารึกไว้ในใจคุณและทำให้คุณสามารถรักษาพระบัญญัติเหล่านั้นไว้ได้ (เยเรมีย์ 31:33–34)
พระบัญญัติของพระเจ้านำมาซึ่ง ‘ปัญญา’ และปัญญาควรเป็น ‘ญาติสนิท’ ของเรา (สุภาษิต 7:4, พระคัมภีร์ ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) พวกเขานำมาซึ่ง ‘ความรอบรู้' (ข้อ 4) และนำเราให้พ้นจากปัญหา (ข้อ 5)
คำอธิษฐาน
ลุกา 1:1-25
คำอุทิศแก่เธโอฟีลัส
1เนื่องจากมีหลายคนอุตส่าห์เรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ ซึ่งสำเร็จแล้วในท่ามกลางเรา 2ตามที่คนเหล่านั้นซึ่งเป็นผู้ที่ได้เห็นกับตาเองตั้งแต่ต้นและเป็นผู้ประกาศพระวจนะนั้นแสดงให้เรารู้ 3เพราะเหตุนี้ หลังจากที่ข้าพเจ้าสืบเสาะเรื่องราวเหล่านี้อย่างละเอียดตั้งแต่แรก จึงเห็นดีด้วยที่จะเรียบเรียงเรื่องตามลำดับเพื่อท่านเธโอฟีลัสที่เคารพยิ่ง 4เพื่อให้ท่านรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านั้นที่เคยมีผู้แจ้งให้ท่านทราบ
การพยากรณ์เรื่องกำเนิดของยอห์นผู้ให้บัพติศมา
5ในรัชกาลของเฮโรดกษัตริย์ของยูเดีย มีปุโรหิตคนหนึ่งชื่อเศคาริยาห์ซึ่งอยู่ในกองเวรอาบียาห์ ภรรยาของเศคาริยาห์ชื่อเอลีซาเบธ อยู่ในตระกูลอาโรน 6ท่านทั้งสองเป็นคนชอบธรรมต่อพระเจ้าและดำเนินตามบัญญัติและกฎหมายทั้งปวงขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่มีที่ติเลย 7แต่ท่านทั้งสองไม่มีบุตร เพราะว่านางเอลีซาเบธเป็นหมัน และท่านทั้งสองก็ชราแล้ว
8เมื่อเศคาริยาห์ทำหน้าที่ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระเจ้าในคราวที่กองเวรของท่านเข้าประจำการ 9ท่านเป็นผู้ที่จับได้ฉลากตามธรรมเนียมของปุโรหิต จึงต้องเข้าไปในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเผาเครื่องหอมบูชา 10ส่วนประชาชนอธิษฐานอยู่ข้างนอกในระหว่างที่เผาเครื่องหอมนั้น 11มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เศคาริยาห์ ยืนอยู่ที่ข้างขวาแท่นเผาเครื่องหอมนั้น 12เมื่อเศคาริยาห์เห็นก็ตกใจกลัว 13แต่ทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวแก่ท่านว่า “เศคาริยาห์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว นางเอลีซาเบธภรรยาของท่านจะให้กำเนิดบุตรชาย ท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่ายอห์น 14ท่านจะมีความยินดีและเปรมปรีดิ์ และคนจำนวนมากจะชื่นชมยินดีที่บุตรนั้นเกิดมา 15เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะไม่ดื่มน้ำองุ่นหมักและเหล้าเลย และเขาจะเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา 16เขาจะนำพงศ์พันธุ์อิสราเอลหลายคนให้หันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของพวกเขา 17เขาจะนำหน้าพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและฤทธิ์เดชของเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูก และให้คนดื้อด้านกลับได้ปัญญาของคนชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้พร้อมสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า” 18เศคาริยาห์จึงพูดกับทูตสวรรค์ว่า “ข้าพเจ้าจะรู้แน่ได้อย่างไร เพราะข้าพเจ้าชราและภรรยาก็อายุมากแล้ว?” 19ทูตสวรรค์องค์นั้นจึงตอบว่า “เราคือกาเบรียล ซึ่งยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพระองค์ทรงใช้ให้มาพูดกับท่านและนำข่าวดีนี้มาแจ้ง 20นี่แน่ะ เพราะท่านไม่ได้เชื่อถ้อยคำของเราที่จะสำเร็จตามกำหนด ท่านจะเป็นใบ้ พูดไม่ได้จนกว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น” 21คนทั้งหลายที่คอยเศคาริยาห์ก็ประหลาดใจเพราะท่านอยู่ในพระวิหารนานมาก 22เมื่อท่านออกมาก็พูดกับพวกเขาไม่ได้ คนทั้งหลายจึงตระหนักว่าท่านได้เห็นนิมิตในพระวิหาร ท่านเอาแต่ทำบุ้ยใบ้กับพวกเขาและพูดไม่ได้อยู่อย่างนั้น 23เมื่อหมดเวรของท่านแล้ว ท่านก็กลับบ้าน
24ภายหลังนางเอลีซาเบธภรรยาของท่านตั้งครรภ์ และอยู่กับบ้านอย่างเงียบๆ ห้าเดือน นางกล่าวว่า 25“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำเช่นนี้แก่ข้าพเจ้าในวันที่พระองค์ทอดพระเนตร เพื่อว่าความอดสูของข้าพเจ้าที่มีอยู่ท่ามกลางคนทั้งปวงจะหมดสิ้นไป”
อรรถาธิบาย
ตัวอย่างของบุคคลอื่น ๆ
สิ่งหนึ่งที่ช่วยผมได้มากที่สุดในชีวิตคือตัวอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจของผู้อื่น บางครั้งเป็นผู้สูงอายุ เช่น เศคาริยาห์และเอลีซาเบธ ได้มีชีวิตและ ‘ดำเนินชีวิตอย่างไร้ที่ติตามบัญญัติและกฎหมายทั้งปวงของพระเจ้า’ (ข้อ 6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) บางครั้งก็เป็นคนหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์และฤทธิ์อำนาจเช่นเดียวกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา ทุกคนทุกวัยสามารถเป็นตัวอย่างที่ สร้างแรงบันดาลใจได้
ลูกาเป็นชายที่มีการศึกษา นักประวัติศาสตร์และตามธรรมเนียมแล้วคาดว่าเขาน่าจะเป็นหมอ เขาเป็นคน ต่างชาติเพียงคนเดียวในบรรดานักเขียนชาวยิวในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ นี่เป็นเล่มแรกของผลงานทั้ง สองเล่มของเขาคือ ‘ลูกา-กิจการของอัครทูต’
ลูกาได้สืบเสาะค้นคว้าเรื่องราวของพระเยซูอย่างละเอียด (ข้อ 3) เขาเรียบเรียง ‘ลำดับ’ โดยอ้างอิงจาก ‘ผู้ที่ได้เห็นกับตาเอง’ (ข้อ 1,2) เพื่อให้คุณ ‘รู้จริงเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านั้นที่เคยมีผู้แจ้งให้ท่านทราบ’ (ข้อ 4) คุณสามารถมีความเชื่อมั่นที่แท้จริงเกี่ยวกับชีวิต ความตายและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู
เขาเริ่มต้นเรื่องราวด้วยเรื่องการถือกำเนิดของยอห์นผู้ให้บัพติศมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาได้เริ่มต้นจากพ่อแม่ ของยอห์นนั่นคือเศคาริยาห์และเอลีซาเบธ ‘ทั้งสองคนเป็นคนชอบธรรมต่อพระเจ้าและดำเนินตามบัญญัติและ กฎหมายทั้งปวงขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีที่ติเลย’ (ข้อ 6) (เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีข้อเสนอแนะที่แน่นอนใด ๆ ที่บ่งบอกว่าการที่เอลีซาเบธเป็นหมันนั้นเกิดจากความบาปบางอย่างในชีวิตของพวกเขาอันที่จริงค่อนข้างตรง กันข้าม)
ในที่สุดคำอธิษฐานของพวกเขาก็ถูกรับฟัง (ข้อ 13) เมื่อเราอธิษฐานต่อพระเจ้า พระองค์ทรงสดับฟังมากกว่า ที่เราร้องทูล พระองค์ตอบมากกว่าที่เราทูลขอ และพระองค์ทรงประทานให้มากกว่าที่เราจะจินตนาการได้ ในเวลาของพระองค์และในแบบของพระองค์เอง พวกเขารอคอยคำอธิษฐานของพวกเขาเป็นเวลานาน ถ้าพระเจ้าให้คุณรอคุณก็คือพวกเดียวกัน
พระเจ้าทรงอนุญาตให้พวกเขามีบุตรซึ่งทำให้พวกเขามีความสุขและความยินดี พระเจ้าประทาน ‘นิมิต’ ให้เศคาริยาห์ (ข้อ 22) ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยอห์นผู้ให้บัพติศมา ‘เปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่อยู่ใน ครรภ์มารดา’ (ข้อ 15) เขาจะทำ ‘ให้พ่อกลับคืนดีกับลูกและให้คนดื้อด้านกลับได้ปัญญาของคนชอบธรรม’ (ข้อ 17)
ความปรารถนาของพระเจ้าคือให้โลกกลับสู่วิถีชีวิตที่ชาญฉลาดและห่างจากความวุ่นวายที่มาจากการไม่เชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ พระเยซูคือผู้ที่ทำให้สิ่งนี้เป็นไปได้ ยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้มาเพื่อเตรียมทางให้พระเยซู
คำอธิษฐาน
เลวีนิติ 26:14-27:34
โทษของการไม่เชื่อฟัง
14“ถ้าเจ้าไม่เชื่อฟังเรา และไม่ทำตามบัญญัติทั้งหมดเหล่านี้ 15ถ้าเจ้าเบื่อหน่ายกฎเกณฑ์ของเราและใจของเจ้าเกลียดชังกฎหมายของเรา จึงไม่ทำตามบัญญัติทั้งสิ้นของเรา แต่ทำลายพันธสัญญาของเรา 16เราจะทำดังนี้แก่เจ้า คือเราจะตั้งภัยพิบัติให้เกิดขึ้นแก่เจ้า ความพินาศและความเจ็บไข้ ซึ่งทำให้นัยน์ตาชำรุด และทำให้ชีวิตทรุดโทรม เจ้าทั้งหลายจะหว่านพืชไว้เสียเปล่า เพราะศัตรูของพวกเจ้าจะมากิน 17เราจะตั้งหน้าต่อสู้เจ้า และเจ้าจะแพ้ศัตรูของเจ้า คนที่เกลียดชังเจ้าจะปกครองอยู่เหนือเจ้า เจ้าจะหลบหนีไปทั้งที่ไม่มีใครไล่ติดตาม 18และเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเจ้าทั้งหลายยังไม่ฟังเรา เราก็จะลงโทษเจ้าเจ็ดเท่าของความผิดบาปของพวกเจ้า 19เราจะทำลายความเห่อเหิมในกำลังอำนาจของเจ้า เราจะทำให้ฟ้าสวรรค์ของเจ้าเหมือนเหล็กและพื้นดินของเจ้าเหมือนทองเหลือง 20เจ้าทั้งหลายจะเปลืองกำลังเสียเปล่าๆ เพราะว่าแผ่นดินของเจ้าจะไม่มีพืชผล และต้นไม้ในแผ่นดินก็จะไม่บังเกิดผล
21“ถ้าเจ้ายังดำเนินขัดแย้งเราอยู่และไม่ยอมฟังเรา เราจะนำภัยพิบัติมาเหนือเจ้ามากยิ่งขึ้น เป็นเจ็ดเท่าของบาปของเจ้า 22เราจะส่งสัตว์ป่ามาในหมู่พวกเจ้า มันจะปล้นเอาลูกหลานของเจ้า และทำลายสัตว์เลี้ยงของเจ้า และทำให้พวกเจ้าเหลือน้อย ถนนหนทางของพวกเจ้าจะถูกทิ้งให้ร้าง
23“ถ้าด้วยการตีสอนนี้ เจ้ายังไม่หันมาหาเรา และยังประพฤติขัดแย้งเราอยู่ 24เราจะดำเนินการขัดแย้งเจ้าทั้งหลาย และเราเองจะเฆี่ยนตีเจ้าเพราะบาปของเจ้าทั้งหลายถึงเจ็ดเท่า 25เราจะนำดาบมาเหนือเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเป็นการลงโทษ ถ้าเจ้าทั้งหลายเข้ามารวมกันอยู่ในเมือง เราจะนำโรคร้ายมาในหมู่พวกเจ้า และเจ้าทั้งหลายจะตกอยู่ในมือของศัตรู 26เมื่อเราทำลายอาหารหลักของพวกเจ้า เตาอบอันเดียวก็พอเพียงที่จะให้ผู้หญิงสิบคนปิ้งขนมของเจ้าทั้งหลาย แล้วเอาขนมมาชั่ง เพื่อแบ่งส่วนให้เจ้าทั้งหลาย พวกเจ้าจะกินแต่จะไม่อิ่ม
27“และถ้าเป็นอย่างนี้แล้วเจ้ายังไม่ยอมฟังเรา และยังประพฤติขัดแย้งเรา 28เราจะดำเนินการขัดแย้งเจ้าด้วยความโกรธ และเราเองจะลงโทษเจ้าเพราะความผิดบาปของเจ้าเจ็ดเท่า 29เจ้าทั้งหลายจะกินเนื้อลูกชายของพวกเจ้า และเจ้าทั้งหลายจะกินเนื้อลูกสาวของพวกเจ้า 30เราจะทำลายปูชนียสถานสูงของเจ้า และตัดแท่นเครื่องหอมของเจ้าลง และโยนศพของพวกเจ้าลงเหนือซากรูปเคารพของพวกเจ้า และเราจะเกลียดชังเจ้า 31เราจะให้เมืองต่างๆ ของพวกเจ้าพังพินาศไป และจะทำให้สถานนมัสการของพวกเจ้าเป็นที่ร้าง และเราจะไม่ดมกลิ่นเครื่องหอมที่สดชื่นของพวกเจ้า 32และเราจะทำให้แผ่นดินของพวกเจ้าเป็นที่ร้าง จนศัตรูของพวกเจ้าผู้ซึ่งจะมาอาศัยอยู่ตกใจ 33และเราจะให้พวกเจ้ากระจัดกระจายไปอยู่ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และเราจะให้ดาบออกจากฝักไล่ตามเจ้า และแผ่นดินของเจ้าจะเป็นที่ร้าง และเมืองต่างๆ ของพวกเจ้าจะพังพินาศไป
34“ในที่สุดแผ่นดินจะได้โอกาสมีสะบาโตตลอดเวลาที่ร้างอยู่ และพวกเจ้าจะเข้าไปอยู่ในแผ่นดินของศัตรู ในเวลานั้นแผ่นดินจะได้หยุดพักและได้โอกาสมีสะบาโต 35ตราบใดที่แผ่นดินร้างอยู่ก็จะได้หยุดพัก คือจะได้หยุดพักอย่างที่ไม่ได้หยุดในสะบาโตขณะเมื่อเจ้าอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น 36ส่วนผู้ที่ยังเหลืออยู่ เราจะให้พวกเขามีใจอ่อนแอในแผ่นดินของศัตรู จนเสียงใบไม้แห้งปลิวจะทำให้พวกเขาหนี และพวกเขาจะหนีเหมือนคนหนีจากดาบ และจะล้มลงทั้งๆ ที่ไม่มีคนไล่ตาม 37พวกเขาจะสะดุดซึ่งกันและกัน เหมือนคนหนีดาบทั้งๆ ที่ไม่มีคนตามมา และพวกเขาจะไม่มีกำลังต่อต้านศัตรู 38เขาทั้งหลายจะล้มตายท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และแผ่นดินของศัตรูจะกินพวกเขาเสีย 39ส่วนผู้ที่ยังเหลืออยู่จะทรุดโทรมไปในแผ่นดินของศัตรูเพราะความชั่วของตน และเพราะความชั่วของบรรพบุรุษ พวกเขาจะต้องทรุดโทรมไปเช่นเดียวกับบรรพบุรุษ
40“แต่ถ้าเขาทั้งหลายสารภาพความชั่วของเขา และความชั่วของบรรพบุรุษ ซึ่งทำผิดต่อเราด้วยการทรยศของเขาทั้งหลายนั้น และที่ได้ประพฤติขัดแย้งเรา 41เราจึงดำเนินการขัดแย้งเขา และได้นำพวกเขาเข้าสู่แผ่นดินศัตรู ถ้าเมื่อนั้นจิตใจที่ดื้อรั้นภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ใจที่ไม่ได้เข้าสุหนัตของพวกเขาถ่อมลงและยอมรับเรื่องความชั่วของพวกเขาแล้ว 42เราจะระลึกถึงพันธสัญญาของเราซึ่งมีต่อยาโคบ และเราจะระลึกถึงพันธสัญญาของเราซึ่งมีต่ออิสอัค และพันธสัญญาของเราต่ออับราฮัม และเราจะระลึกถึงแผ่นดินนั้น 43แต่พวกเขายังต้องทิ้งแผ่นดินนั้นไว้ และแผ่นดินจะได้โอกาสมีสะบาโตในช่วงที่ถูกทิ้งร้าง เขาทั้งหลายจะยอมรับโทษที่ได้ทำผิด ด้วยเรื่องเบื่อหน่ายกฎหมายของเรา และจิตใจของพวกเขาเกลียดชังกฎเกณฑ์ของเรา 44ถึงเพียงนั้นก็ดีเมื่อเขาทั้งหลายอยู่ในแผ่นดินศัตรูของพวกเขา เราจะไม่เบื่อหน่ายพวกเขา เราจะไม่เกลียดชังพวกเขาจนถึงกับจะทำลายพวกเขาเสียให้หมดทีเดียว และทำลายพันธสัญญาซึ่งมีกับพวกเขาเสีย เพราะเราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเขาทั้งหลาย 45เพราะเห็นแก่พวกเขา เราจะระลึกถึงพันธสัญญาซึ่งมีต่อบรรพบุรุษของพวกเขา ผู้ซึ่งเราได้พาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ต่อหน้าบรรดาประชาชาติ เพื่อเราจะได้เป็นพระเจ้าของพวกเขา เราคือยาห์เวห์”
46สิ่งเหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์และกฎหมายและธรรมบัญญัติ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงทำไว้ระหว่างพระองค์กับชนชาติอิสราเอลบนภูเขาซีนายโดยโมเสส
เลวีนิติ 27
ของถวายตามคำสาบาน
1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2“จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่าเมื่อผู้ใดบนเป็นพิเศษที่จะถวายมนุษย์แด่พระยาห์เวห์ 3ให้เจ้ากำหนดราคาดังนี้ ผู้ชายอายุตั้งแต่ยี่สิบถึงหกสิบปีจะมีค่าเท่ากับเงินห้าสิบเชเขลเงินหนึ่งเชเขลมีค่าเท่ากับเงินหนักประมาณ 12 กรัมตามเชเขลของสถานนมัสการ 4ถ้าผู้นั้นเป็นผู้หญิง ให้เจ้ากำหนดราคาเป็นค่าเงินสามสิบเชเขล 5ถ้าผู้นั้นอายุห้าขวบถึงยี่สิบ ให้เจ้ากำหนดราคาผู้ชายเป็นค่าเงินยี่สิบเชเขล และผู้หญิงสิบเชเขล 6ถ้าผู้นั้นอายุหนึ่งเดือนถึงห้าขวบ ให้เจ้ากำหนดราคาผู้ชายเป็นค่าเงินห้าเชเขล ให้เจ้ากำหนดราคาผู้หญิงเป็นค่าเงินสามเชเขล 7ถ้าเป็นบุคคลอายุตั้งแต่หกสิบปีขึ้นไป ให้เจ้ากำหนดราคาผู้ชายเป็นค่าเงินสิบห้าเชเขล และผู้หญิงเป็นสิบเชเขล 8ถ้าคนใดยากจนเกินกว่าจะชำระตามที่เจ้ากำหนดราคาได้ ก็ให้ผู้ที่บนไว้ไปหาปุโรหิต ให้ปุโรหิตกำหนดราคาตามกำลังของผู้ที่บนไว้ ปุโรหิตจะกำหนดราคาของคนนั้น
9“ถ้าเป็นสัตว์อย่างที่มนุษย์นำมาถวายพระยาห์เวห์ สิ่งใดๆ ที่มนุษย์ถวายแด่พระยาห์เวห์ถือว่าเป็นของบริสุทธิ์ 10ห้ามเขานำอะไรมาแทน หรือเปลี่ยนเอาตัวที่ดีมาแทนตัวที่ไม่ดี หรือเอาตัวที่ไม่ดีมาเปลี่ยนเป็นตัวที่ดี ถ้าเขาเปลี่ยน ทั้งตัวที่นำมาเปลี่ยนและตัวที่ถูกเปลี่ยนจะเป็นของบริสุทธิ์หมายความว่า สัตว์ทั้งสองตัวจะกลายเป็นของพระเจ้า 11ถ้าเป็นสัตว์ที่มีมลทินซึ่งไม่พึงนำมาถวายแด่พระยาห์เวห์ ให้ผู้นั้นนำสัตว์ตัวนั้นไปหาปุโรหิต 12แล้วปุโรหิตจะตีราคาว่าเป็นของดีหรือของไม่ดี ปุโรหิตกำหนดราคาเท่าใดก็ให้เป็นเท่านั้น 13ถ้าเขาจะมาไถ่สัตว์นั้นก็ให้เขาเพิ่มอีกหนึ่งในห้าของราคาที่ตีค่าไว้
14“เมื่อคนใดถวายบ้านของตนไว้เป็นของบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ ปุโรหิตต้องกำหนดราคาตามสภาพที่ดีหรือไม่ดี ปุโรหิตกำหนดราคาเท่าใดก็ให้เป็นเท่านั้น 15ถ้าผู้ที่ถวายบ้านไว้ประสงค์จะไถ่บ้านของเขา ก็ให้ผู้นั้นเพิ่มเงินอีกหนึ่งในห้าของราคาบ้านที่ตีค่าไว้ แล้วบ้านนั้นจึงตกเป็นของเขาได้
16“ถ้าผู้ใดถวายที่ดินส่วนหนึ่งแด่พระยาห์เวห์ซึ่งเป็นมรดกตกแก่เขา ให้เจ้ากำหนดราคาของที่ดินตามจำนวนพันธุ์พืชที่หว่านลงในดินนั้น ถ้าที่ดินนี้มีเมล็ดพันธุ์บาร์เลย์หว่านไว้ยี่สิบกิโลกรัม ให้กำหนดราคาเป็นเงินห้าสิบเชเขล 17ถ้าเขาถวายที่ดินเริ่มจากปีอิสรภาพปีอิสรภาพ ก็ให้คงเต็มราคาที่เจ้ากำหนด 18ถ้าเขาถวายที่ดินภายหลังปีอิสรภาพ ก็ให้ปุโรหิตคำนวณค่าเงินตามจำนวนปีที่เหลืออยู่จนกว่าจะถึงปีอิสรภาพ ให้หักเสียจากราคาที่เจ้ากำหนด 19ถ้าผู้ถวายที่ดินประสงค์จะไถ่ที่ดินนั้น ก็ให้เขาเพิ่มค่าเงินอีกหนึ่งในห้าของกำหนดราคาที่ตีไว้ แล้วที่ดินนั้นจะเป็นของเขา 20แต่ถ้าเขาไม่ประสงค์จะไถ่ที่ดิน หรือเขาได้ขายที่ดินนั้นให้แก่อีกคนหนึ่งแล้ว ก็อย่าให้ไถ่อีกเลย 21แต่ที่ดินนั้นเมื่อถึงเวลาไถ่ในปีอิสรภาพจะเป็นของบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์เพราะเป็นที่ดินที่มอบถวายไว้ ปุโรหิตจึงเข้าถือกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นได้ 22ถ้าคนใดถวายที่ดินที่ซื้อมาแด่พระยาห์เวห์ คือไม่ใช่ส่วนมรดกที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา 23ปุโรหิตจะคำนวณค่าที่ดินนับจนถึงปีอิสรภาพ ในวันนั้นที่ดินจะถูกตีราคาให้เป็นของถวายที่บริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ 24เมื่อถึงปีอิสรภาพ ที่ดินนั้นต้องกลับเป็นของผู้ที่ขายให้เขาซึ่งเป็นเจ้าของเดิม ตามมรดกที่ตกมาเป็นของเขา 25การกำหนดราคาทุกอย่าง จะต้องเป็นไปตามค่าเงินเชเขลของสถานนมัสการ ยี่สิบเก-ราห์เป็นหนึ่งเชเขล
26“แต่ห้ามผู้ใดนำลูกสัตว์หัวปีมาถวาย เพราะที่เป็นสัตว์หัวปีก็ตกเป็นของพระยาห์เวห์อยู่แล้ว โคก็ดี แกะก็ดี เป็นของพระยาห์เวห์ 27ถ้าเป็นสัตว์ที่เป็นมลทินจงให้เขาซื้อคืนตามกำหนดราคาของเจ้า โดยเพิ่มหนึ่งในห้าของกำหนดราคาที่ตีไว้ ถ้าเขาไม่ไถ่ก็ให้ขายเสียตามกำหนดราคาที่ตีไว้
28“แต่สิ่งใดที่ถวายขาดแด่พระยาห์เวห์ เป็นสิ่งที่เขามีอยู่ ไม่ว่าเป็นคนหรือสัตว์ หรือที่ดินอันเป็นมรดกตกแก่เขา จะขายหรือไถ่ไม่ได้เลย เพราะสิ่งที่มอบถวายแล้ว เป็นของถวายที่บริสุทธิ์ที่สุดแด่พระยาห์เวห์ 29แม้แต่มนุษย์ที่ถูกมอบถวายแล้ว ก็ไถ่ถอนไม่ได้ ผู้นั้นต้องตาย
30“ทศางค์ร้อยละสิบทั้งสิ้นที่ได้จากแผ่นดินเป็นพืชที่ได้จากแผ่นดินก็ดี หรือผลจากต้นไม้ก็ดี เป็นของพระยาห์เวห์ เป็นของถวายที่บริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ 31ถ้าคนใดประสงค์จะไถ่ทศางค์ส่วนใดๆ ของเขา เขาต้องเพิ่มอีกหนึ่งในห้าของทศางค์นั้น 32และทศางค์ที่มาจากฝูงโค หรือฝูงแพะแกะ คือสัตว์หนึ่งในสิบตัวที่ถูกนับด้วยไม้เท้าของผู้เลี้ยง เป็นสัตว์บริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ 33อย่าให้คิดว่าดีหรือไม่ดีและอย่าให้เขาสับเปลี่ยน ถ้าเขาสับเปลี่ยน ทั้งตัวที่นำมาเปลี่ยนและตัวที่ถูกเปลี่ยนจะเป็นของบริสุทธิ์ไถ่ไม่ได้”
34ข้อเหล่านี้เป็นพระบัญญัติที่พระยาห์เวห์ทรงบัญญัติไว้กับโมเสสสำหรับคนอิสราเอลบนภูเขาซีนาย
อรรถาธิบาย
พระพรแห่งขอบเขต
พระเจ้าทรงรักคุณ พระองค์ไม่ต้องการให้คุณเผชิญกับความเจ็บปวดและทำให้ชีวิตของคุณและชีวิตของคนอื่นยุ่งเหยิง นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ทรงประทานคู่มือการใช้งานแก่คุณและเตือนคุณถึงอันตรายของการใช้ชีวิต นอกขอบเขตแห่งรักของพระองค์
ข้อสุดท้ายในพระธรรมเลวีนิติสรุปว่าหนังสือทั้งเล่มมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ‘ข้อเหล่านี้เป็นพระบัญญัติที่ พระยาห์เวห์ทรงบัญญัติไว้กับโมเสสสำหรับคนอิสราเอลบนภูเขาซีนาย' (27:34, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ขอบเขตของพระองค์มีไว้เพื่อนำมาซึ่งพระพร
บทความของวันนี้อธิบายถึงผลร้ายเมื่อคนของพระเจ้า 'ไม่เชื่อฟังเรา (พระเจ้า) และไม่ทำตามพระบัญญัติ ทั้งหมดเหล่านี้’ (26:14) ‘ถ้าเจ้าเบื่อหน่ายกฎเกณฑ์ของเราและใจของเจ้าเกลียดชังกฎหมายของเรา จึงไม่ทำตามบัญญัติทั้งสิ้นของเรา แต่ทำลายพันธสัญญาของเรา แล้วเราจะทำดังนี้แก่เจ้า…’ (ข้อ 15)
เราเห็นโลกที่สับสนวุ่นวายซึ่งเป็นผลมาจาก ‘ความเห่อเหิม’ (ข้อ 19) ความสัมพันธ์กับพระเจ้าขาดสะบั้น คำอธิษฐานไม่ได้รับคำตอบ พระเจ้าตรัสว่า ‘เราจะ...ทำให้ฟ้าสวรรค์ของเจ้าเหมือนเหล็ก’ (ข้อ 19) การไม่เชื่อฟังกำลังทำให้หมดเรี่ยวแรง ‘เจ้าทั้งหลายจะเปลืองกำลังเสียเปล่า ๆ’ (ข้อ 20) ไม่ว่าคุณจะ ประสบความสำเร็จทางด้านวัตถุ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พอใจ: ’พวกเจ้าจะกินแต่จะไม่อิ่ม’ (ข้อ 26ข) สิ่งเหล่านี้ถูก อธิบายตามตัวอักษรว่า ‘คำสาปแช่งของการไม่เชื่อฟัง’
พระเจ้าประทานโอกาสที่เป็นไปได้ในการกลับใจ พระองค์ทรงวางอุปสรรคทั้งปวงขวางทางเรา เพื่อนำให้เราหันกลับมาหาพระองค์ (ข้อ 18,21,23,27) ด้วยความสัตย์ซื่อของพระองค์ และแม้จะมีการปฏิเสธอย่างต่อเนื่องแต่ พระเจ้าก็พร้อมที่จะต้อนรับเรากลับมาเสมอ หากเราสารภาพและถ่อมตัวลง (ข้อ 40–42)
ทั้งหมดนี้ชี้ไปที่พระเยซู สิ่งที่น่าเศร้าเกี่ยวกับพระบัญญัติเหล่านี้ คือ ไม่มีใครสามารถรักษามันไว้ได้ เป็นที่ชัดเจนในข้อพระคำเหล่านี้ว่าพระเจ้ารู้ว่าผู้คนจะละเมิดพระคำเหล่านั้น และนำคำสาปแช่งมาสู่ตัวพวกเขาเอง แต่นั่น ไม่ใช่จุดจบของเรื่องทั้งหมด พระเจ้าทรงสัญญาว่าถึงตอนนั้นพระองค์จะทรงทำหน้าที่ช่วยกู้และไถ่ประชากร ของพระองค์ (ข้อ 42–45) ในที่สุดพระเจ้าก็ทรงกระทำเช่นนี้โดยยอมรับคำแช่งสาปทั้งหมดไว้กับตัวพระองค์ เอง
เมื่อเรามองเบื้องหลังทั้งหมดนี้เราจะเข้าใจว่าไม้กางเขนนั้นน่าอัศจรรย์เพียงใดและการที่พระเยซูทรงถูกสาปแช่งเพื่อเราโดยพระองค์เองนั้นมากเพียงใด และพระพรอันพิเศษของการถูกชำระให้ชอบธรรมด้วยความเชื่อและได้พระวิญญาณตามพระสัญญา (กาลาเทีย 3:10–14)
พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงเราเมื่อพระองค์ทรงจารึกขอบเขตของพระองค์ลงในหัวใจของเรา ดังที่อาจารย์เปาโลกล่าวว่า ‘จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แล้วท่านจะไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง’ (กาลาเทีย 5:16) พระวิญญาณของพระเจ้าก่อให้เกิดผลแห่ง ‘ความรัก ความยินดี สันติสุข’ และอื่น ๆ อีกมาก มายในตัวคุณ (ข้อ 22)
ขอบเขตถูกประทานให้ด้วยความรัก พระเยซูสรุปพระบัญญัติไว้ว่า ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่าน...และ... รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ (มัทธิว 22:37–40) ‘เรารักก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน’ (1 ยอห์น 4:19) โดยความรักพระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อคุณและตอนนี้พระองค์ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่คุณ เพื่อให้ คุณปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์โดยดำเนินชีวิตบนความรัก
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ลูกา 1:13
‘แต่ทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวแก่ท่านว่า... “เพราะพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว”’
เศคาริยาห์อธิษฐานวิงวอนขอมีบุตรมานานหลายสิบปีและคงต้องใช้เวลานานนับตั้งแต่ที่ละทิ้งคำอธิษฐานนั้น สิ่งนี้หนุนใจได้มากทีเดียว พระเจ้าทรงสดับฟังแม้ว่าพระองค์ดูเหมือนจะไม่ตอบคำอธิษฐานเลยก็ตาม เวลาของพระเจ้านั้นเหมาะสมสำหรับการมาถึงของยอห์นบนโลก เราไม่ได้เห็นภาพที่ใหญ่กว่าเสมอไป
ข้อพระคำประจำวัน
ลูกา 1:13
‘...เพราะพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)