วัน 63

ชื่นชมยินดีไปกับชีวิตบนความโปรดปรานได้อย่างไร

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 30:1-7
พันธสัญญาใหม่ มาระโก 12:13-27
พันธสัญญาเดิม เลวีนิติ 11:1-12-8

เกริ่นนำ

ตอนผมอยู่ที่มหาวิทยาลัยผมได้บรรยายในหัวข้อ ‘คุณจะอยู่ที่ไหนในอีกสิบปี?’ มีจุดประสงค์เพื่อหนุนใจให้เราที่จะต้องบากบั่นในความเชื่อ ถึงแม้จะมีความท้าทายมากมายในชีวิตที่จะเกิดขึ้นหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ทั้งหมดเท่าที่ผมจำได้ในความคิดตอนนั้น ‘สิบปี! ช่างเป็นเวลาที่ดูห่างไกล’ ที่ผมไม่สามารถจะจินตนาการอะไรได้เลย

ตอนนี้ ในทางตรงกันข้ามผมมองย้อนกลับไปในชีวิตของผม เมื่อสิบปีที่แล้วดูเหมือนมันเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน ชีวิตติดปีกบินไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ตอนนี้ผมเข้าใจถึงสติปัญญาของผู้คนที่คอยหนุนใจเราตั้งแต่ตอน ต้น ๆ เพื่อให้เรามีมุมมองที่ยาวไกล

เราอยู่ในสังคมที่นิยมความพึงพอใจแบบปัจจุบันทันด่วน เช่น อาหารสำเร็จรูป ข้อความโต้ตอบแบบทันที เงินสดทันใจ สินเชื่ออนุมัติไว ครีมสีแทนเทียมเพื่อเปลี่ยนสีผิว รางวัลจากการเสี่ยงโชค เสี่ยงทาย ความคิด ชั่วครู่ชั่วคราว เช่นนี้ล้วนเป็นอันตรายอย่างมาก เนื้อหาวันนี้เตือนเราว่าพระเจ้าทรงเป็น ‘พระเจ้าเนืองนิตย์’ (อิสยาห์ 40:28) พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ผ่านเลนส์มุมกว้าง พระองค์ทรงมองการณ์ไกลและทรงอยากให้คุณมีความสุขตลอดชีวิต (สดุดี 30:5)

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 30:1-7

คำขอบพระคุณพระเจ้า เพราะพ้นจากโรคร้าย

เพลงสดุดีของดาวิด บทเพลงในพิธีถวายพระวิหาร

1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จะยกย่องพระองค์
 เพราะพระองค์ทรงดึงข้าพระองค์ขึ้นมา
 และมิได้ทรงให้ศัตรูของข้าพระองค์ยินดีเพราะข้าพระองค์
2ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้ทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์
 และพระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้หาย
3ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ขึ้นมาจากแดนคนตาย
 ทรงให้ข้าพระองค์มีชีวิต จึงไม่ต้องลงไปยังหลุมมรณา
4ท่านผู้จงรักภักดีต่อพระยาห์เวห์เอ๋ย จงร้องเพลงสดุดีพระองค์
 ยกย่องพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์
5เพราะความกริ้วของพระองค์นั้นเป็นแต่ชั่วขณะหนึ่ง
 แต่ความโปรดปรานของพระองค์นั้นตลอดชีวิต
การร้องไห้อาจจะคงอยู่สักคืนหนึ่ง
 แต่ความยินดีจะมาเวลาเช้า
6ส่วนข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดในความเจริญรุ่งเรืองของข้าพระองค์ว่า
 “ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหวเลย”
7ข้าแต่พระยาห์เวห์ โดยความโปรดปรานของพระองค์
 พระองค์ทรงสถาปนาข้าพระองค์ไว้อย่างภูเขาแข็งแกร่ง
พอพระองค์ซ่อนพระพักตร์
 ข้าพระองค์ก็ใจเสีย

อรรถาธิบาย

มุมมองชีวิตที่ยาวไกล

คุณกำลังผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากหรือไม่? คุณสงสัยว่ามันจะคงอยู่ตลอดไปหรือไม่?

‘ความโปรดปรานของพระองค์นั้นตลอดชีวิต’ (ข้อ 5) เมื่อดาวิดมองย้อนกลับไปในชีวิตของเขา เขาเต็มไปด้วยการขอบคุณ และ ‘ยกย่องพระนาม’ (ข้อ 4) ใช่ เขาเคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาแล้ว แต่พระเจ้า ‘ทรงดึง (เขา) ขึ้นมาและมิได้ทรงให้ศัตรู (ของเขา) ยินดีเพราะ (เขา)’ (ข้อ 1) เมื่อเขาร้องทูลขอความช่วยเหลือจาก พระเจ้าพระองค์ทรง ‘รักษา’ เขาให้หายดี (ข้อ 2)

‘โอ พระเจ้า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทูลขอความช่วยเหลือ
และพระองค์ทรงรวบรวมข้าพระองค์ไว้ด้วยกัน
โอ พระเจ้า พระองค์ทรงดึงข้าพระองค์ออกจากหลุมมรณา
ทรงให้ข้าพระองค์มีชีวิตอีกครั้ง
ในขณะที่ข้าพระองค์สิ้นเนื้อประดาตัว’ (ข้อ 2-3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

มีหลายช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงกริ้วดาวิด (ข้อ 5) และพระเจ้าซ่อนพระพักตร์ของพระองค์ไว้ (ข้อ7ข) (หลังจากเหตุการณ์ที่ดาวิดได้ล่วงประเวณีและฆาตกรรม) ถึงกระนั้นเมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิตของเขา เขาก็สามารถเห็นได้ถึงช่วงเวลาแห่งการทดลองและการทดสอบนั้นอยู่ในบริบทของความโปรดปรานของพระเจ้าตลอดชีวิตของเขา

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ขอบคุณที่พระพิโรธของพระองค์นั้นเป็นแต่ชั่วขณะหนึ่ง แต่ความโปรดปรานของพระองค์นั้นตลอดชีวิต ขอบคุณที่พระองค์ทรงเป็นเหมือนเดิมวานนี้ วันนี้และตลอดไปและข้าพระองค์ขอวางใจในพระองค์
พันธสัญญาใหม่

มาระโก 12:13-27

การส่งส่วยให้กับซีซาร์

 13พวกเขาใช้บางคนในพวกฟาริสีและพวกเฮโรดไปเฝ้าพระองค์เพื่อจะคอยจับผิดถ้อยคำของพระองค์ 14เมื่อพวกเขามาถึงแล้ว จึงทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เราทราบว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์และไม่ชอบเอาใจใคร และท่านไม่เห็นแก่หน้าใครเลย แต่สั่งสอนทางของพระเจ้าตามความจริง การส่งส่วยให้ซีซาร์นั้นสมควรหรือไม่? 15เราควรจะส่งหรือไม่ส่งดี?” แต่พระองค์ทรงทราบอุบายของพวกเขาจึงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายมาจับผิดเราทำไม? จงเอาเดนาริอันเหรียญหนึ่งมาให้เราดู” 16พวกเขาก็เอามาให้ พระองค์จึงตรัสถามว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?” พวกเขาทูลตอบพระองค์ว่า “ของซีซาร์” 17พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ของของซีซาร์จงถวายแด่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า” พวกเขาก็ประหลาดใจในพระองค์อย่างยิ่ง

คำถามเรื่องการเป็นขึ้นจากตาย

 18มีพวกสะดูสีบางคนมาเฝ้าพระองค์ พวกนี้สอนว่าการเป็นขึ้นจากตายนั้นไม่มี พวกเขาทูลถามพระองค์ว่า 19“ท่านอาจารย์ โมเสสเขียนสั่งพวกเราว่า ‘ถ้าชายคนใดตาย และภรรยายังอยู่ แต่ไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายรับพี่สะใภ้เป็นภรรยา เพื่อมีบุตรสืบตระกูลให้พี่ชาย’ 20มีพี่น้องผู้ชายอยู่เจ็ดคน พี่ชายคนแรกมีภรรยาแล้วตายโดยไม่มีบุตร 21น้องคนที่สองจึงรับหญิงนั้นมาเป็นภรรยา แล้วก็ตายโดยยังไม่มีบุตร และน้องคนที่สามก็รับไว้เหมือนกัน แต่ก็ตายโดยไม่มีบุตร 22ไม่มีพี่น้องสักคนในเจ็ดคนนี้ที่มีบุตร ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายด้วย 23เพราะฉะนั้นในวันที่เป็นขึ้นจากตาย หญิงคนนั้นจะเป็นภรรยาของใคร? เพราะนางเป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดแล้ว”
 24พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “นี่ไม่ใช่หรือที่แสดงให้เห็นว่าพวกท่านผิดแล้ว? เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า 25ตอนที่มนุษย์เป็นขึ้นจากตายนั้น จะไม่มีการสมรสหรือยกให้เป็นสามีภรรยากัน แต่จะเป็นเหมือนทูตในฟ้าสวรรค์ 26ส่วนเรื่องคนที่ตายและถูกทำให้เป็นขึ้นอีกนั้น ท่านทั้งหลายไม่เคยอ่านคัมภีร์ของโมเสสเรื่องพุ่มไม้หรือ? ที่พระเจ้าตรัสไว้กับโมเสสว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’ 27พระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น ท่านทั้งหลายเข้าใจผิดมากทีเดียว”

อรรถาธิบาย

มุมมองอันยาวไกลของนิรันดร์กาล

เกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์ เมื่อพวกเขาตาย? ความตายเป็นจุดจบจริงหรือ? คุณอาจเคยสูญเสียสมาชิกในครอบครัว หรือเพื่อนสนิทและคุณสงสัยว่าจะได้เจอพวกเขาอีกหรือไม่ พวกเขาอยู่ที่ไหนตอนนี้? พวกเขาจากไปตลอดกาลหรือไม่? หรือพวกเขาแค่หลับไป? หรือพวกเขายังมีชีวิตอยู่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง?

ฝ่ายตรงข้ามของพระเยซูพยายามจับผิดถ้อยคำของพระองค์ (ข้อ 13)

ประการแรกพวกเขาพยายามจับผิดเรื่องเงินส่วย อย่างไรก็ตามถึงแม้พวกเขาจะรับรู้ว่าพระเยซูเป็น ‘คนซื่อ สัตย์’ พวกเขารู้ว่าพระเยซูพูดความจริงไม่เห็นแก่หน้าใครเลย (ข้อ 14) พระเยซูทรงหลีกเลี่ยงกับดักและให้คำตอบที่น่าประหลาดใจ (ข้อ 15–17) (ดูพระคัมภีร์ใน 1 ปี วันที่ 34 )

ต่อไปพวกเขาถามพระเยซูเป็นคำถามเชิงอุบายเพื่อทดสอบพระองค์เกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย มีการถกเถียงกันภายในความเชื่อยิวระหว่างพวกฟาริสีกับสะดูสีว่ามีชีวิตหลังความตายหรือไม่ [วิธีที่ผมจำความแตกต่างได้ก็ คือพวกฟาริสี (Pharisees = ‘far I see’) เชื่อเรื่องการฟื้นคืนจากความตาย ในขณะที่พวกสะดูสี (Sadducees = ‘sad you see’) ไม่เชื่อ]

พระเยซูทรงชี้ให้เห็นว่าพวกสะดูสีคิดผิดด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรกพวกเขา ‘ไม่รู้พระคัมภีร์’ และประการที่สองพวกเขาไม่รู้ถึง ‘ฤทธิ์เดชของพระเจ้า’ (ข้อ 24)

1.\tพระคัมภีร์

พระเยซูทรงยืนยันถึงความจริงแท้ในการฟื้นคืนชีวิตของคนตาย เนื่องจากเหล่าสะดูสีเชื่อในสิทธิอำนาจของเบญจบรรณ (หนังสือห้าเล่มแรกในพระคัมภีร์) เท่านั้น พระเยซูจึงใช้ข้อโต้แย้งกับพวกเขาโดยยกคำพูดจากพระธรรมอพยพ 3:6 ‘ส่วนเรื่องคนที่ตายและถูกทำให้เป็นขึ้นอีกนั้น ท่านทั้งหลายไม่เคยอ่านคัมภีร์ของโมเสสเรื่องพุ่มไม้หรือ? ที่พระเจ้าตรัสไว้กับโมเสสว่า “เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ”? พระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น’ (มาระโก 12:26–27) กล่าวอีกนัยหนึ่ง คืออับราฮัม อิสอัค และยาโคบยังมีชีวิตอยู่!

2.\tฤทธิ์เดชของพระเจ้า

ในพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 15 มีข้อโต้แย้งที่สนับสนุนและลึกซึ้งที่สุดของภาคพันธสัญญาใหม่ในเรื่องการฟื้นคืนจากความตาย อาจารย์เปาโลเน้นย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าถึงฤทธิ์เดชของพระเจ้า ซึ่งสะดูสีปฏิเสธ เปาโลเขียนว่าสิ่งที่ถูกหว่านลง ‘อ่อนกำลัง’ สิ่งที่เป็นขึ้นมานั้น ‘มีพลัง’ (1 โครินธ์ 15:43) พระเจ้า ‘ผู้ประทานชัยชนะแก่เราผ่านโดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา’ (ข้อ 56–57)

ความจริงที่ยอดเยี่ยมก็คือฤทธิ์เดชแบบเดียวกันที่ทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายกำลังทำกิจภายในคุณ ณ เวลานี้อันจะนำคุณให้มีลักษณะเหมือนพระคริสต์มากขึ้น (ดูเอเฟซัส 1:19-20) และจะนำร่างกายของคุณให้เป็นกายใหม่ในการทรงสร้างใหม่ในอนาคตด้วย

ดังนั้นทุกคนที่ตายต่อพระคริสต์ยังคงมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ คุณจะพบพวกเขาอีกครั้ง ถึงแม้การแยกจากกันจะยากเพียงใด แต่การต่อสู้ดิ้นรนทั้งหมดของชีวิตนี้ต้องมองในแง่ของความเป็นนิรันดร์ พระเจ้าทรงมองการณ์ไกล

คำอธิษฐาน

ขอบคุณพระเจ้าที่ชีวิตนี้ไม่ใช่จุดจบ ขอบคุณที่การตายจะเป็นขึ้นมาใหม่ ซึ่งช่วยให้ข้าพระองค์เห็นการต่อสู้ ดิ้นรนทั้งหมดของชีวิตอยู่ในแสงสว่างแห่งนิรันดร์กาล
พันธสัญญาเดิม

เลวีนิติ 11:1-12-8

เนื้อสัตว์ที่สะอาดและเนื้อสัตว์ที่เป็นมลทิน

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า 2“จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ที่ถูกแยกจากบรรดาสัตว์อื่นที่อยู่ในโลก เจ้าทั้งหลายรับประทานได้คือ 3บรรดาสัตว์ที่แยกกีบ มีกีบผ่า และเคี้ยวเอื้องด้วย เจ้ารับประทานได้ 4อย่างไรก็ตาม ห้ามรับประทานสัตว์ต่อไปนี้ที่เคี้ยวเอื้องหรือแยกกีบอย่างเดียวคือ อูฐ เพราะมันเคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ เป็นสัตว์ที่เป็นมลทินสำหรับเจ้า 5ตัวกระจงผา เพราะว่ามันเคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ เป็นสัตว์ที่เป็นมลทินสำหรับเจ้า 6กระต่าย เพราะว่ามันเคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ เป็นสัตว์ที่เป็นมลทินสำหรับเจ้า 7หมู เพราะมันเป็นสัตว์แยกกีบและมีกีบผ่าแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์ที่เป็นมลทินสำหรับเจ้า 8ห้ามรับประทานเนื้อของสัตว์เหล่านี้ และห้ามแตะต้องซากของมัน มันเป็นสิ่งที่เป็นมลทินสำหรับเจ้า
 9“สัตว์เหล่านี้ที่ถูกแยกจากสัตว์ที่อยู่ในน้ำทั้งหมด เจ้ารับประทานได้ คือ ทุกสิ่งซึ่งอยู่ในน้ำซึ่งมีครีบและมีเกล็ด ไม่ว่าจะอยู่ในทะเลหรือในแม่น้ำก็ตาม เจ้ารับประทานได้ 10แต่ทุกสิ่งที่อยู่ในน้ำทะเลหรือแม่น้ำ ซึ่งไม่มีครีบและเกล็ด จะเป็นสัตว์ที่เคลื่อนที่ติดพื้น หรือสัตว์อื่นที่มีชีวิตในน้ำ เป็นสัตว์ที่พึงรังเกียจสำหรับเจ้า 11ให้คงเป็นสัตว์ที่พึงรังเกียจสำหรับเจ้า ห้ามรับประทานเนื้อของมัน และจงรังเกียจซากของมัน 12ทุกสิ่งที่อยู่ในน้ำซึ่งไม่มีครีบและเกล็ด เป็นสิ่งพึงรังเกียจสำหรับเจ้า
 13“ต่อไปนี้เป็นนกซึ่งเจ้าพึงรังเกียจ ห้ามรับประทาน มันเป็นสัตว์ที่พึงรังเกียจ คือ นกอินทรี นกแร้ง นกออก 14นกเหยี่ยวหางยาว เหยี่ยวดำตามชนิดของมัน 15นกกาทั้งหมดตามชนิดของมัน 16นกกระจอกเทศ นกเค้าโมง นกนางนวล เหยี่ยวนกเขาตามชนิดของมัน 17นกเค้าแมวเล็ก นกอ้ายงั่ว นกทึดทือ 18นกอีโก้ง นกกระทุง แร้งเล็ก 19นกกระสาดำ นกกระสาตามชนิดของมัน นกหัวขวาน และค้างคาว
 20“แมลงมีปีกซึ่งคลานสี่ขา เป็นสัตว์ที่พึงรังเกียจสำหรับเจ้า 21แต่ในบรรดาแมลงมีปีกที่คลานสี่ขานี้ เจ้าจะรับประทานจำพวกที่มีขาพับใช้กระโดดไปบนดินได้ 22ในจำพวกแมลงต่อไปนี้เจ้ารับประทานได้ ตั๊กแตนปาทังก้าตามชนิดของมัน จิ้งหรีดตามชนิดของมัน จักจั่นตามชนิดของมัน และตั๊กแตนตามชนิดของมัน 23แต่แมลงมีปีกอย่างอื่นซึ่งมีสี่ขา เป็นสัตว์ที่พึงรังเกียจสำหรับเจ้า

สัตว์ที่ทำให้เป็นมลทิน

 24“สิ่งต่อไปนี้ทำให้เจ้าเป็นมลทินได้ คือคนที่แตะต้องซากของมันจะเป็นมลทินไปถึงเวลาเย็น 25คนที่ถือซากสัตว์ส่วนใดๆ ไป ต้องซักเสื้อผ้าของตน และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 26สัตว์แยกกีบแต่ไม่มีกีบผ่าไม่เคี้ยวเอื้อง เป็นสัตว์ที่เป็นมลทินสำหรับเจ้า คนที่แตะต้องสัตว์เหล่านี้จะเป็นมลทิน 27ในบรรดาสัตว์สี่เท้าทุกอย่างซึ่งเดินด้วยอุ้งเท้า เป็นสัตว์ที่เป็นมลทินสำหรับเจ้า ผู้ที่แตะต้องซากสัตว์นี้จะต้องเป็นมลทินไปถึงเวลาเย็น 28ผู้ที่แบกซากมันไปจะต้องซักเสื้อผ้าของตน และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น สิ่งเหล่านี้เป็นมลทินสำหรับเจ้า
 29“บรรดาสัตว์เล็กที่เคลื่อนไปเป็นฝูงๆ บนแผ่นดินชนิดต่อไปนี้ เป็นสัตว์ที่เป็นมลทินสำหรับเจ้า คือ อีเห็น หนู ตัวเงินตัวทอง ตามชนิดของมัน 30ตุ๊กแก ตะกวด แย้ จิ้งเหลน และกิ้งก่า 31บรรดาสัตว์ที่เคลื่อนที่ติดพื้นดินเหล่านี้เป็นมลทินสำหรับเจ้า คนที่แตะต้องเมื่อมันตายแล้ว คนนั้นจะเป็นมลทินไปถึงเวลาเย็น 32และเมื่อมันตายตกทับสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นมลทิน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไม้ หรือเสื้อผ้า หรือหนังสัตว์ หรือกระสอบ หรือภาชนะใดๆ ที่ใช้เพื่อประโยชน์อย่างใด จะต้องแช่น้ำ และจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น หลังจากนั้นก็นับว่าสะอาดได้ 33และถ้ามันตกลงไปในภาชนะดิน สิ่งที่อยู่ในภาชนะนั้นจะเป็นมลทิน จงทุบภาชนะนั้นเสีย 34อาหารที่เคยนับว่าสะอาด แต่ถูกน้ำจากภาชนะนั้น ก็เป็นมลทิน และน้ำดื่มทั้งสิ้นจากภาชนะอย่างนี้จะเป็นมลทิน 35ถ้าส่วนของซากสัตว์ตกใส่สิ่งใดๆ สิ่งนั้นๆ ก็เป็นมลทิน ไม่ว่าจะเป็นเตาอบหรือฐานเตา ต้องทุบเสีย สิ่งเหล่านี้เป็นมลทิน และเป็นของที่เป็นมลทินสำหรับเจ้า 36อย่างไรก็ตาม น้ำพุหรือน้ำในแอ่งเก็บน้ำเป็นของสะอาด แต่สิ่งใดที่แตะต้องซากสัตว์ที่ตกในน้ำนั้นจะเป็นมลทิน 37ถ้าส่วนใดของซากสัตว์ตกใส่เมล็ดพืชที่ใช้หว่าน เมล็ดพืชนั้นนับว่าสะอาด 38ถ้าเทน้ำใส่เมล็ดพืชนั้น แล้วซากสัตว์ส่วนใดตกใส่เมล็ดพืชนั้น ก็เป็นมลทินสำหรับเจ้า
 39“ถ้าสัตว์ซึ่งเจ้ารับประทานได้นั้นตายเอง คนที่แตะต้องซากสัตว์นั้นจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 40และคนที่รับประทานซากนั้นจะต้องซักเสื้อผ้าของเขาเสีย และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น คนที่แบกซากนั้นไปก็ต้องซักเสื้อผ้าของตน และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
 41“บรรดาสัตว์ที่เคลื่อนที่ติดพื้นดินเป็นสิ่งพึงรังเกียจ ห้ามรับประทาน 42สัตว์ชนิดใดๆ ที่เลื้อยไปด้วยท้อง หรือที่เดินสี่ขา หรือที่มีหลายขาคือ บรรดาสัตว์ที่เคลื่อนที่ติดพื้นดิน ห้ามเจ้ารับประทาน เพราะเป็นสิ่งพึงรังเกียจสำหรับเจ้า 43อย่าทำให้ตัวเองเป็นที่พึงรังเกียจด้วยบรรดาสัตว์เล็กที่เคลื่อนไปเป็นฝูงๆ บนแผ่นดิน ห้ามทำตัวให้เป็นมลทินด้วยสิ่งเหล่านี้ เกรงว่าเจ้าจะเป็นมลทินไปด้วย 44เพราะเราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า จงชำระตัวให้บริสุทธิ์เพื่อเจ้าจะบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์ เจ้าอย่าทำตัวให้เป็นมลทินด้วยบรรดาสัตว์เล็กที่เคลื่อนไปเป็นฝูงๆ บนแผ่นดิน 45เพราะเราคือยาห์เวห์ผู้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเป็นพระเจ้าของเจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์”
 46เหล่านี้เป็นกฎกล่าวถึงเรื่องสัตว์และนก และสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวไปมาในน้ำ และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน 47เพื่อให้แยกแยะระหว่างสิ่งที่เป็นมลทินและสิ่งที่สะอาด และระหว่างสิ่งมีชีวิตที่รับประทานได้ และสิ่งมีชีวิตที่รับประทานไม่ได้

เลวีนิติ 12

การชำระผู้หญิงหลังคลอดบุตร

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2“จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ถ้าหญิงคนใดตั้งครรภ์และคลอดบุตรเป็นชาย นางต้องเป็นมลทินไปเจ็ดวัน นางจะเป็นมลทินอย่างเดียวกับเวลาที่เป็นมลทินเมื่อมีประจำเดือน 3ในวันที่แปดให้ตัดหนังปลายองคชาตของเด็กนั้น เพื่อเข้าสุหนัต 4ให้นางคอยอยู่อีกสามสิบสามวันเพื่อชำระโลหิตของนาง ห้ามนางแตะต้องของบริสุทธิ์ใดๆ หรือเข้าไปในสถานนมัสการ จนกว่าจะครบวันชำระของนาง 5แต่ถ้านางคลอดบุตรเป็นหญิง นางจะเป็นมลทินอย่างเดียวกับเมื่อมีประจำเดือนไปสองสัปดาห์ และนางจะต้องคอยอยู่หกสิบหกวัน เพื่อชำระโลหิตของนาง
 6“และเมื่อวันชำระของนางครบแล้ว ไม่ว่าเป็นกำหนดของบุตรชายหรือบุตรหญิง ให้นางไปหาปุโรหิตที่ประตูเต็นท์นัดพบ นำลูกแกะอายุหนึ่งปีตัวหนึ่งไปเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และนกพิราบตัวหนึ่งหรือนกเขาตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป 7ให้ปุโรหิตนำถวายแด่พระยาห์เวห์ และลบมลทินให้นาง แล้วนางจะสะอาดในเรื่องโลหิตตกของนาง นี่เป็นกฎการคลอดบุตร ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง 8และถ้านางไม่สามารถถวายลูกแกะตัวหนึ่งได้ ก็ให้นางนำนกเขาสองตัวหรือนกพิราบสองตัว ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และให้ปุโรหิตลบมลทินให้นาง แล้วนางจะสะอาด”

อรรถาธิบาย

มุมมองที่ยาวไกลของประวัติศาสตร์

อะไรคือจุดสำคัญของกฎเกณฑ์เหล่านี้ในพระธรรมเลวีนิติ? ทำไมถึงมีอยู่ในพระคัมภีร์?

เช่นเคยเราเข้าใจพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมในแง่มุมของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านมุมมองของพระเยซู พระเจ้าทรงมีแผนการระยะยาว พระองค์ทรงกำลังเตรียมโลกสำหรับการเสด็จมาของพระคริสต์

พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่บอกเราว่ากฎเกณฑ์ที่ดูแปลกประหลาดที่เราอ่านในพระธรรมวันนี้เป็นเพียง ‘เงาของสิ่งที่กำลังจะมาในภายหลัง แต่ตัวจริงคือพระคริสต์’ (โคโลสี 2:17) จุดประสงค์ของกฎเหล่านี้คือเพื่อสอนเรื่องความบริสุทธิ์ ‘เพราะเราคือพระยาเวห์พระเจ้าของเจ้า จงชำระตัวให้บริสุทธิ์เพื่อเจ้าจะบริสุทธิ์เพราะเราบริสุทธิ์’ (เลวีนิติ 11:44)

เปโตรกล่าวถึงข้อนี้ในจดหมายฉบับแรกเพื่อให้กำลังใจในการดำเนินชีวิตด้วยความบริสุทธิ์ท่ามกลางคริสเตียน ยุคแรก เขาเขียนว่า ‘เช่นเดียวกับบุตรที่เชื่อฟัง อย่าประพฤติตามกิเลสตัณหา อันเกิดจากความโง่เขลาของพวกท่านในอดีต แต่พระองค์ผู้ทรงเรียกพวกท่านนั้นบริสุทธิ์อย่างไร พวกท่านเองก็จงเป็นคนบริสุทธิ์ในชีวิตทุกด้านเหล่านั้น เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า “พวกท่านจงเป็นคนบริสุทธิ์เพราะเราเองบริสุทธิ์”’ (1 เปโตร 1:14–16)

กระนั้นพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ยังบอกเราด้วยว่าตอนนี้พระเจ้าทำให้เราบริสุทธิ์โดยทางพระคริสต์ ดังนั้นอัครสาวกเปาโลจึงกล่าวว่า ‘อย่าให้ใครพิพากษาท่านทั้งหลายในเรื่องการกิน การดื่ม’ (โคโลสี 2:16) ตอนนี้กฎเกณฑ์ทั้งหมดถูกแทนที่ด้วยการเสด็จมาของพระเยซู

กฎหลายข้ออาจมีขึ้นด้วยเหตุผลเชิงปฏิบัติ ตัวอย่างเช่นการกินหมู (ที่เป็นพาหะของโรค) โดยส่วนใหญ่อาจถูกห้ามเพราะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ในทำนองเดียวกันกับกฎข้อบังคับของการแยกสัตว์ที่เป็นมลทินที่เข้มงวด เพื่อคำนึงถึงความจำเป็นในทางปฏิบัติ พระเจ้าต้องการให้คุณกินอย่างฉลาดและดีต่อสุขภาพ!

การชำระตัวให้บริสุทธิ์หลังคลอดบุตรไม่เกี่ยวกับความไม่สะอาดทางศีลธรรม แต่คือการเป็นมลทิน (เลวีนิติ 12: 2) การลบมลทินนั้นมาจาก ‘โลหิตตก’ (ข้อ 7) ไม่ใช่จากความผิดใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสหรือการคลอดบุตร กฎเหล่านี้อาจเป็นพรอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตร ระยะเวลาที่ยาวนานขึ้นของการแยกตัวออกจากสังคมในวงกว้างจะช่วยป้องกันไม่ให้เธอต้องกลับไปใช้ชีวิตปกติอย่างเร่งรีบเร็วเกิน ไปหลังคลอดบุตร

พระธรรมตอนนี้ยังให้ร่องรอยเกี่ยวกับภูมิหลังของพระเยซู แสดงให้เห็นถึงความยากจนที่ติดตัวพระองค์มา มารีย์ไม่สามารถ ‘ถวายลูกแกะ’ ได้ (ข้อ 8) เมื่อมารีย์และโยเซฟไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อ ‘ทำพิธีชำระตัวตามธรรมบัญญัติของโมเสส’ พวกเขาจึงได้ถวาย ‘นกเขาคู่หนึ่ง หรือนกพิราบหนุ่มสองตัว’ (ข้อ 8; ลูกา 2: 22–24)

พระเจ้าทรงมีแผนการระยะยาวสำหรับการประสูติพระบุตรของพระองค์ภายใต้ธรรมบัญญัติเหล่านี้ พระเจ้าทรงกระทำกิจตลอดประวัติศาสตร์เพื่อเตรียมทางสำหรับพระเยซู พระเยซูทรงประสูติภายใต้ธรรมบัญญัติ พระองค์ทรงเติมเต็มธรรมบัญญัติและนำกฎเกณฑ์ทั้งหมดนี้ไปตรึงไว้บนไม้กางเขน พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายและวันหนึ่งพระองค์ทรงทำให้เป็นไปได้สำหรับเราที่จะฟื้นจากความตายและเป็นทายาทของพระเจ้าร่วมกับพระเยซู (กาลาเทีย 4:4–7)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์ไม่ได้อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติอีกต่อไป ขอบคุณที่ข้าพระองค์ได้รับฐานะเป็นลูกของพระองค์ และที่พระองค์ประทานพระวิญญาณแห่งพระบุตรคือพระเยซูเข้ามาในใจข้าพระองค์ ขอบคุณที่ข้าพระองค์จะได้ดำเนินชีวิตติดตามพระองค์ตลอดไป ขอทรงโปรดช่วยให้ข้าพระองค์ที่จะมีมุมมองที่ยาวไกลและชื่นชมยินดีไปกับชีวิตบนความโปรดปรานของพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สดุดี 30

‘ข้าพระองค์พูดในความเจริญรุ่งเรืองของข้าพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหวเลย”’ (ข้อ 6)

ฉันรับรู้ถึงความรู้สึกเมื่อความเชื่อกำลังเติบโตขึ้น ฉันรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะทำให้ความวางใจในพระเจ้าของฉันลดลงได้

อย่างไรก็ตามบางครั้งที่ต้องผ่านปัญหาความยากลำบากหรือความเจ็บป่วย ความเชื่อมั่นนั้นสันคลอน และรู้สึกราวกับว่าฉันใช้ชีวิตโดยลำพัง ‘พอพระองค์ซ่อนพระพักตร์ข้าพระองค์ก็ใจเสีย’ (ข้อ 7ข) จากนั้นฉันก็กลับไปร้องเรียกพระนามของพระเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ข้าพระองค์ได้ทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์และพระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้หาย’ (ข้อ 2)

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 30:2

‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้ทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์และพระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้หาย’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม