ใช้มัน หรือเสียมันไป
เกริ่นนำ
ไมร่า ฮินด์ลีย์ เป็นหนึ่งในฆาตกรที่โด่งดังที่สุดในศตวรรษที่ยี่สิบ อาชญากรรมของเธอน่ากลัวอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่กระนั้นกลับมีชายคนหนึ่งคอยไปเยี่ยมเธอในเรือนจำอยู่เป็นประจำ
ลอร์ด ลองฟอร์ด (1905-2001) เป็นบุคคลที่อาจจะทำอะไรสวนทางกับคนอื่นเพราะเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตไปเยี่ยมเยียนนักโทษรวมถึง ไมร่า ฮินด์ลีย์ ด้วย กระนั้นไม่มีใครสามารถสงสัยในความเมตตาสงสาร และความสัตย์ซื่อของเขาที่มีต่อพระเจ้า และต่อคนที่เขาไปเยี่ยมได้เลย
เมื่อเขาเสียชีวิตลง อดีตนักโทษหลายร้อยคนได้เข้าร่วมพิธีไว้อาลัย เพื่อกล่าวอำลาบุรุษผู้ซึ่งใช้ชีวิตต่อสู้เพื่อสังคมในเรือนจำนี้อย่างสัตย์ซื่อ
เขาได้ค้นพบแรงบันดาลใจจากพระวจนะของพระเยซูซึ่งปรากฏในพระธรรมวันนี้ ซึ่งในขณะที่จวนเจียนหมดลมหายใจ เขาได้ถามภรรยาว่า ‘คุณรู้ไหมว่าพระวจนะใดสำคัญที่สุด?’ และเขาได้ตอบคำถามของตนเองเป็นครั้งสุดท้าย โดยอ้างอิงจากพระวจนะของพระเยซูว่า ‘เมื่อเราอยู่ในคุก พวกท่านก็มาเยี่ยมเรา’ (มัทธิว 25:36)
ชีวิตไม่ใช่การแข่งขันที่คุณต้องเอาชนะตลอดเวลา ไม่ใช่การวิ่งแข่งเข้าเส้นชัย แต่ชีวิตคือสิทธิพิเศษ และโอกาส พระเจ้าทรงเชื่อมั่นในของประทานและความสามารถในตัวคุณ ซึ่งพระองค์ต้องการให้คุณใช้มัน พระองค์ทรงสัตย์ซื่อต่อเรา และปรารถนาให้เราสัตย์ซื่อต่อพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน
สดุดี 18:43-50
43พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากการทะเลาะวิวาทกับประชาชน
และทรงตั้งข้าพระองค์เป็นหัวหน้าของบรรดาประชาชาติ
ชนชาติที่ข้าพระองค์ไม่เคยรู้จักก็ได้ปรนนิบัติข้าพระองค์
44พอพวกเขาได้ยินถึงข้าพระองค์ เขาก็เชื่อฟัง
คนต่างด้าวได้มาหมอบราบต่อข้าพระองค์
45คนต่างด้าวนั้นเสียขวัญ
และตัวสั่นออกมาจากที่กำบังแข็งแกร่งของเขา
46พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่ และพระศิลาของข้าพระองค์เป็นที่ควรสรรเสริญ
พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์เป็นที่ยกย่อง
47คือพระเจ้าผู้ทรงแก้แค้นให้ข้าพระองค์
และทรงปราบปรามชนชาติทั้งหลายให้อยู่ภายใต้อำนาจของข้าพระองค์
48ผู้ทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากศัตรู
แน่ทีเดียว พระองค์ทรงยกข้าพระองค์ขึ้นเหนือบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นสู้ข้าพระองค์
พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากคนโหดร้าย
49เพราะฉะนั้น ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จึงยกย่องพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ
และร้องเพลงสดุดีพระนามของพระองค์
50พระองค์ประทานชัยชนะยิ่งใหญ่แก่กษัตริย์ของพระองค์
และทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้นั้น
คือดาวิดและพงศ์พันธุ์ของท่านเป็นนิตย์
อรรถาธิบาย
ความสัตย์ซื่อขององค์พระผู้เป็นเจ้า
‘จงมีเมตตา’ กล่าวโดยนักปรัชญาเพลโต ‘เพราะว่าทุกคนที่คุณพบอาจจะเผชิญการต่อสู้ที่โหดร้ายอยู่’ พระคัมภีร์ได้ให้เหตุผลที่หนักแน่นยิ่งกว่าที่เราจะต้องมีเมตตาต่อผู้นั้น นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงเมตตาเราเสมอ โดยความสัตย์ซื่อของพระองค์ พระองค์สำแดงให้เราเห็น ‘ความรักมั่นคง’ (ข้อ 50)
ดาวิดสามารถมองย้อนกลับไปในชีวิตของเขา และเห็นถึง ‘ความรักมั่นคง’ ของพระเจ้าที่มีต่อเขา และพงศ์พันธุ์ของเขาอย่างไร (‘พงศ์พันธุ์ของท่าน’, ข้อ 50) พระเจ้าทรงช่วยเขาให้พ้นจาก ‘การทะเลาะวิวาทกับประชาชน’รอบด้าน (ข้อ 43ก) และทรงตั้งข้าพระองค์เป็นหัวหน้าของบรรดาประชาชาติ (ข้อ 43ข)
พระองค์ประทาน ‘ชัยชนะยิ่งใหญ่’ แก่ดาวิด (ข้อ 50ก) และทรงช่วยกู้และยกเขาขึ้น (ข้อ 48) ดาวิดตอบสนองพระเจ้าด้วยการนมัสการ (‘ร้องเพลงสดุดีพระนามของพระองค์’, ข้อ 49ข) และขอบคุณพระเจ้าสำหรับความสัตย์ซื่อที่ทรงมีต่อ ‘ผู้ที่พระองค์ทรงเจิม’ (ข้อ 50ข)
คุณเองเป็นผู้ได้รับการ ‘เจิม’ (2 โครินธ์ 1:21–22, 1 ยอห์น 2:20) จากพระเจ้า พระองค์จะสำแดง ‘ความรักมั่นคง’ แก่คุณ (สดุดี 18:50) พระองค์ทรงมีพระเมตตาตลอดเวลา และถ้าคุณอยากเป็นเหมือนพระองค์ ให้เราพยายามสำแดงความเมตตากรุณาต่อผู้อื่นตลอดเวลา
คำอธิษฐาน
มัทธิว 25:14-46
อุปมาเรื่องเงินตะลันต์
14“เพราะว่าเหมือนอย่างชายคนหนึ่งที่กำลังจะออกเดินทาง เขาจึงเรียกบ่าวทั้งหลายของตนมา และฝากทรัพย์สิ่งของของตนกับพวกเขาไว้ 15คนหนึ่งท่านให้ห้าตะลันต์ คนหนึ่งสองตะลันต์ และอีกคนหนึ่งตะลันต์เดียว ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วท่านก็ไป 16คนที่ได้รับห้าตะลันต์ก็ไปทันที เอาเงินนั้นไปค้าขาย ได้กำไรอีกห้าตะลันต์ 17คนที่ได้รับสองตะลันต์ก็ได้กำไรอีกสองตะลันต์เหมือนกัน 18แต่คนที่ได้รับตะลันต์เดียวนั้นออกไปขุดหลุมและซ่อนเงินของนายไว้ 19หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน นายของบ่าวทั้งหลายก็มาคิดบัญชีกับพวกเขา 20คนที่ได้รับห้าตะลันต์ก็เอาเงินกำไรอีกห้าตะลันต์มาชี้แจงว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านมอบเงินห้าตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า นี่แน่ะ ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์’ 21นายจึงตอบว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของจำนวนมาก เจ้าจงร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด’ 22คนที่ได้รับสองตะลันต์มาชี้แจงด้วยว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านมอบเงินสองตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า นี่แน่ะ ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์’ 23นายจึงตอบว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของจำนวนมาก เจ้าจงร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด’ 24คนที่ได้รับตะลันต์เดียวก็มาชี้แจงด้วยว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าท่านเป็นคนใจตระหนี่ เกี่ยวผลในที่ที่ท่านไม่ได้หว่าน รวบรวมในที่ที่ท่านไม่ได้โปรย 25ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่านไปซ่อนไว้ใต้ดิน ดูซิ นี่เงินของท่าน’ 26นายจึงตอบว่า ‘ไอ้บ่าวชั่วและเกียจคร้าน เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเราเกี่ยวในที่ที่เราไม่ได้หว่าน รวบรวมในที่ที่เราไม่ได้โปรย 27เพราะฉะนั้นเจ้าควรเอาเงินของเราไปฝากกับนายธนาคาร เมื่อเรามาก็จะได้รับเงินทั้งดอกเบี้ยด้วย 28เพราะฉะนั้น จงเอาเงินตะลันต์เดียวนั้นจากเขาไปให้คนที่มีสิบตะลันต์ 29เพราะว่าใครที่มีอยู่แล้วจะให้แก่คนนั้นจนมีอย่างเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่มีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา 30เอาไอ้บ่าวชั่วช้าไปทิ้งเสียยังที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’
การทรงพิพากษาประชาชาติทั้งหลาย
31“เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยพระรัศมีพร้อมกับทูตสวรรค์ทั้งหมด แล้วพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ 32ประชาชาติทั้งหมดจะมาประชุมกันเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกพวกเขาออกจากกัน เหมือนผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ 33พระองค์จะทรงจัดให้ฝูงแกะอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ และฝูงแพะอยู่เบื้องซ้าย 34ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสกับพวกผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ได้รับพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก 35เพราะว่าเมื่อเราหิว พวกท่านก็จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า พวกท่านก็ต้อนรับเรา 36เราเปลือยกายพวกท่านก็ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็มาดูแลเรา เมื่อเราอยู่ในคุก พวกท่านก็มาเยี่ยมเรา’ 37เวลานั้นบรรดาคนชอบธรรมจะกราบทูลว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวและจัดให้เสวยหรือทรงกระหายน้ำ และจัดมาถวายนั้นตั้งแต่เมื่อไร? 38ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้าและได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกายและสวมฉลองพระองค์ให้นั้นตั้งแต่เมื่อไร? 39ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือทรงถูกจำคุก และมาเฝ้าพระองค์นั้นตั้งแต่เมื่อไร?’ 40แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ซึ่งพวกท่านได้ทำกับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนทำกับเราด้วย’ 41แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘พวกท่านผู้ถูกแช่งสาปจงถอยไปจากเราและเข้าไปอยู่ในไฟที่ไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและบริวารของมัน 42เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านก็ไม่ได้ให้เรากิน เรากระหายน้ำ พวกท่านก็ไม่ได้ให้เราดื่ม 43เราเป็นแขกแปลกหน้า พวกท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและต้องถูกจำคุก พวกท่านก็ไม่ได้เยี่ยมเรา’ 44แล้วพวกเขาจะทูลว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิว หรือทรงกระหายน้ำ ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือทรงเปลือยพระกาย ประชวรหรือทรงถูกจำอยู่ในคุก และพวกข้าพระองค์ไม่ได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นตั้งแต่เมื่อไร?’ 45เวลานั้นพระองค์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า การที่พวกท่านไม่ได้ทำกับผู้เล็กน้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนไม่ได้ทำกับเราด้วย’ 46และคนเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่บรรดาคนชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์”
อรรถาธิบาย
ชีวิตที่สัตย์ซื่อ
เราจะ 'ซื่อสัตย์' ได้อย่างไร (ข้อ 21,23) ?
1. \t ใช้มันหรือเสียมันไป
พระเจ้าทรงใจกว้างและเมตตา พระองค์ทรงประทานอย่างมากมายมหาศาลให้แก่เรา คำว่า ‘ตะลันต์’ หมายถึงเงินจำนวนมหาศาลซึ่งอาจเทียบเท่ากับค่าจ้างยี่สิบปี แม้แต่คนที่มีหนึ่งตะลันต์ก็ยังนับว่าได้รับจำนวนเงินมากเช่นกัน ในคำอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ (ที่มาของภาษาอังกฤษที่ใช้คำว่า ‘talent’ - ความสามารถพิเศษ/พรสวรรค์) ไม่เพียงแต่แสดงถึงเงินทองของเราเท่านั้น แต่ยังหมายถึง ของประทาน ทักษะ เวลา พลังงาน การศึกษา สติปัญญา ความแข็งแกร่ง อิทธิพล และโอกาสอีกด้วย
จงสัตย์ซื่อกับทุกสิ่งที่คุณได้รับ ไม่ใช่การคาดหวังว่าจะได้รับมากขึ้น เรียกง่าย ๆ ว่าคุณจะต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้กับสิ่งที่คุณมี
การซื่อสัตย์ หมายถึง การใช้ของประทาน และความสามารถที่พระเจ้าประทานให้คุณ บางครั้งผมถูกล่อลวงให้เป็นเหมือนบ่าวรับใช้คนที่สามที่พูดว่า ‘ข้าพเจ้ากลัว’ (ข้อ 25) คนเราอาจซ่อนความสามารถที่มีไว้เพราะกลัวความล้มเหลว และกลัวว่าคนอื่นจะคิดกับเราอย่างไรหรือกลัวการทำงานหนักและความรับผิดชอบที่ตามมา
มีคำกล่าวเอาไว้ว่า ‘ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดที่คุณสามารถทำได้ในชีวิต คือ การกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าคุณจะทำผิดพลาด’
บ่าวรับใช้ที่ได้รับห้าตะลันต์และผู้ที่ได้รับสองตะลันต์ จะต้องเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งหมด แต่กระนั้นจงก้าวออกไปด้วยความเชื่อ ใช้ของประทานที่คุณมี และกล้าที่จะเสี่ยงกับความล้มเหลว
ที่จริงแล้วพระเยซูตรัสว่า ‘ใช้มัน หรือ เสียมันไป’ (ข้อ 28–30) ถ้าคุณทำสิ่งที่คุณมีให้ดีที่สุดพระเจ้าจะประทานให้คุณมากขึ้นและตรัสว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและซื่อสัตย์! เจ้าซื่อสัตย์ในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของจำนวนมาก เจ้าจงร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด!’ (ข้อ21, 23)
2. ปฏิบัติต่อคนเล็กน้อยและต่ำต้อยที่สุดเหมือนดั่งปฏิบัติต่อพระคริสต์
พระเยซูตรัสว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ซึ่งพวกท่านได้ทำกับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนทำกับเราด้วย’ (ข้อ 40) พระองค์กำลังตรัสกับเราว่าความสัตย์ซื่อที่มีต่อพระองค์สำแดงออกมาทางสิ่งที่เราทำเพื่อผู้ที่อ่อนแอและขัดสนที่สุดในโลกนี้ (ข้อ 35–36, 42–43):
ผู้หิวโหย
ผู้คนหลายล้านคนกำลังตายด้วยความอดอยาก ทุกครั้งที่คุณหยิบยื่นการเลี้ยงดูแก่ผู้หิวโหยคุณจะพบพระเยซู แม่ชีเทเรซ่ากล่าวว่า ‘คนที่กำลังจะตาย คนที่ไม่เป็นที่ต้องการและไม่มีใครรัก พวกเขาก็เหมือนกับพระเยซู’คนแปลกหน้า
การเป็นคนไร้บ้าน ผู้ลี้ภัย หรือคนต่างด้าวต้องเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต เมื่อคุณได้พบ ‘คนแปลกหน้า’ เหล่านั้น และได้ดูแลคนไร้บ้าน ให้ที่พักพิงและเชิญพวกเขาเข้าสู่ใจกลางชุมชนของคุณ เมื่อนั้นคุณจะพบพระเยซู (ข้อ 35ข,38)คนเจ็บป่วย
อีกวิธีหนึ่งที่คุณจะได้พบกับพระเยซูได้คือการปฏิบัติต่อผู้ที่เจ็บป่วย ไม่ว่าจะอยู่ในโรงพยาบาล ที่บ้าน หรือที่โบสถ์ ทุกครั้งที่คุณอธิษฐานเผื่อผู้ป่วยเหล่านั้น คุณจะมีโอกาสได้พบกับพระเยซู
นักโทษ
นักโทษที่ถูกจองจำมักอยู่ในหมวด ‘คนเล็กน้อยและคนส่วนน้อย’ ของสังคมเรา พระเยซูท้าทายให้เราเลียนแบบพระคุณและการยอมรับ ‘คนบาป’ จากพระองค์ เราต้องจำไว้เสมอว่าเราเองก็ได้รับการอภัยบาปจากพระองค์ด้วยเช่นกัน
เป็นสิทธิพิเศษอย่างยิ่งที่จะได้เข้าไปในเรือนจำ หรือดูแล และให้คำปรึกษาแก่ผู้กระทำความผิด ผมจำได้ว่าอนุศาสนาจารย์ที่รับราชการในเรือนจำบอกว่าเมื่อเขาเข้าไปในเรือนจำครั้งแรก เขาคิดว่าจะพาพระเยซูไปกับเขาด้วย ในไม่ช้าเขาก็พบว่าพระเยซูทรงอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว เขาบอกว่า นับจากนั้นเขาก็เข้าไปในเรือนจำ เพื่อที่จะพบกับพระเยซู
ในทุกด้านเหล่านี้พระเยซูตรัสว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ซึ่งพวกท่านได้ทำกับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนทำกับเราด้วย’ (ข้อ 40) พระเยซูตรัสกับเราว่าเมื่อพระองค์กลับมาอย่างมีสง่าราศีอีกครั้ง เมื่อนั้นจะมีการพิพากษา (ข้อ 31–33) และเกี่ยวข้องกับการแยกจากกันที่จะทำให้ผู้คนประหลาดใจ (ข้อ 37,44) วิธีที่เราตอบสนองต่อพระเยซูมีผลชั่วนิรันดร์ (ข้อ 30,46)
คำอธิษฐาน
โยบ 40:3-42:17
โยบทูลตอบพระยาห์เวห์
3แล้วโยบทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า
4“ดูเถิด ข้าพระองค์เป็นผู้เล็กน้อย จะทูลพระองค์อย่างไรได้?
ข้าพระองค์เอามือปิดปาก
5ข้าพระองค์ได้กราบทูลครั้งหนึ่งแล้ว และจะไม่กราบทูลอีก
สองครั้งแล้ว แต่ข้าพระองค์จะไม่ทูลต่อไป”
พระยาห์เวห์ทรงท้าทายโยบ
6แล้วพระยาห์เวห์ทรงตอบโยบจากพายุว่า
7“จงคาดเอวอย่างลูกผู้ชาย
เราจะถามเจ้า ขอเจ้าตอบเรา
8เจ้ายังจะให้เราอยู่ฝ่ายผิดหรือ?
เจ้าจะหาว่าเราผิด เพื่อเจ้าจะเป็นฝ่ายถูกหรือ?
9เจ้ามีแขนเหมือนพระเจ้าหรือ?
และเจ้าทำเสียงกัมปนาทเหมือนเสียงของพระองค์ได้หรือ?
10“จงเอาความโอ่อ่าตระการและความสง่าผ่าเผยประดับตัว
จงเอาศักดิ์ศรีและความสง่างามห่มตัว
11จงเทความกริ้วของเจ้าที่ล้นอยู่นั้นออกมา
จงดูทุกคนที่เย่อหยิ่ง และทำให้เขาตกต่ำลง
12จงดูทุกคนที่เย่อหยิ่ง จงดึงเขาลงมา
และเหยียบคนอธรรมไว้ตรงที่ซึ่งเขายืนอยู่นั้น
13จงซ่อนเขาไว้ด้วยกันในผงคลี
มัดหน้าของเขาไว้ด้วยกันในโลกบาดาล
14แล้วเราเองจะยอมรับเจ้าว่า
มือขวาของเจ้าอาจช่วยเจ้าให้รอดได้
15“จงดู เบเฮโมทเถิด ซึ่งเราได้สร้างอย่างที่เราได้สร้างเจ้า
มันกินหญ้าเหมือนวัว
16ดูเถิด กำลังของมันอยู่ในเอว
และพลังของมันอยู่ในกล้ามเนื้อท้อง
17มันก่งหางของมันให้แข็งเหมือนไม้สนสีดาร์
เอ็นโคนขาของมันก็สานเข้าด้วยกัน
18กระดูกของมันเหมือนท่อทองสัมฤทธิ์
และแข้งขาของมันเหมือนท่อนเหล็ก
19“มันเป็นพระราชกิจชิ้นแรกของพระเจ้า
ผู้ทรงสร้างมันเท่านั้นที่เข้าไปใกล้มันด้วยดาบได้
20ภูเขาผลิตอาหารให้มันแน่
เป็นที่ที่สัตว์ป่าแห่งท้องทุ่งทุกชนิดมาเล่นกัน
21มันนอนอยู่ใต้ต้นตะครองต้นไม้ขนาดเล็กมีหนาม
ในเพิงอ้อและในบึง
22ต้นตะครองเป็นเงาคลุมมัน
ต้นหลิวล้อมมันไว้
23ดูเถิด ถึงแม่น้ำไหลเชี่ยว มันก็ไม่ตกใจ
มันวางใจแม้ว่าแม่น้ำจอร์แดนจะพุ่งเข้าใส่ปากมัน
24ผู้ใดอาจจับมันลากไปด้วยตะขอ
หรือเอาบ่วงสนตะพายร้อยเชือกเข้าช่องจมูกเพื่อผูกหรือจูงมันได้?
โยบ 41
1“เจ้าจะลากเลวีอาธานออกมาด้วยเบ็ดได้หรือ?
จะเอาเชือกกดลิ้นของมันลงได้หรือ?
2เจ้าเอาเชือกสนตะพายร้อยเชือกเข้าช่องจมูกเพื่อผูกหรือจูงมันได้หรือ?
เอาขอเจาะคางมันได้หรือ?
3มันจะวิงวอนต่อเจ้าเป็นอันมากหรือ?
มันจะพูดกับเจ้าด้วยคำอ่อนหวานหรือ?
4มันจะทำพันธสัญญากับเจ้า
เพื่อเจ้าจะรับมันเป็นทาสตลอดไปหรือ?
5เจ้าจะเล่นกับมันเหมือนเล่นกับนกหรือ?
เจ้าจะผูกมันไว้ให้สาวๆ ของเจ้าเล่นหรือ?
6พ่อค้าจะมาต่อราคาซื้อมันไปหรือ?
เขาทั้งหลายจะเอามันแบ่งกันท่ามกลางพวกพ่อค้าหรือ?
7เจ้าเอาฉมวกปักหนังของมัน
เอาหลาวแทงหัวของมันได้หรือ?
8ลงมือจับมันดู
เมื่อนึกถึงการต่อสู้กับมันแล้ว เจ้าจะไม่คิดทำอีก
9ดูเถิด ความหวังของคนที่จะจับมันก็สูญเปล่า
เมื่อเห็นมันเข้าเท่านั้น จะไม่ล้มลงหรือ?
10ไม่มีผู้ใดดุพอที่จะไปยั่วเย้ามัน
แล้วผู้ใดเล่าจะยืนมั่นต่อหน้าเราได้?
11ผู้ใดเล่าให้อะไรแก่เรา ซึ่งเราจะต้องตอบแทนเขา?
ทุกสิ่งที่อยู่ใต้ฟ้าสวรรค์เป็นของเรา
12“เราจะไม่งดพูดถึงแข้งขาของมัน
หรือพลังอันแข็งกล้าของมัน หรือโครงร่างอันดีของมัน
13ผู้ใดจะถลกเสื้อชั้นนอกของมันออกได้
ผู้ใดจะแทงเข้าไปในเสื้อเกราะสองชั้นของมันได้
14ผู้ใดจะมีแรงง้างขากรรไกรมันได้?
ฟันของมันเรียงรายโดยรอบน่าสยดสยอง
15ที่หลังของมันทำด้วยโล่เป็นแถวๆ
แนบตัวมันสนิทเหมือนอย่างตราผนึก
16มันอยู่ชิดกันมาก
ไม่มีลมผ่านเข้าไปได้
17เกล็ดเหล่านั้นเชื่อมต่อกันและกัน
มันเกาะติดกันแน่น และแยกจากกันไม่ได้
18การจามของมันปล่อยแสงสว่างออกมา
ตาของมันเหมือนอย่างแสงอรุณ
19คบเพลิงออกมาจากปากของมัน
ประกายไฟพุ่งออกมา
20ควันออกมาทางรูจมูกของมัน
อย่างกับมาจากหม้อเดือดและอ้อเล็กที่ลุกไหม้
21ลมหายใจของมันจุดไฟให้ถ่านได้
เปลวเพลิงออกมาจากปากของมัน
22กำลังอยู่ในลำคอของมัน
และความสยดสยองเต้นอยู่ข้างหน้ามัน
23หลืบเนื้อของมันเกาะติดกัน
หล่อติดกันแน่น ไม่ขยับเขยื้อน
24หัวใจของมันแข็งอย่างกับหิน
เออ แข็งเหมือนอย่างแท่นหินโม่
25เมื่อมันลุกขึ้นมา ผู้ทรงอานุภาพก็กลัวมัน
เขาทั้งหลายก็มีใจฝ่อเนื่องด้วยเสียงกระแทกของมัน
26ถึงคนใดเอาดาบลองแทงมัน ก็ต้านมันไม่ได้
ไม่ว่าหอก หรือแหลน หรือหอกซัด
27มันนับเหล็กว่าเป็นฟาง
และทองสัมฤทธิ์ว่าเป็นไม้ผุ
28ลูกธนูทำให้มันหนีไปไม่ได้
หินลูกสลิงก็กลายเป็นตอข้าว
29ไม้กระบองก็นับเป็นตอข้าวด้วย
มันหัวเราะเยาะเสียงหอกซัด
30เบื้องล่างของมันคมอย่างกับเศษหม้อแตก
มันเหยียดตัวออกบนเลนเหมือนเลื่อนนวดข้าว
31มันทำให้ที่ลึกเดือดเหมือนหม้อ
มันทำให้ทะเลเหมือนหม้อน้ำมัน
32มันละทางแวบวาบไว้ข้างหลัง
ทำให้ใครๆ คิดว่าที่ลึกมีผมหงอก
33บนแผ่นดินโลกไม่มีอะไรเหมือนมัน
เป็นสิ่งถูกสร้างที่ไม่ให้รู้จักความกลัว
34มันเห็นทุกสิ่งที่อยู่สูง
มันเป็นราชาเหนือบรรดาสัตว์ที่สง่า”
โยบ 42
โยบถ่อมใจและอิ่มใจ
1แล้วโยบทูลพระยาห์เวห์ว่า
2“ข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงทำทุกสิ่งได้
และพระประสงค์ของพระองค์จะสำเร็จ
3พระองค์ตรัสว่า ‘นี่ผู้ใดหนอได้ซ่อนคำปรึกษาโดยปราศจากความรู้?
เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงกล่าวถึงสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ
สิ่งที่ประหลาดเกินกว่าข้าพระองค์จะทราบ
4พระองค์ตรัสว่า ‘ฟังซี เราจะพูด
เราจะถามเจ้า ขอเจ้าตอบเรา’
5ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู
แต่บัดนี้ดวงตาข้าพระองค์เห็นพระองค์
6ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง
และกลับใจอยู่ในผงคลีดินและขี้เถ้า”
เพื่อนๆ ของโยบอับอาย
7หลังจากพระยาห์เวห์ตรัสพระวจนะเหล่านี้แก่โยบแล้ว พระยาห์เวห์ตรัสกับเอลีฟัสชาวเทมานว่า “เราโกรธเจ้าและสหายทั้งสองของเจ้า เพราะเจ้าทั้งหลายไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง เหมือนโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด 8เพราะฉะนั้นจงเอาวัวผู้ 7 ตัว และแกะผู้ 7 ตัว ไปหาโยบผู้รับใช้ของเรา และถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวสำหรับพวกเจ้า แล้วโยบผู้รับใช้ของเราจะอธิษฐานเพื่อพวกเจ้า เพราะเราจะรับคำอธิษฐานของเขา เราจะไม่ทำแก่เจ้าตามความโง่ของเจ้า เพราะเจ้าทั้งหลายไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง เหมือนโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด” 9ฝ่ายเอลีฟัสชาวเทมาน และบิลดัดชาวชูอาห์ และโศฟาร์ชาวนาอาเมห์ ได้ไปทำตามที่พระยาห์เวห์ตรัสสั่ง และพระยาห์เวห์ทรงรับคำอธิษฐานของโยบ
โยบกลับสู่สภาพดี
10และพระยาห์เวห์ทรงให้โยบกลับสู่สภาพดี เมื่อท่านอธิษฐานเผื่อสหายของท่าน และพระยาห์เวห์ประทานให้โยบมีมากเป็นสองเท่าของที่มีอยู่ก่อน 11และพี่น้องชายหญิงของท่านและบรรดาผู้ที่รู้จักท่านมาก่อนได้มาหาท่าน และรับประทานอาหารกับท่านในบ้านของท่าน และเขาทั้งหลายแสดงความเห็นใจและปลอบโยนท่าน ด้วยเรื่องเหตุร้ายทั้งสิ้นซึ่งพระยาห์เวห์ทรงนำมาเหนือท่าน และต่างก็ให้เงินแผ่นหนึ่งกับแหวนทองคำวงหนึ่งแก่ท่าน 12และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรชีวิตตอนปลายของโยบมากยิ่งกว่าตอนต้นของท่าน และท่านมีแกะ 14,000 ตัว อูฐ 6,000 ตัว วัวผู้ 1,000 คู่ และลาตัวเมีย 1,000 ตัว 13ท่านมีบุตรชาย 7 คนและบุตรหญิง 3 คนด้วย 14และท่านเรียกชื่อบุตรหญิงว่า เยมีมาห์ และชื่อคนที่สองว่า เคสิยาห์ และชื่อคนที่สามว่า เคเรนหัปปุค 15ทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่มีหญิงใดงดงามเท่าบุตรสาวของโยบ และบิดาได้ให้มรดกแก่พวกเธอพร้อมกับพวกพี่ชายและน้องชาย 16ต่อจากนี้ไป โยบมีชีวิตอยู่อีก 140 ปี และได้เห็นบุตรชายของท่านกับหลานเหลนของท่านสี่ชั่วอายุ 17และโยบก็สิ้นชีวิตเป็นคนแก่หง่อมทีเดียว
อรรถาธิบาย
ความสัตย์ซื่อของโยบ
พระเจ้าทรงมีแผนการที่ดีสำหรับคุณตั้งแต่วินาทีที่คุณคลอดออกมา นอกจากนี้พระองค์ยังทรงมีแผนการที่ดีสำหรับโยบ เริ่มตั้งแต่ต้นที่พระองค์ทรงวางแผนการฟื้นฟูและอวยพรแก่เขา
โยบเป็นที่จดจำตลอดประวัติศาสตร์เพราะความซื่อสัตย์ของเขา ยากอบกล่าวว่า ‘ท่านได้ยินเรื่องความทรหดอดทนของโยบ และได้เห็นสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้เขาในบั้นปลาย’ (ยากอบ 5:11)
อีกครั้งที่พระเจ้าทรงตั้งคำถามกับโยบที่ทำให้เขารู้ว่ามีบางสิ่งที่ ‘ประหลาดเกินกว่า (โยบ) จะทราบ’ (โยบ 42: 3ข) กระนั้นโยบยึดมั่นในความสัตย์ซื่อของพระเจ้า 'ข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงทำทุกสิ่งได้ และพระประสงค์ของพระองค์จะสำเร็จ' (ข้อ 2) นี่คือพระสัญญาอันยอดเยี่ยมที่คงอยู่แม้สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตของคุณไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ พระเจ้าทรงมีแผนการที่ดีสำหรับคุณ และมันจะไม่ถูกทำลายไป
พระเจ้าไม่ได้ให้ชีวิตที่ปราศจากปัญหาแก่เรา พระองค์ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของเราทั้งหมด แต่ทรงให้ความเชื่อมั่นกับเราว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วยในทุก ๆ ปัญหาร่วมกับเรา
พระเจ้าให้โยบอธิษฐานเผื่อเพื่อนที่ทำร้ายจิตใจเขา ทำให้เขาห่อเหี่ยว กล่าวหาเขาและตัดสินเขาผิด ๆ รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์เขาด้วย (ข้อ 7-8) โยบได้ยกโทษให้พวกเขาและแสดงการให้อภัยโดยการอธิษฐานเผื่อพวกเขา ในขณะที่โยบร้องทูลให้เพื่อน ๆ พระเจ้าไม่เพียงแต่ยอมรับคำอธิษฐานของโยบเท่านั้น แต่ยัง ‘ประทานให้โยบมีมากเป็นสองเท่าของที่มีอยู่ก่อน’ (ข้อ 10)
จอยซ์ ไมเยอร์ เขียนไว้ว่า ‘ถ้าคุณทำสิ่งต่าง ๆ ในแบบพระเจ้าต้องการ พระองค์จะทรงเพิ่มเติมให้คุณเป็นสองเท่า' 'พระยาห์เวห์ทรงอวยพรชีวิตตอนปลายของโยบมากยิ่งกว่าตอนต้นของท่าน’ (ข้อ 12) เช่นเดียวกับดาวิดพระเจ้าทรงสำแดงความกรุณาต่อเขาและพงศ์พันธุ์ของเขา (ข้อ 16)
โยบได้รับการยกย่องในความทรหดอดทนเมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน (ยากอบ 5: 10–11) ซาตานเชื่อว่าความทุกข์ทรมานจะทำให้โยบหันเหจากพระเจ้า แต่การทนทุกข์ของโยบแสดงให้เห็นว่าซาตานคิดผิด แม้ต้องเผชิญกับช่วงเวลาอันโหดร้าย โยบก็สามารถรักษาการนมัสการพระเจ้าในช่วงเวลาที่ดีและในเวลาแห่งการทดลอง
การทนทุกข์ทรมานของโยบเป็นตัวอย่างแก่เราในการตอบสนองต่อความทุกข์ เมื่อคุณตอบสนองด้วยการทนทุกข์ด้วยความบากบั่นอย่างสัตย์ซื่อ ซาตานก็พ่ายแพ้ไป โยบเป็นคน ‘แบบ’ พระคริสต์ ทางการทนทุกข์อย่างสัตย์ซื่อของพระเยซูบนไม้กางเขน ซาตานจึงพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงครั้งแล้วครั้งเล่า
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
มัทธิว 25:14–30
เรื่องตะลันต์ในมัทธิว 25 ถ้ามองอย่างผิวเผิน พระธรรมตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ที่จะเพิ่มเติมให้แก่คนที่มีมากอยู่แล้ว ฉันรู้สึกเศร้าแทนชายคนนั้นที่กลัวว่าจะใช้ตะลันต์ของตนจนเกินไป ยกตัวอย่างเช่นเมื่อฉันนั่งอยู่ในการประชุมเกี่ยวกับการอธิษฐานเผื่อสันติภาพของโลกนี้หรืออะไรซักอย่าง โดยลังเลว่าสิ่งที่คิดหรือสิ่งที่อธิษฐานอยู่นั้นควรจะพูดออกไปไหม ฉันไม่อยากพูดอะไรออกไปเพราะฉันอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ แล้วทำให้เสียเรื่องไป เรารู้สึกภูมิใจที่ไม่ได้ทำตัวให้ดูโง่อย่างนั้นหรือ? หากโดยธรรมชาติแล้วพวกเราเป็นคนขี้ระแวงและขี้กลัว เราอาจจะจำเป็นต้องหนุนใจซึ่งกันและกันและให้โอกาสกันและกันมากขึ้น ฉันตื่นเต้นกับความจริงที่ว่า ฉันไม่ต้องการให้ความสามารถเพียงเล็กน้อยใด ๆ ต้องถูกพรากออกไป!
ข้อพระคำประจำวัน
มัทธิว 25:40
(พระเยซูตรัสว่า) '… เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ซึ่งพวกท่านได้ทำกับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนทำกับเราด้วย'
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)