วัน 357

วิธีใช้ชีวิตในความหวัง

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 146:1-10
พันธสัญญาใหม่ วิวรณ์​ 14:14-15:8
พันธสัญญาเดิม เอสรา 10:1-44

เกริ่นนำ

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1999 ราล์ฟ คราธอร์น มาบรรยายที่คริสตจักรของเราเกี่ยวกับการเสียชีวิตเนื่องจากเนื้องอกในสมองของซาช่า ลูกสาววัย 8 ขวบของเขาที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน

ผมยังจำได้ดีว่าได้ไปเยี่ยมซาช่าที่โรงพยาบาล ในแท็กซี่ระหว่างเดินทาง ผมกำลังพยายามคิดและอธิษฐานอย่างจริงจังถึงสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ผมพูด มีเพียงหนึ่งคำเท่านั้นที่ปรากฏขึ้นในสมองของผม: ความหวัง

ในการบรรยายของราล์ฟ เขากล่าวว่า ‘คำ ๆ นั้นระเบิดอยู่ในจิตวิญญาณของผม เหมือนกับว่าจู่ ๆผมได้เห็นความบริบูรณ์ของสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราเข้าใจเกี่ยวกับ ‘การดำเนินชีวิตในความหวัง’ มันไม่ใช่เพียงแค่ ‘ฉันหวังว่ามันจะเกิดขึ้นนะ แต่มันก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก’ แต่มันคือความแน่ใจ ความมั่นใจ ความหวังแง่บวก ซึ่งเป็นทางที่พระเจ้าออกแบบให้เรานั้นได้ดำเนินชีวิต

‘ความหวังของเราไม่ได้ฝากไว้กับผลที่ได้ออกมา แต่ฝากไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า

‘ซาช่าเองก็เช่นกัน เธอยึดมั่นในความหวัง ไม่จำเป็นว่าเธอจะต้องได้รับการรักษาให้หาย แม้เธอจะหวังเช่นนั้นอยู่บ้างก็ตาม แต่ความหวังส่วนลึกนั้น คือ ความหวังที่มาจากความแน่ใจของการที่ได้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก’

ในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายของชีวิตเธอ ตาของเธอบอดสนิท ราล์ฟกล่าวว่า ‘ผมยังจำได้ว่านอนอยู่บนเตียงและพูดกับเธอว่า “ซาช่า ลูกเห็นทูตสวรรค์บ้างไหม?”’

‘เธอไม่มีแรงมากนักที่จะตอบ เธอพูดว่า “ไม่ค่ะพ่อ”

‘ผมผิดหวังเล็กน้อย ผมจึงถามขึ้นอีก “ลูกเห็นพระเยซูไหม?” ผมถามเธอ

“แน่นอนค่ะพ่อ หนูเห็น พระองค์ทรงจับมือหนู”’

‘ความหวังที่จะเห็นเธอได้รับการรักษาให้หายนั้นแตกสลาย แต่เราไม่ผิดหวังในพระเจ้าเลย พระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง พระองค์ยังทรงเทความรักลงมาในหัวใจของเรา เราไม่เข้าใจการตายของเธอ ผมสงสัยอยู่ว่าผมจะได้มีโอกาสที่จะเข้าใจมันหรือไม่ วันหนึ่งเราจะได้รู้...นี่คือหลักการพื้นฐานที่สำคัญของการดำเนินชีวิตในความหวัง”

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 146:1-10

สรรเสริญพระเจ้าเพราะทรงอุปถัมภ์

 1สรรเสริญพระยาห์เวห์
 จิตใจของข้าเอ๋ย จงสรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด
2ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระยาห์เวห์ ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่
 ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสดุดีพระเจ้าของข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่
3อย่าวางใจในเจ้านาย
 ในมนุษย์ซึ่งไม่สามารถช่วยได้
4เมื่อลมหายใจของเขาพรากไป เขาก็กลับเป็นดิน
 ในวันเดียวกันนั้นความคิดของเขาก็สูญสิ้นไป
5คนที่ผู้อุปถัมภ์ของเขาคือพระเจ้าของยาโคบ ก็เป็นสุข
 คือผู้ที่ความหวังของเขาอยู่ในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา
6ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
 ทะเลและทุกสิ่งซึ่งอยู่ในที่เหล่านั้น
 ผู้ทรงรักษาสัจจะไว้เป็นนิตย์
7ผู้ทำความยุติธรรมเพื่อคนที่ถูกบีบบังคับ
 ผู้ประทานอาหารแก่คนที่หิว
 พระยาห์เวห์ทรงปล่อยผู้ถูกคุมขังให้เป็นอิสระ
8พระยาห์เวห์ทรงเบิกตาของคนตาบอด
 พระยาห์เวห์ทรงพยุงผู้ถูกกดขี่ให้ลุกขึ้น
 พระยาห์เวห์ทรงรักคนชอบธรรม
9พระยาห์เวห์ทรงปกป้องคนต่างด้าว
 พระองค์ทรงค้ำจุนเด็กกำพร้าและหญิงม่าย
 แต่พระองค์ทรงพลิกทางของคนอธรรม
10พระยาห์เวห์จะทรงครอบครองเป็นนิตย์
 ศิโยนเอ๋ย พระเจ้าของเธอจะทรงครอบครองทุกชั่วชาติพันธุ์

สรรเสริญพระยาห์เวห์

อรรถาธิบาย

ฝากความหวังของคุณในที่ที่ถูกต้อง

หลายคนตั้งความหวังไว้ผิดที่ พวกเขาวางใจในความมั่งมี หรือหน้าที่การงานที่ประสบความสำเร็จ หรือความสัมพันธ์ระยะยาว หรือในภาพลักษณ์ของเขา หรือสถานะทางสังคม มันไม่มีอะไรผิดในสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แต่ไม่มีสิ่งไหนเลยที่ฐานมั่นคงพอที่จะสร้างชีวิตของคุณ

มันสำคัญจริง ๆ ว่าคุณจะฝากความหวังไว้ที่ไหน ‘อย่าวางใจในเจ้านาย ในมนุษย์ซึ่งไม่สามารถช่วยได้ เมื่อลมหายใจของเขาพรากไป เขาก็กลับเป็นดิน ในวันเดียวกันนั้นความคิดของเขาก็สูญสิ้นไป’ (ข้อ 3–4)

ผู้เขียนพระธรรมสดุดีกล่าวถึงที่ที่ถูกต้องที่ฝากความหวังของคุณไว้ได้ ‘คนที่ผู้อุปถัมภ์ของเขาคือพระเจ้าของยาโคบ ก็เป็นสุข คือผู้ที่ความหวังของเขาอยู่ในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา’ (ข้อ 5) ถ้าคุณฝากความหวังไว้ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ‘ความหวังที่เรายึดนั้นเป็นเสมือนสมอที่แน่นอนและมั่นคงของจิตใจ’ (ฮีบรู 6:19)

ผู้เขียนพระธรรมสดุดีมีความหวังที่หนักแน่นในองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาสรรเสริญพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง (สดุดี 146:1–2) เขารู้ว่าพระองค์คือ ‘ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทะเลและทุกสิ่งซึ่งอยู่ในที่เหล่านั้น ผู้ทรงรักษาสัจจะไว้เป็นนิตย์’ (ข้อ 6)

พระเจ้าแห่งความหวังประทานความหวังใหม่แก่ผู้ที่ดูเหมือนจะมีความหวังเพียงเล็กน้อย และพระองค์เรียกคุณและผมให้ทำอย่างเดียวกัน

ผู้เขียนพระธรรมสดุดีแสดงรายการของผู้ที่พระเจ้าให้ความหวังแก่เขาเป็นพิเศษ ผู้ที่ถูกบีบบังคับ (ข้อ 7ก) คนที่หิว (ข้อ 7ข) ผู้ถูกคุมขัง (ข้อ 7ค) คนตาบอด (ข้อ 8ก) คนต่างด้าว(ข้อ 9ก) และ เด็กกำพร้าและหญิงม่าย (ข้อ 9ข)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณที่ข้าพระองค์สามารถฝากความหวังในพระองค์ ขอบคุณที่สิ่งนี้แน่นอน และเป็นดั่งสมออันมั่นคงแห่งจิตใจของข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้หยิบยื่นความหวังนี้แก่ผู้ที่ต้องการมันมากที่สุด
พันธสัญญาใหม่

วิวรณ์​ 14:14-15:8

การเก็บเกี่ยวแผ่นดินโลก

 14และข้าพเจ้าเห็น นี่แน่ะ มีเมฆสีขาว และผู้หนึ่งประทับอยู่บนเมฆนั้นเหมือนบุตรมนุษย์ มีมงกุฎทองคำอยู่บนพระเศียร และมีเคียวอันคมกริบอยู่ในพระหัตถ์ 15และมีทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งออกมาจากพระวิหาร ร้องทูลพระองค์ผู้ประทับอยู่บนเมฆนั้นด้วยเสียงดังว่า “จงใช้เคียวของพระองค์เก็บเกี่ยวเถิด เพราะถึงเวลาเกี่ยวแล้ว เพราะว่าผลที่ต้องเก็บเกี่ยวบนแผ่นดินโลกสุกงอมแล้ว” 16และพระองค์ผู้ประทับอยู่บนเมฆ ก็ทรงตวัดเคียวไปบนแผ่นดินโลก และแผ่นดินโลกก็ถูกเก็บเกี่ยว
 17และทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งก็ออกมาจากพระวิหารในสวรรค์ และท่านก็มีเคียวอันคมกริบเช่นกัน 18แล้วทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งผู้มีฤทธิ์เหนือไฟก็ออกมาจากแท่นบูชา และร้องเสียงดังบอกทูตสวรรค์ที่มีเคียวคมกริบว่า “จงใช้เคียวคมกริบของท่านเก็บรวบรวมพวงองุ่นจากเถาองุ่นของแผ่นดินโลก เพราะผลองุ่นนั้นสุกแล้ว” 19ทูตสวรรค์นั้นก็ตวัดเคียวไปบนแผ่นดินโลก และเก็บรวบรวมเถาองุ่นของแผ่นดินโลก และเทลงไปในบ่อย่ำองุ่นใหญ่แห่งความกริ้วของพระเจ้า 20บ่อย่ำองุ่นก็ถูกย่ำภายนอกเมือง และโลหิตไหลออกจากบ่อย่ำองุ่นนั้น สูงถึงบังเหียนม้าและไหลไปไกลประมาณสามร้อยกิโลเมตร

วิวรณ์ 15

ทูตสวรรค์และภัยพิบัติสุดท้าย

 1แล้วข้าพเจ้าเห็นหมายสำคัญในสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่และอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง คือมีทูตสวรรค์เจ็ดองค์ถือภัยพิบัติเจ็ดอย่าง ซึ่งเป็นภัยพิบัติสุดท้าย เพราะว่าความกริ้วของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงด้วยภัยพิบัติเหล่านั้น
 2และข้าพเจ้าเห็นสิ่งที่เป็นเหมือนอย่างทะเลแก้วปนไฟ และเห็นบรรดาคนที่มีชัยชนะต่อสัตว์ร้าย และต่อรูปของมัน และต่อตัวเลขของชื่อมัน เขาทั้งหลายยืนอยู่ริมทะเลแก้วและถือพิณของพระเจ้า 3เขาร้องเพลงของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า และร้องเพลงของพระเมษโปดกว่า

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด
 พระราชกิจของพระองค์ยิ่งใหญ่และอัศจรรย์
ข้าแต่องค์พระมหากษัตริย์ของบรรดาประชาชาติ
 บรรดามรรคาของพระองค์ยุติธรรมและสัตย์จริง
4ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า มีใครบ้างไม่เกรงกลัวพระองค์
 และไม่ถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระองค์
เพราะพระองค์ผู้เดียวทรงเป็นผู้บริสุทธิ์
 ประชาชาติทั้งหมดจะมา
นมัสการเฉพาะพระพักตร์พระองค์
 เพราะว่าพระราชกิจอันชอบธรรมของพระองค์ปรากฏให้เห็นแล้ว”

5หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นพระวิหารคือเต็นท์แห่งสักขีพยานในสวรรค์เปิดออก 6และทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดองค์ที่ถือภัยพิบัติทั้งเจ็ดออกมาจากพระวิหารนั้น นุ่งห่มผ้าป่านสะอาดสุกใส และคาดแถบทองคำที่อก 7และหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ตนนั้น มอบชามทองคำเจ็ดใบที่เต็มด้วยความกริ้วของพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ ให้แก่ทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดองค์นั้น 8และพระวิหารก็เต็มไปด้วยควันซึ่งมาจากพระรัศมีของพระเจ้า และมาจากพระฤทธานุภาพของพระองค์ และไม่มีใครสามารถเข้าไปในพระวิหารนั้น จนกว่าภัยพิบัติทั้งเจ็ดของทูตสวรรค์เจ็ดองค์นั้นจะสิ้นสุดลง

อรรถาธิบาย

มองไปข้างหน้าด้วยความหวัง

ความหวังนั้นทรงพลัง ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึกหรืออารมณ์ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ความหวังที่แท้จริงคือทัศนคติแง่บวกที่มั่นคง ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้านจะเป็นอย่างไร สิ่งต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

‘ความหวังมีชั้นที่หนา และทนต่อการถูกกระหน่ำซ้ำ ๆได้’ เขียนไว้โดย จอห์น บันยัน (1628-1688) ‘มันจะทนต่อทุกสิ่งได้ ถ้ามันเป็นความหวังแท้ เพราะความชื่นชมยินดีนำหน้ามัน… ความหวังที่ทำให้จิตใจได้ฝึกฝนที่จะอดทน และความยากลำบากอันยาวนานภายใต้กางเขน จนกระทั่งถึงวาระที่จะได้มีความสุขกับมงกุฎ’

เมื่อเรามองไปทั่วโลก เราเห็นความอยุติธรรมมากมาย สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับคนดี หลายครั้งคนชั่วร้ายก็ดูเหมือนจะได้ดี มันอาจจะมีความอยุติธรรมในตอนนี้ แต่ในวันหนึ่งจะมีความยุติธรรมเพื่อทุกคน พระเจ้าจะทำให้ทุกสิ่งถูกต้อง

เมื่อบิชอป เลซลี นิวบิกิน กล่าวไว้ว่า ‘เส้นขอบฟ้าสำหรับคริสเตียนคือเวลาที่ “พระองค์จะทรงเสด็จมาอีกครั้ง” และการที่ “เรารอคอยการกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า” อาจจะเป็นพรุ่งนี้ หรือเวลาใดก็ได้ แต่นั่นคือเส้นขอบฟ้า เส้นขอบฟ้าสำหรับผมหมายถึงรากฐาน และสิ่งที่ทำให้มันเป็นไปได้ที่จะเต็มไปด้วยความหวัง และพบว่าชีวิตมีความหมาย’

ในตอนนี้ ยอห์นได้เห็นแว่บหนึ่งว่าท้ายที่สุด ‘ทำให้ทุกสิ่งถูกต้อง’ เป็นอย่างไร พระเยซูจะทรงเป็นผู้พิพากษา ‘และข้าพเจ้าเห็น นี่แน่ะ มีเมฆสีขาวและผู้หนึ่งประทับอยู่บนเมฆนั้น “เหมือนบุตรมนุษย์” มีมงกุฎทองคำอยู่บนพระเศียร และมีเคียวอันคมกริบอยู่ในพระหัตถ์’ (14:14)

พระเยซูกล่าวว่า ในชีวิตนี้ ข้าวสาลีและข้าวละมานเติบโตขึ้นมาด้วยกันจนกระทั่งถึงฤดูเก็บเกี่ยว (มัทธิว 13:30) และ ‘ฤดูเกี่ยวได้แก่เวลาสิ้นยุค และผู้เกี่ยวทั้งหลายนั้นได้แก่ทูตสวรรค์’ (ข้อ 39) พระองค์กล่าวถึงข้าวละมานว่าจะถูกดึงออกมาและถูกทำลายลง และ ‘บรรดาคนชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของพวกเขาดุจดวงอาทิตย์’ (ข้อ 43)

มีการพิพากษาอย่างรุนแรง ซึ่งร่องรอยแห่งความชั่วร้ายทุกประการถูกทำลาย ‘บ่อย่ำองุ่นใหญ่แห่งความกริ้วของพระเจ้า’ (วิวรณ์ 14:19)

เมื่อคุณอ่านตอนนี้ ระลึกไว้เสมอว่าพระเยซูทรงดื่มจากจอกแห่งความกริ้วของพระเจ้าที่ไม้กางเขน และเพราะสิ่งนั้นคุณจึงได้รอดจากการพิพากษาเหล่านี้ ในตอนนี้ เราได้เห็นถึงการพิพากษาของพระเจ้าที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ (15:1) ยอห์นเห็น ‘เหมือนอย่างทะเลแก้วปนไฟ’ (ข้อ 2) ภาพที่รวมเอาความบริสุทธิ์ที่เผาผลาญและความสงบสุข สันติภาพและความชอบธรรมไปด้วยกันเสมอ

การพิพากษาของพระเจ้าชำระโลกบริสุทธิ์ขึ้น ทำลายความชั่วร้ายและการทำชั่ว และช่วยกู้ประชากรของพระองค์จากผู้ที่ข่มเหงและต่อต้านเขา (‘ต่อสัตว์ร้าย และต่อรูปของมัน’ ข้อ 2)

หลังจากที่อพยพ เสียงสรรเสริญอันยิ่งใหญ่จากประชากรของพระเจ้าผู้ซึ่งข้ามทะเลแดงมาได้ ตอนนี้เสียงสรรเสริญอันยิ่งใหญ่ก็ดังไปถึงพระเจ้าอีกเช่นกัน:

‘พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด
 พระราชกิจของพระองค์ยิ่งใหญ่และอัศจรรย์
ข้าแต่องค์พระมหากษัตริย์ของบรรดาประชาชาติ....
 ประชาชาติทั้งหมดจะมานมัสการเฉพาะพระพักตร์พระองค์
เพราะว่าพระราชกิจอันชอบธรรมของพระองค์
 ปรากฏให้เห็นแล้ว’ (ข้อ 3–4)

คำอธิษฐาน

ขอบคุณองค์พระผู้เป็นเจ้าที่วันหนึ่งพระองค์จะทรงกระทำทุกสิ่งให้ถูกต้อง ขอบคุณที่ข้าพระองค์มีความหวังอันยิ่งใหญ่แห่งอนาคต ทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ผ่านทางไม้กางเขนแห่งพระเยซู
พันธสัญญาเดิม

เอสรา 10:1-44

การตอบสนองของประชาชน

 1ขณะเอสราอธิษฐานและสารภาพร้องไห้ทิ้งตัวลงต่อหน้าพระนิเวศของพระเจ้า มีชุมนุมชนหมู่ใหญ่มากทั้งชายหญิงและเด็ก จากอิสราเอลประชุมต่อหน้าท่าน เพราะประชาชนร้องไห้อย่างขมขื่น 2และเชคานิยาห์บุตรเยฮีเอล พงศ์พันธุ์เอลามกล่าวกับเอสราว่า “พวกเราได้ทำผิดต่อพระเจ้าของเราไปแล้ว และได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติจากชนชาติต่างๆ ของแผ่นดินนี้ แต่ถึงจะมีเรื่องอย่างนี้ ก็ยังมีความหวังในอิสราเอลอยู่ 3เพราะฉะนั้น ให้เราทำพันธสัญญากับพระเจ้าของเรา ที่จะทิ้งภรรยาเหล่านี้และลูกๆ ซึ่งเกิดมาจากพวกนางเสีย ตามคำปรึกษาของเจ้านายของข้าพเจ้า และของบรรดาผู้ยำเกรงพระบัญญัติของพระเจ้าของเรา และขอให้ทำตามกฎหมายเถิด 4จงลุกขึ้น เพราะเป็นหน้าที่ของท่าน และพวกเราจะสนับสนุนท่าน ขอจงเข้มแข็งและทำไปเถิด” 5แล้วเอสราได้ลุกขึ้นให้พวกหัวหน้าปุโรหิตและเลวีและอิสราเอลทั้งหมดทำสัตย์สาบานว่า เขาจะทำตามที่ได้พูดแล้ว พวกเขาจึงทำสัตย์สาบาน

การปฏิเสธภรรยาที่เป็นหญิงต่างชาติและบุตรของนาง

 6แล้วเอสราก็ลุกขึ้นไปจากพระนิเวศของพระเจ้า เข้าไปในห้องของเยโฮฮานันบุตรเอลียาชีบ เมื่อมาถึงที่นั่นแล้วก็ไม่รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำ เพราะท่านโศกเศร้าด้วยเรื่องการละเมิดของพวกเชลยที่กลับมา 7และพวกเขาก็ป่าวร้องทั่วยูดาห์และเยรูซาเล็ม แก่พวกเชลยที่ได้กลับมาทั้งสิ้นว่า ให้มาชุมนุมกันที่เยรูซาเล็ม 8และถ้าใครไม่มาภายในสามวัน ตามคำสั่งของพวกหัวหน้าและพวกผู้ใหญ่จะต้องริบทรัพย์สมบัติของเขาเสียทั้งสิ้น และเขาจะถูกตัดออกจากชุมนุมชนของพวกเชลย
 9และผู้ชายทุกคนของยูดาห์และเบนยามินได้ชุมนุมกันที่เยรูซาเล็มภายในสามวัน (ในเดือนที่เก้า ณ วันที่ยี่สิบของเดือนนั้น) และประชาชนทั้งปวงนั่งอยู่ที่ลานหน้าพระนิเวศของพระเจ้า ตัวสั่นสะท้านด้วยเรื่องนี้ และเพราะฝนตกหนัก 10และเอสราปุโรหิตได้ลุกขึ้นพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านได้ละเมิดและได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติ จึงได้ทวีความผิดของอิสราเอล 11เหตุฉะนั้น จงสารภาพต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่าน และทำตามชอบพระทัยของพระองค์ จงแยกตัวท่านออกเสียจากชนชาติต่างๆ แห่งแผ่นดินและจากภรรยาต่างชาติ” 12แล้วชุมนุมชนทั้งสิ้นได้ตอบด้วยเสียงดังว่า “ถูกแล้ว เราต้องทำตามที่ท่านพูด 13แต่มีประชาชนมากและเป็นเวลาที่ฝนตกหนัก เราอยู่กลางแจ้งไม่ไหว และงานนี้ทำไม่ได้ภายในวันสองวันเพราะเราได้ละเมิดอย่างมากในเรื่องนี้ 14ขอให้เจ้าหน้าที่ของเราทำการแทนชุมนุมชนทั้งสิ้น และให้บรรดาคนในเมืองของเราที่มีภรรยาต่างชาติมาตามเวลากำหนด พร้อมกับพวกผู้ใหญ่และผู้วินิจฉัยของทุกเมือง จนกว่าพระพิโรธอันแรงกล้าของพระเจ้าของเรา ที่ทรงมีในเรื่องนี้หันไปจากพวกเรา” 15โยนาธานบุตรอาสาเฮล และยาไซอาห์บุตรทิกวาห์เท่านั้นที่คัดค้านเรื่องนี้และเมชุลลามกับชับเบธัย ชนเลวีสนับสนุนเขาทั้งสอง
 16แล้วพวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลยซึ่งกลับมาก็ได้ทำตามนั้น เอสราปุโรหิตได้เลือกชายบางคนที่เป็นหัวหน้าของตระกูลตามสกุล แต่ละคนตามที่ระบุชื่อไว้ ในวันที่หนึ่งของเดือนที่สิบ เขานั่งประชุมกันพิจารณาเรื่องนี้ 17พอถึงวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่ง พวกเขาก็เสร็จสิ้นเรื่องชายทุกคนที่ได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติ
 18จากพงศ์พันธุ์ของปุโรหิตผู้ได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติ จากพงศ์พันธุ์เยชูอาบุตรโยซาดัก และพี่น้องของท่านพบว่า มี มาอาเสยาห์ เอลีเอเซอร์ ยารีบและเกดาลิยาห์ 19เขาทั้งหลายปฏิญาณตนว่าเขาจะทิ้งภรรยาของเขาเสีย และเครื่องบูชาชดใช้บาปของเขา คือแกะผู้ตัวหนึ่งจากฝูงแพะแกะ เพื่อชำระความผิดของเขา 20จากพงศ์พันธุ์อิมเมอร์ มี ฮานานีและเศบาดิยาห์ 21จากพงศ์พันธุ์ฮาริม มี มาอาเสยาห์ เอลียาห์ เชไมยาห์ เยฮีเอล และอุสซียาห์ 22จากพงศ์พันธุ์ปาชเฮอร์ มี เอลีโอนัย มาอาเสยาห์ อิชมาเอล เนธันเอล โยซาบาด และเอลาสาห์
 23จากพวกชนเลวี มี โยซาบาด ชิเมอี เคลายาห์ (คือเคลิทา) เปธาหิยาห์ ยูดาห์ และเอลีเอเซอร์ 24จากพวกนักร้อง มี เอลียาชีบ จากคนเฝ้าประตู มี ชัลลูม เทเลม และอุรี
 25และจากพวกอิสราเอล คือจากพงศ์พันธุ์ปาโรช มี รามียาห์ อิสซียาห์ มัลคียาห์ มิยามิน เอเลอาซาร์ มัลคีอาห์ และเบไนยาห์ 26จากพงศ์พันธุ์เอลามคือ มัทธานิยาห์ เศคาริยาห์ เยฮีเอล อับดี เยเรโมท เอลียาห์ 27จากพงศ์พันธุ์ศัทธู มี เอลีโอนัย เอลียาชีบ มัทธานิยาห์ เยเรโมท ศาบาด และอาซีซา 28จากพงศ์พันธุ์เบบัย มี เยโฮฮานัน ฮานันยาห์ ศับบัย อัทลัย 29จากพงศ์พันธุ์บานี มี เมชุลลาม มัลลูค อาดายาห์ ยาชูบ เชอัล และเยเรโมท 30จากพงศ์พันธุ์ปาหัทโมอับ มี อัดนา เคลาล เบไนยาห์ มาอาเสยาห์ มัทธานิยาห์ เบซาเลล บินนุย และมนัสเสห์ 31จากพงศ์พันธุ์ฮาริม มี เอลีเอเซอร์ อิสชียาห์ มัลคียาห์ เชไมยาห์ ชิเมโอน 32เบนยามิน มัลลูค เชมาริยาห์ 33จากพงศ์พันธุ์ฮาชูม มี มัทเธนัย มัทธัตตาห์ ศาบาด เอลีเฟเลท เยเรมัย มนัสเสห์ และชิเมอี 34จากพงศ์พันธุ์บานี มี มาอาดัย อัมราม อูเอล 35เบไนยาห์ เบดัยยาห์ เคลุฮี 36วานิยาห์ เมเรโมท เอลียาชีบ 37มัทธานิยาห์ มัทเธนัย ยาอาสุ 38บานี จากพงศ์พันธุ์บินนุย ชิเมอี 39เชเลมิยาห์ นาธัน อาดายาห์ 40มัคนาเดบัย ชาชัย ชารัย 41อาซาเรล เชเลมิยาห์ เชมาริยาห์ 42ชัลลูม อามาริยาห์ และโยเซฟ 43จากพงศ์พันธุ์เนโบ มี เยอีเอล มัททีธิยาห์ ศาบาด เศบินา ยาดดัย โยเอล และเบไนยาห์ 44บุคคลทั้งหมดเหล่านี้ได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติ บางคนมีบุตรเกิดจากภรรยาเหล่านั้นด้วย

อรรถาธิบาย

อย่าหมดหวัง

คุณเคยรู้สึกไหมว่าคุณไปไกลเกินไป ทำบางอย่างบ่อยเกินไป หรือล้มลงอย่างย่ำแย่เกินกว่าที่พระเจ้าจะทรงให้อภัยได้? พระธรรมตอนนี้เป็นสิ่งที่จะหนุนใจคุณ ไม่ว่าคุณจะทำเรื่องยุ่งเหยิงไว้มากเพียงใด ‘ยังคงมีความหวัง’ สำหรับคุณ ‘แต่ถึงจะมีเรื่องอย่างนี้ ก็ยังมีความหวังในอิสราเอลอยู่’ (ข้อ 2) เชคานิยาห์กล่าวกับเอสรา

เอสรา ‘อธิษฐานและสารภาพร้องไห้ทิ้งตัวลงต่อหน้าพระนิเวศของพระเจ้า’ (ข้อ 1ก) มีผู้มาร่วมกับเขา ‘ชุมนุมชนหมู่ใหญ่มากทั้งชายหญิงและเด็ก จากอิสราเอลประชุมต่อหน้าท่าน เพราะประชาชนร้องไห้อย่างขมขื่น’ (ข้อ 1ข)

เอสราอดอาหารอธิษฐานและโศกเศร้าต่อความไม่สัตย์ซื่อของประชากรของพระเจ้า มีผู้ที่มีความไม่สัตย์ซื่อนี้ทั้งหมด 113 คน 86 คน เป็น ‘พวกฆราวาส’ และ 27 คน เป็น ‘พวกปุโรหิต’ (คนเผ่าเลวี) การทรงเรียกให้มาเป็นผู้รับใช้คริสเตียนเต็มเวลานั้นไม่ได้ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อการล่อลวงเลย

ประเด็นสำคัญอย่างเจาะจงของตอนนี้คือ การที่ชาวอิสราเอลแต่งงานกับหญิงไม่เชื่อ ณ เวลานั้น น่าจะมีพิธีการที่คนไม่ใช่ชาวยิวสามารถที่จะเปลี่ยนความเชื่อได้ (อ่าน 6:21) และดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ปฏิเสธที่จะทำดังที่ได้กล่าวไว้

เอสรากังวลว่าพวกเขาอาจจะดึงคู่สมรสของตน (มีผู้นำชนชาติอิสราเอลจำนวนมากรวมอยู่ในนี้) ให้ออกห่างจากพระเจ้า พระคัมภีร์หนุนใจให้คุณคิดให้ดีว่าคุณจะแต่งงานกับใคร เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการแต่งงานกับคนที่จะดึงคุณออกห่างจากพระเจ้า (อ่าน 2 โครินธ์ 6:14 และส่วนขยายความของวันที่ 3 กันยายน)

อย่างไรก็ตาม การหย่าร้างกับภรรยาของพวกเขา อาจดูเหมือนทำให้ความไม่สัตย์ซื่อนั้นแย่กว่าเดิม (เอสรา 10:19) และนี่ถือเป็นอีกตอนที่ยากที่เราได้อ่าน น่าสนใจว่ามันไม่เป็นเอกฉันท์ (ข้อ 15) หลังจากที่ความไม่สัตย์ซื่อเกิดขึ้น ทางแก้นั้นดูเหมือนไม่ค่อยสมบูรณ์นัก เมื่อมีประเด็นเหมือนกันนี้เกิดขึ้นในคริสตจักรช่วงพันธสัญญาใหม่ บรรดาผู้ที่แต่งงานกับคนไม่เชื่อนั้น ได้รับคำแนะนำที่ต่างออกไป พวกเขาถูกบอกให้อยู่ในการแต่งงานนั้น และให้เป็นแบบอย่างแห่งชีวิตและพระพรต่อคู่สมรสของพวกเขา (อ่าน 1 โครินธ์ 7; 1 เปโตร 3)

คำอธิษฐาน

องค์พระเยซูเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ที่จะรับผิดชอบต่อความบาปที่ข้าพระองค์ทำ และความบาปที่ส่งผลต่อชุมชน ที่ข้าพระองค์จะอธิษฐาน สารภาพ ร้องไห้คร่ำครวญ ทิ้งตัวลงต่อจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าในการ กลับใจใหม่และแก้ไข เพื่อที่จะชัดเจนและจริงจังในการที่จะมีชีวิตที่สัตย์ซื่อต่อไปในอนาคต ขอบคุณที่ความหวังของเรา ยังคงเป็นความหวังสำหรับประชากรของพระเจ้า ขอบคุณที่ความหวังของเรานั้นอยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ‘ผู้ทรงรักษาสัจจะเป็นนิตย์’ (สดุดี 146:6)

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สดุดี 146:8

‘พระยาห์เวห์ทรงพยุงผู้ถูกกดขี่ให้ลุกขึ้น’

พระคำข้อนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าในการเฉลิมฉลองทั้งหมดในเทศกาลคริสต์มาส มีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังเผชิญความยากลำบาก พระเจ้าจะพยุงคนเหล่านี้ขึ้นได้อย่างไร พระองค์อาจจะอยากใช้เราให้มีส่วนในการนี้

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 146:8

‘…พระยาห์เวห์ทรงพยุงผู้ถูกกดขี่ให้ลุกขึ้น…’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม