วัน 362

พันธสัญญาแห่งความรัก

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 148:7-14
พันธสัญญาใหม่ วิวรณ์ 19:11-21
พันธสัญญาเดิม เนหะมีย์ 9:1-37

เกริ่นนำ

ตอนที่ลูกสาวผมเข้าพิธีแต่งงาน ผมเดินส่งตัวเธอเธอเข้าพิธี ทด้านหน้าคริสตจักร ต่อหน้าครอบครัวและเพื่อนฝูง ด้วยความรักอันเหลือล้นที่ทั้งสองมีให้กัน เธอและสามีให้คำมั่นสัญญาว่าจะภักดีต่อกัน ทั้งคู่ได้ทำพันธสัญญาแห่งความรัก มันคือวาระที่เต็มไปด้วยความรัก

พันธสัญญาคือการตกลงกันอย่างเป็นทางการของคนสองคน หรือสองฝ่าย การทำพันธสัญญาเป็นเรื่องธรรมดาในโลกยุคโบราณ พันธสัญญามักทำด้วยการกระทำที่จริงจัง อาทิเช่น การใช้เลือดเป็นเครื่องบูชา

แนวคิดของพันธสัญญาสำคัญอย่างยิ่งในพระคัมภีร์ของคริสเตียน ที่สองส่วนถูกเรียกว่า พันธสัญญาเดิม และพันธสัญญาใหม่ (‘Testamentum’ (เทสทาเมนทัม) เป็นภาษาละตินสำหรับคำว่าพันธสัญญา) แม้ว่าพันธสัญญาใหม่จะแตกต่างจากพันธสัญญาเดิม แต่ทั้งสองก็เกิดขึ้นมาจากความรักอันท่วมท้นของพระเจ้าที่มีต่อคุณ

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 148:7-14

7จงสรรเสริญพระยาห์เวห์จากแผ่นดินโลกเถิด
 เจ้าสัตว์ทะเลขนาดใหญ่และที่น้ำลึกทั้งปวง
8ไฟกับลูกเห็บ หิมะกับหมอก ลมพายุ
 ทำตามพระบัญชาของพระองค์
9บรรดาภูเขาและเนินเขาทั้งปวง
 ต้นไม้มีผลและไม้สนสีดาร์ทั้งปวง
10สัตว์ป่าและสัตว์ใช้งานทั้งปวง
 สัตว์เลื้อยคลานและนกที่บินได้
11บรรดาพระราชาของแผ่นดินโลกและชาวประเทศทั้งสิ้น
 เจ้านายและผู้ครอบครองทั้งปวงของแผ่นดินโลก
12และคนหนุ่มกับคนสาว
 คนแก่กับเด็ก
13ให้ทั้งหมดนี้สรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์
 เพราะพระนามของพระองค์เท่านั้นที่ควรเยินยอ
 พระสิริของพระองค์อยู่เหนือแผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์
14พระองค์ทรงทำให้ประชากรของพระองค์แข็งแกร่ง
 พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญของผู้จงรักภักดีต่อพระองค์
 ของคนอิสราเอลผู้อยู่ใกล้พระองค์

สรรเสริญพระยาห์เวห์

อรรถาธิบาย

สรรเสริญพระเจ้าสำหรับมิตรภาพที่สนิทสนมของพระองค์

คุณทราบหรือไม่ว่าคุณสามารถเป็น ‘สหายสนิท’ ของพระเจ้าได้? นี่คือสิ่งที่หมายถึงการเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ประชากรของพระองค์’ ผู้ซึ่ง ‘รักพระเจ้า’ (ข้อ 14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) นี่เป็นทั้งหมดของพันธสัญญาแห่งรักของพระเจ้า

เนื่องด้วยความรักของพระเจ้าที่มีต่อเขา จิตใจของผู้เขียนสดุดีจึงเปี่ยมล้นด้วยการสรรเสริญ เขาเรียกทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างสรรเสริญพระเจ้าเช่นเดียวกับมนุษยชาติ (ข้อ 7-12) ‘ให้ทั้งหมดนี้สรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์ เพราะพระนามของพระองค์เท่านั้นที่ควรเยินยอ’ (ข้อ 13)

สดุดีบทนี้มาถึงจุดสูงสุด ‘พระองค์ทรงยกชูประชากรของพระองค์ด้วยเขาสัตว์ คำสรรเสริญของประชากรของพระองค์ อิสราเอล และประชาชนอยู่ใกล้ชิดพระทัยของพระองค์’ นี่คือ ‘สหายสนิทของพระเจ้า’ (ข้อ 14 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เขาสัตว์’ เป็นสัญลักษณ์แห่งพระกำลังขององค์พระผู้เป็นเจ้า และได้สำเร็จในพระเยซู ‘และทรงให้ผู้ช่วยทรงฤทธิ์ (เขาสัตว์แห่งความรอด) เกิดมาเพื่อเราในเชื้อวงศ์ของดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์’ (ลูกา 1: 69) ทรงกระทำดังนี้เพราะความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อเรา ทรงทำพันธสัญญาแห่งรักเพราะพระองค์ต้องการให้ประชากรของพระองค์เข้าใกล้ชิดพระทัยของพระองค์ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผู้เขียนพระธรรมสดุดีจึงจบด้วยการโห่ร้องว่า ‘สรรเสริญพระยาห์เวห์!’ (สดุดี 148 :14)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณที่พระองค์ทรงทำพันธสัญญากับข้าพระองค์ ที่พระองค์ทรงนำข้าพระองค์เข้ามาใกล้ชิดพระทัยพระองค์ และเรียกข้าพระองค์ว่าสหายสนิทของพระองค์
พันธสัญญาใหม่

วิวรณ์ 19:11-21

ผู้ทรงม้าสีขาว

 11แล้วข้าพเจ้าเห็นสวรรค์เปิดออก และ นี่แน่ะ มีม้าสีขาวตัวหนึ่ง พระองค์ผู้ทรงม้านั้นมีพระนามว่า “ซื่อสัตย์และสัตย์จริง” พระองค์ทรงพิพากษาและทรงต่อสู้ด้วยความชอบธรรม 12พระเนตรของพระองค์เหมือนอย่างเปลวไฟ และบนพระเศียรของพระองค์มีมงกุฎหลายอัน พระองค์ทรงมีพระนามจารึกไว้ซึ่งไม่มีใครรู้จักเลยนอกจากพระองค์เอง 13พระองค์ทรงฉลองพระองค์ที่ได้จุ่มในเลือด และพระนามที่เรียกพระองค์นั้นคือ “พระวาทะของพระเจ้า” 14กองทัพทั้งหลายในสวรรค์นุ่งห่มผ้าป่านเนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ขี่ม้าขาวตามเสด็จพระองค์ไป 15มีพระแสงคมกริบออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพื่อพระองค์จะทรงใช้มันฟาดฟันประชาชาติต่างๆ และพระองค์จะทรงครอบครองเขาทั้งหลายด้วยคทาเหล็ก พระองค์จะทรงย่ำบ่อย่ำองุ่นแห่งพระพิโรธรุนแรงของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด 16พระองค์ทรงมีพระนามจารึกที่ฉลองพระองค์ และที่ต้นพระอูรุของพระองค์ว่า “กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายและเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย”
 17แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งยืนอยู่บนดวงอาทิตย์ ท่านร้องประกาศเสียงดังแก่นกทั้งหมดที่บินอยู่ในท้องฟ้าว่า “มาเถิด มาชุมนุมกันในงานเลี้ยงใหญ่ของพระเจ้า 18เพื่อจะกินเนื้อกษัตริย์ เนื้อนายทหาร เนื้อคนที่มีกำลังมาก เนื้อม้า เนื้อของคนทั้งหลายที่นั่งบนหลังของมัน และเนื้อของทุกคน ทั้งคนที่เป็นเสรีชนและเป็นทาส ทั้งคนเล็กน้อยและคนใหญ่โต”
 19และข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้าย และบรรดากษัตริย์บนแผ่นดินโลก พร้อมทั้งกองทัพของกษัตริย์เหล่านั้น มาชุมนุมกันเพื่อทำสงครามกับพระองค์ผู้ทรงม้า และกับกองทัพของพระองค์ 20แต่สัตว์ร้ายนั้นถูกจับพร้อมกับผู้เผยพระวจนะเท็จผู้ที่ทำหมายสำคัญต่อหน้ามัน และใช้หมายสำคัญนั้นล่อลวงคนทั้งหลายที่ได้รับเครื่องหมายของสัตว์ร้าย และคนทั้งหลายที่บูชารูปของมัน ทั้งสองถูกโยนลงไปทั้งเป็นในบึงไฟที่ลุกไหม้ด้วยกำมะถัน 21และคนที่เหลืออยู่ก็ถูกฆ่าด้วยพระแสงที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ผู้ทรงม้านั้น และนกทั้งหมดก็อิ่มด้วยเนื้อของคนเหล่านั้น

อรรถาธิบาย

ขอบคุณพระเยซูที่ทรงจ่ายราคา

พันธสัญญาของพระเจ้ามีราคาที่ต้องจ่าย และได้รับการจ่ายแล้ว ไม่ใช่โดยเราแต่โดยองค์พระเจ้าองค์ผ่านทางองค์พระเยซู ผู้ซึ่งหลั่งพระโลหิตเพื่อคุณ ยอห์นเห็นพระเยซูทรงม้าสีขาว และพรรณาถึงพระองค์ด้วย 4 พระนาม ดังต่อไปนี้:

  1. ซื่อสัตย์และสัตย์จริง
    ‘ทรงพิพากษาและทรงต่อสู้ด้วยความชอบธรรม’ (ข้อ 11) พระองค์แทงทะลุความลับแห่งจิตใจของเรา (‘พระเนตรของพระองค์เหมือนอย่างเปลวไฟ’ ข้อ 12ก) พระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจแห่งจักรวาล (‘บนพระเศียรของพระองค์มีมงกุฎหลายอัน’ ข้อ 12ข) แม้เราจะไม่สัตย์ซื่อแต่พระองค์ ‘ซื่อสัตย์และสัตย์จริง' (ข้อ 11)

ตลอดพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เราได้อ่านถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าต่อพันธสัญญาและพระสัญญาของพระองค์ ความสัตย์ซื่อของพระเจ้าเห็นได้อย่างชัดเจนผ่านทางพระเยซู ผู้ทรง ‘ซื่อสัตย์และสัตย์จริง’

  1. พระนามที่มีแต่พระเยซูเท่านั้นที่รู้ ‘...พระองค์ทรงมีพระนามจารึกไว้ซึ่งไม่มีใครรู้จักเลยนอกจากพระองค์เอง’ (ข้อ 12ค) การสำแดงของพระเจ้าเกี่ยวกับพระองค์เองในพระเยซูคริสต์จะไม่เสร็จสมบูรณ์จนกว่าเราจะได้พบพระองค์หน้าต่อหน้า (1 โครินธ์ 13 :12)

  2. พระวจนะของพระเจ้า
    ‘...พระนามที่เรียกพระองค์นั้นคือ พระวาทะของพระเจ้า’ (วิวรณ์ 19 :13) พระวาทะพระเจ้าคือวิธีพระเจ้าสื่อสารกับเรา การเปิดเผยสูงสุดของพระเจ้าอยู่ในองค์พระเยซู ผู้ซึ่งเป็นพระวาทะของพระเจ้า (ยอห์น 1:1)

‘พระองค์ทรงฉลองพระองค์ที่ได้จุ่มเลือด’ (วิวรณ์ 19:13ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) นี่เป็นหลักฐานแห่งความรักอันท่วมท้นของพระองค์ที่มีต่อคุณ นี่คือ ‘โลหิตแห่งพันธสัญญา’ (มัทธิว 26: 28) โลหิตของ พระเยซู หลั่งออกเพื่อคุณ

  1. กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย และเจ้านายเหนือเจ้านายท้ังหลาย
    พระองค์ทรงเป็น ‘กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย และเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย’ (วิวรณ์ 19 :16) นี่คือพระนามที่จารึกอยู่บนฉลองพระองค์ และที่ต้นพระอูรุของพระองค์ พระองค์ทรงนำให้คริสตจักร ‘นุ่งห่มผ้าป่านเนื้อละเอียด สีขาวสะอาด’ (ข้อ 14) นี่คือผู้ที่ทุกคนจะคุกเข่าลงกราบพระองค์และทุกลิ้นยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า (ฟิลิปปี 2 :9-11)

ไม่มีความชั่วร้ายใดจะต้านทานพระเยซูได้ ในที่สุดความชั่วทั้งหมดจะถูกทำลาย การต่อสู้ครั้งสุดท้าย (วิวรณ์ 19 :17-21) จะไม่ใช่การต่อสู้แต่อย่างใด เพราะอำนาจชั่วทั้งสิ้นจะถูกโยนลงลงไปใน ‘บึงไฟที่ลุกไหม้ด้วยกำมะถัน’ (ข้อ 20) และศัตรูของพระเจ้าจะถูกทำให้อำนาจหมดสิ้นลงในครั้งเดียว (ข้อ 21) ภาพอันน่าทึ่งนี้แสดงให้เราเห็นว่าชัยชนะของพระเยซูเป็นเช่นไร

พระองค์ผู้ทรงซื่อสัตย์และสัตย์จริงทรงได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่แล้ว โดยทางไม้กางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์มีชัยชนะเหนืออำนาจชั่วทั้งหมดแล้ว (โคโลสี 2 :15) ชัยชนะที่เราอ่านอยู่นี้เป็นภาพสรุปที่ถูกละไว้เมื่อพระเยซูทรงเสด็จมาถึง

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณสำหรับพันธสัญญาแห่งความรักอันเสียสละ และที่พระองค์นั้นทรงสัตย์ซื่อและสัตย์จริง อุดมด้วยความรัก และที่วันหนึ่งเราจะได้พบพระองค์หน้าต่อหน้า
พันธสัญญาเดิม

เนหะมีย์ 9:1-37

คำสารภาพของชนชาติ

 1ในวันที่ยี่สิบสี่เดือนนี้ ประชาชนอิสราเอลได้ชุมนุมกันถืออดอาหาร และนุ่งห่มผ้ากระสอบ และเอาดินใส่ศีรษะ 2และพงศ์พันธุ์อิสราเอลได้แยกตนออกจากชนต่างชาติ และยืนสารภาพบาปของตน และสารภาพกรรมชั่วของบรรพบุรุษของเขา 3และพวกเขาลุกขึ้นในที่ของเขา และอ่านจากหนังสือธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาทั้งหลายอยู่สามชั่วโมง อีกสามชั่วโมงพวกเขาสารภาพและนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาทั้งหลาย 4เยชูอา บานี ขัดมีเอล เชบานิยาห์ บุนนี เชเรบิยาห์ บานีและเคนานี ได้ยืนขึ้นที่บันไดของคนเลวี และเขาได้ร้องด้วยเสียงดังต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา 5แล้วคนเลวี เยชูอา ขัดมีเอล บานี ฮาชับเนยาห์ เชเรบิยาห์ โฮดียาห์ เชบานิยาห์ และเปธาหิยาห์ กล่าวว่า “จงยืนขึ้นและสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายตั้งแต่นิรันดร์กาลจนนิรันดร์กาล” สาธุการแด่พระนามอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ ซึ่งยิ่งใหญ่เหนือการขอบพระคุณและการสรรเสริญทั้งปวง 6พระองค์คือพระยาห์เวห์ พระองค์ผู้เดียว พระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ ฟ้าสวรรค์อันสูงสุดพร้อมกับบริวารทั้งสิ้นของฟ้าสวรรค์นั้น แผ่นดินโลกและทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น ทะเลและทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น และพระองค์ทรงรักษาทุกสิ่งเหล่านั้นไว้ และบริวารของฟ้าสวรรค์ได้นมัสการพระองค์ 7พระองค์คือพระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้ทรงเลือกอับราม และทรงนำท่านออกมาจากเมืองเออร์แห่งประเทศเคลเดีย และประทานนามท่านว่าอับราฮัม 8และพระองค์ทรงเห็นว่าใจของท่านซื่อสัตย์ต่อพระองค์ และพระองค์ได้ทรงกระทำพันธสัญญากับท่าน ที่จะประทานแผ่นดินของคนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนเยบุสและคนเกอร์กาชีแก่เชื้อสายของท่าน และพระองค์ทรงกระทำให้พันธสัญญาของพระองค์สำเร็จ เพราะพระองค์ทรงชอบธรรม
 9“และพระองค์ทอดพระเนตรความทุกข์ใจของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายในอียิปต์และทรงฟังเสียงร้องทุกข์ของเขาทั้งหลายที่ทะเลแดง 10และพระองค์ทรงกระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์สู้ฟาโรห์และข้าราชการทั้งสิ้น และต่อประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินของฟาโรห์ เพราะพระองค์ทรงทราบว่า เขาทั้งหลายได้ประพฤติอย่างหยิ่งยโสต่อบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายและพระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไป ดังทุกวันนี้ 11และพระองค์ได้ทรงแยกทะเลต่อหน้าเขาทั้งหลาย พวกเขาจึงเดินไปกลางทะเลบนดินแห้ง และพระองค์ได้ทรงเหวี่ยงผู้ไล่ตามพวกเขาลงในที่ลึกอย่างกับทรงเหวี่ยงหินลงไปในมหาสมุทร 12ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงนำพวกเขาในกลางวันด้วยเสาเมฆ และในกลางคืนด้วยเสาเพลิง เพื่อให้แสงแก่เขาในทางที่เขาควรจะไป 13พระองค์เสด็จลงมาบนภูเขาซีนายและตรัสกับเขาจากฟ้าสวรรค์ และประทานกฎหมายอันชอบและธรรมบัญญัติที่แท้ กฎเกณฑ์และพระบัญญัติที่ดีแก่เขา 14และพระองค์ทรงให้เขาทราบถึงวันสะบาโตบริสุทธิ์ของพระองค์ และทรงตราพระบัญญัติกฎเกณฑ์และธรรมบัญญัติทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ 15พระองค์ประทานอาหารแก่เขาจากฟ้าสวรรค์แก้ความหิว และทรงนำน้ำออกมาจากศิลาให้เขาแก้กระหาย และพระองค์ทรงสั่งให้เขาเข้าไปยึดแผ่นดินซึ่งพระองค์ทรงปฏิญาณว่า จะประทานให้เขานั้น
 16“แต่เขาทั้งหลาย คือ บรรพบุรุษของพวกข้าพระองค์ได้ประพฤติอย่างหยิ่งยโสและแข็งคอของเขาเสีย ไม่ได้เชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ 17เขาทั้งหลายปฏิเสธไม่เชื่อฟัง และไม่เอาใจใส่ในการอัศจรรย์ซึ่งพระองค์ทรงประกอบขึ้นท่ามกลางพวกเขา แต่เขาแข็งคอของเขา และได้แต่งตั้งหัวหน้าเพื่อจะกลับไปสู่ความเป็นทาสของเขาในอียิปต์ แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพร้อมที่จะทรงให้อภัย ทรงมีพระคุณและพระกรุณา ทรงพระพิโรธช้า และทรงอุดมด้วยความรักมั่นคง และไม่ได้ทรงละทิ้งพวกเขา 18แม้ว่าพวกเขาได้สร้างรูปโคหล่อไว้สำหรับตัว และกล่าวว่า ‘นี่คือพระเจ้าของเรา ผู้ทรงนำเราขึ้นมาจากอียิปต์’ และได้ทำการหมิ่นประมาทอย่างใหญ่หลวง 19ด้วยพระกรุณาซับซ้อนของพระองค์ พระองค์ก็ไม่ได้ทรงละทิ้งเขาในถิ่นทุรกันดาร เสาเมฆซึ่งนำเขาในกลางวันไม่ได้พรากจากเขาไป หรือเสาเพลิงในกลางคืนซึ่งให้แสงแก่เขาตามทางซึ่งเขาควรจะไปก็ไม่ได้ขาดไป 20พระองค์ประทานพระวิญญาณให้สั่งสอนเขา และไม่ได้ทรงยับยั้งมานาของพระองค์เสียจากปากของเขาทั้งหลายและประทานน้ำแก้ความกระหายของเขา 21พระองค์ทรงเลี้ยงดูเขาทั้งหลายในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี และเขาไม่ขาดสิ่งใดเลย เสื้อผ้าของเขาไม่ขาดวิ่น และเท้าของเขาไม่ได้บวม 22และยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงมอบราชอาณาจักรและชนชาติทั้งหลายแก่เขา และทรงจัดสรรให้เขาตามเขตแดน เขาจึงได้ยึดแผ่นดินแห่งสิโหนกษัตริย์แห่งเมืองเฮชโบน และแผ่นดินของโอกกษัตริย์แห่งเมืองบาชาน 23พระองค์ทรงทวีเชื้อสายของเขาอย่างดวงดาวแห่งฟ้าสวรรค์ และพระองค์ทรงนำเขาเข้าไปในแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ตรัสสั่งบรรพบุรุษของเขาให้เข้าไปยึดนั้น 24เชื้อสายเหล่านั้นจึงเข้าไปและยึดแผ่นดินนั้น พระองค์ทรงปราบปรามชาวแผ่นดินนั้น คือคนคานาอันให้พ้นหน้าเขาและทรงมอบคนเหล่านั้นไว้ในมือของเขา พร้อมกับกษัตริย์และชนชาติทั้งหลายแห่งแผ่นดินนั้น ให้ทำแก่คนเหล่านั้นตามชอบใจเขา 25และเขาจึงเข้ายึดเมืองที่มีป้อมและแผ่นดินอุดม และถือกรรมสิทธิ์บ้านเรือนซึ่งเต็มด้วยของดีทุกอย่าง ทั้งที่ขังน้ำซึ่งสกัดไว้ สวนองุ่น สวนมะกอก และต้นไม้ผลมากมาย เขาจึงได้กินอิ่มสมบูรณ์ และปีติยินดีในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
 26“แม้กระนั้น เขายังดื้อและกบฏต่อพระองค์ เหวี่ยงธรรมบัญญัติของพระองค์ไว้เบื้องหลัง และได้ฆ่าผู้เผยพระวจนะของพระองค์ ผู้ได้ตักเตือนเขาเพื่อให้เขากลับมาหาพระองค์ และเขาทำการหมิ่นประมาทอย่างใหญ่หลวง 27เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงมอบเขาไว้ในมือศัตรูของเขา ผู้ทำให้เขาทนทุกข์และในเวลาแห่งการทนทุกข์ของเขานั้น เขาร้องทูลต่อพระองค์ และพระองค์ทรงฟังเขาจากฟ้าสวรรค์ พระองค์ได้ประทานพวกผู้ช่วยแก่เขา ผู้ได้ช่วยเขาให้พ้นจากมือศัตรูของเขา ตามพระกรุณาเหลือล้นของพระองค์ 28แต่เมื่อเขาพักสงบแล้ว เขาก็ทำความชั่วต่อพระพักตร์พระองค์อีก พระองค์จึงทรงปล่อยเขาไว้ในมือศัตรูของเขา ศัตรูจึงได้ปกครองเขา ถึงกระนั้นเมื่อเขาหันมาร้องทูลต่อพระองค์ พระองค์ทรงฟังเขาจากฟ้าสวรรค์และพระองค์ทรงช่วยกู้เขาไว้หลายครั้งหลายหน ตามพระกรุณาของพระองค์ 29และพระองค์ทรงตักเตือนเขา เพื่อว่าจะทรงหันเขาให้กลับมาสู่ธรรมบัญญัติของพระองค์ แต่เขาก็ยังประพฤติอย่างเย่อหยิ่งอวดดี ไม่ยอมเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ แต่ได้ทำผิดต่อกฎหมายของพระองค์ (อันเป็นข้อปฏิบัติซึ่งมนุษย์จะดำรงชีพอยู่ได้) และได้หันบ่าดื้อและคอแข็งเข้าสู้และไม่ได้เชื่อฟัง 30พระองค์ทรงอดทนกับเขาอยู่หลายปี และทรงเตือนเขาด้วยพระวิญญาณของพระองค์ทางผู้เผยพระวจนะของพระองค์ เขาก็ยังไม่เงี่ยหูฟัง เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงมอบเขาไว้ในมือของชนชาติทั้งหลายแห่งแผ่นดินนั้น 31ถึงกระนั้นด้วยพระกรุณาเหลือล้นของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำให้เขาพินาศหรือละทิ้งเขาเสีย เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงมีพระคุณและพระกรุณา
 32“ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ ทรงฤทธิ์และน่าเกรงกลัว ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคง ฉะนั้นขอพระองค์อย่าทรงเห็นว่า ความทุกข์ยากลำบากทั้งสิ้นนั้นเป็นแต่สิ่งเล็กน้อย ซึ่งบังเกิดขึ้นกับข้าพระองค์ทั้งหลาย กับบรรดากษัตริย์ของข้าพระองค์กับบรรดาเจ้านาย บรรดาปุโรหิต บรรดาผู้เผยพระวจนะ บรรพบุรุษและชนชาติของพระองค์ทั้งสิ้น ตั้งแต่สมัยกษัตริย์อัสซีเรีย จนถึงวันนี้ 33แต่ในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงยุติธรรม เพราะพระองค์ทรงประกอบกิจอย่างเที่ยงตรง แต่ข้าพระองค์ทั้งหลายประพฤติอย่างอธรรม 34บรรดากษัตริย์ เจ้านาย ปุโรหิตและบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย ไม่ได้รักษาธรรมบัญญัติหรือเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ และพระโอวาทของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงเตือนเขา 35เพราะเขาทั้งหลายไม่ได้ปรนนิบัติพระองค์ในราชอาณาจักรของเขา แม้พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ พระองค์ประทานแก่เขาและแผ่นดินที่ใหญ่อุดม พระองค์ทรงยกให้แก่เขา แต่เขาไม่ได้หันกลับจากการชั่วร้ายของเขา 36นี่แน่ะ วันนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นทาส เป็นทาสในแผ่นดินที่พระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย เพื่อให้ได้รับประทานพืชผลกับของอันดีของมัน 37และผลิตผลอันมากมายของแผ่นดินนั้นก็ตกแก่กษัตริย์ ผู้ที่พระองค์ทรงตั้งไว้เหนือข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเหตุบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย พวกเขามีอำนาจเหนือร่างกายและเหนือฝูงสัตว์เลี้ยงของข้าพระองค์ทั้งหลายตามความพอใจของเขาทั้งหลาย และข้าพระองค์ทั้งหลายทุกข์นัก”

อรรถาธิบาย

วางใจพระเจ้าในการจัดเตรียมของพระองค์

คุณเคยพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าและทำสัญญากับพระเจ้าว่าจะทำทุกอย่าง เพื่อขอให้พระเจ้าตอบทุกคำอธิษฐานของคุณบ้างไหม? จากนั้น เมื่อพระองค์ทรงตอบคำอธิษฐาน คุณกลับลืมและเริ่มถอยห่างจากพระองค์อีกครั้ง?

ประวัติศาสตร์ของประชากรของพระเจ้าก็คล้ายคลึงกัน เมื่อพระเจ้าอวยพระพรเรา เราก็อิ่มอกอิ่มใจ และเริ่มประนีประนอมและล้มลงในบาป แล้วเราก็ร้องหาพระเจ้าและพระองค์ทรงช่วยกู้และประทานพระเมตตามาเหนือเรา แล้วเราก็กลับไปหย่อนยานอีกครั้ง แน่นอนผมพบว่า บางครั้งนี่เป็นรูปแบบชีวิตของผม แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่เราควรดำเนินชีวิต

พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับประชากรของพระองค์ เริ่มต้นจากอับราฮัม (ข้อ 8) มันเป็นพันธสัญญาแห่งความรัก (ข้อ 32) พระองค์ทรงสัญญาจะประทาน ‘อาหารแก่เขาจากสวรรค์แก้ความหิว’ และ ‘จะทรงนำน้ำออกมาจากศิลาเพื่อให้เขาแก้กระหาย’ (ข้อ 15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระองค์ต้องการให้พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในการจัดเตรียมของพระองค์

พระเจ้าต้องการให้คุณวางใจในพระองค์ จงตกลงใจวันนี้ที่จะไม่กระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้ วางใจว่าพระองค์จะจัดเตรียมให้กับคุณในทุกๆ วัน แบบค่อยเป็นค่อยไป พระเจ้าไม่ได้เพียงแค่รักคุณ แต่พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยความรักมั่นคงต่อคุณ พระองค์รักคุณราวกับว่ามีเพียงคุณเท่านั้นที่จะรัก

กำแพงถูกสร้างขึ้นใหม่ ธรรมบัญญัติได้ถูกอ่าน ตอนนี้ประชากรต่างระลึกถึงความรักอันอุดมของพระเจ้าและพันธสัญญาแห่งรักของพระองค์ พวกเขาตระหนักว่าพระเจ้าทรงอวยพรพวกเขาด้วยวิธีที่ไม่ธรรมดา แต่เมื่อพวกเขากลับมาคิดถึงชีวิตของตัวเอง ก็พบว่าพวกเขาไม่คู่ควรกับพระพรนั้น

พวกเขาจึงอดอาหารและอธิษฐานร่วมกัน พวกเขายืนขึ้นและสารภาพบาปและกรรมชั่ว (ข้อ 2) พวกเขา ‘อ่านจากหนังสือธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาทั้งหลายอยู่สามชั่วโมง’ (ข้อ 3) ไม่น่าสงสัยเลยว่า เมื่อพวกเขาได้ยินพระคำ ความบาปถูกนำมาสู่สว่าง พวกเขาใช้เวลา ‘อีกสามชั่วโมงพวกเขาสารภาพ และนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาทั้งหลาย’ (ข้อ 3)

คำอธิษฐานของพวกเขาเป็นแบบอย่าง เริ่มจากการนมัสการ สรรเสริญพระเจ้าในความรักอันท่วมท้นในการทรงสร้าง (ข้อ 5-6) พวกเขาสรรเสริญพระองค์ในความรักอันยิ่งใหญ่ในอดีต (ข้อ 8) พวกเขาระลึกถึงพันธสัญญาแห่งรักและความสัตย์ซื่อของพระองค์ต่ออับราฮัม โมเสส และประชากรทั้งหลาย (ข้อ 7-15)

พวกเขาระลึกได้ว่าแม้ว่าพระเจ้าจะทรงเปี่ยมด้วยความรักและพระทัยที่กว้างขวางมากเพียงใด แต่ประชากรของพระองค์ก็ยัง ‘มองตนเองเป็นใหญ่’ และ ‘หัวรั้น’ และ ‘จะไม่เชื่อฟัง’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) บางครั้งเช่นเดียวกับพวกเขา ผมเองก็ลืมระลึกถึงการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงกระทำท่ามกลางเรา (ข้อ 17)

แต่ความรักของพระเจ้านั้นเหลือล้น 'พระเจ้าแห่งการให้และให้อภัย รักเราและอดทนต่อเราอย่างมากด้วยความรักอันเหลือล้น ... ทรงมีพระเมตตาและกรุณาต่อเราอย่างอัศจรรย์...ทรงสำแดงทางที่ถูกให้พวกเขาเดินไป พระองค์ทรงให้พระวิญญาณของพระองค์สอนเขา … พระองค์ไม่เคยหวงสิ่งดีใดไว้ ... พระองค์สนับสนุนเขา … พวกเขาอยู่ในความดีงามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ด้วยความยินดียิ่ง’ (ข้อ 17-25, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เมื่อพวกเขาได้อ่านประวัติศาสตร์ของตัวเอง ก็เห็นรูปแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระเจ้าอวยพระพรเขา ‘แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็…กบฏ..พระองค์...ทำให้ชีวิตของเขายากเข็ญ แต่เมื่อพวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ พระองค์ทรงเงี่ยพระกรรณฟังจากสวรรค์ … และในไม่ช้าพวกเขาก็ได้รับมันมาอย่างง่ายดาย และพวกเขาก็กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ชั่วร้ายกว่าเดิม..แล้วพวกเขาก็ร้องหาพระองค์อีกครั้ง ในความรักเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์นั้น พระองค์ก็ทรงฟังและช่วยพวกเขาอีกครั้ง ... พระองค์ไม่เคยเดินจากมาและทิ้งพวกเขาไว้ ใช่แล้วพระเจ้า พระองค์ทรงพระเจ้าแห่งพระคุณและความรักเมตตา ..ทรงภักดีในพันธสัญญาและความรัก’ (ข้อ 26-32 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เพราะประชากรของพระองค์ไม่สามารถรักษาพันธสัญญาในฝั่งของพวกเขา ทำให้พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทรงทำพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาใหม่นี้ถูกประทับตราด้วยพระโลหิตแห่งพระเยซูและรวมถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับคุณ เพื่อช่วยให้คุณได้รักษาพันธสัญญาในฝั่งของคุณ และที่คุณผูกพันในความรักเพื่อพระเจ้าและผู้อื่น

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ขอบคุณที่ทรงทำพันธสัญญาแห่งรักกับข้าพระองค์ ซึ่งได้รับการประทับตราด้วยพระโลหิตของพระเยซู ขอบคุณที่ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อช่วยพันผูกข้าพระองค์ในความรักเพื่อพระองค์ และเพื่อผู้อื่น

เพิ่มเติมโดยพิพพา

เนหะมีย์ 9:16-37

ดูเหมือนว่าประชากรอิสราเอลเดินวนเวียนเป็นวงกลม พวกเขากบฏ เผชิญความลำบาก ร้องหาพระเจ้า ได้รับการช่วยกู้ หลงลืมพระเจ้า และกบฏอีกครั้ง ฉันคิดว่าพระเจ้าอาจเบื่อหน่าย และฉันรู้ว่าฉันก็ไม่ได้ดีไปกว่านั้น ฉันดีใจที่พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าผู้ทรง ‘ให้อภัย’ ‘มีพระเมตตาและกรุณา’ ‘ช้าในการโกรธ’ และ ‘เต็มไปด้วยความรัก’

ข้อพระคำประจำวัน

เนหะมีย์ 9:17 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล

‘พระเจ้าทรงมีพระคุณและพระกรุณา ทรงพิโรธช้า และทรงอุดมด้วยความรักมั่นคง’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม