ครั้งเดียวเป็นพอ
เกริ่นนำ
ครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 7 มกราคม 1978 ผมในฐานะเจ้าบ่าวยืนที่หน้าคริสตจักรโฮลีทรินิตี้บรอมตันในลอนดอน เจ้าสาว พิพพา ฮิลลอพ เดินตามทางเดินกับพ่อของเธอ และเข้าร่วมกับผมที่ด้านหน้า เราให้คำปฏิญาณต่อกันต่อพระพักตร์พระเจ้าและเราเป็นหนึ่งเดียวกันในการแต่งงาน เราออกจากคริสตจักรในฐานะ ‘คุณและคุณนายกัมเบล’ มันเป็นเหตุการณ์ ‘ครั้งเดียว’ แต่มันมีความหมายมากต่อชีวิตของเรา มันเกิดจากความรักที่เรามีให้กัน และเรามุ่งมั่นที่จะรักกันไปจนสิ้นชีวิต
เกือบสี่ปีก่อนนั้น เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 1974 ผมได้พบกับพระเยซูคริสต์เป็นครั้งแรก ความสัมพันธ์ความรักเริ่มต้นขึ้น ซึ่งเปลี่ยนชีวิตผมอย่างสิ้นเชิง มันเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้น ‘ครั้งเดียว’ อีกเรื่องหนึ่ง แต่ความหมายและผลกระทบของเหตุการณ์ ‘ครั้งเดียว’ นั้นยังคงดำเนินต่อไป และยังครอบคลุมถึงปัจจุบัน ผมได้รับความรักที่พระเจ้ามีต่อผม และผมมุ่งมั่นที่จะรักพระองค์ตลอดไป
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ในวันนี้ ผู้เขียนฮีบรูพูดถึงเหตุการณ์ ‘ครั้งเดียว’ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล มันเปลี่ยนเส้นทางของประวัติศาสตร์และมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราทั้งหมด พระเยซูทรงปรากฏ ‘ครั้งเดียวเท่านั้น’ (ฮีบรู 9:26) ‘พระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวเป็นพอ’ (ข้อ 28) พระเยซูเสด็จเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์ครั้งเดียวเป็นพอด้วย ‘พระโลหิตของพระองค์เอง’ (ข้อ 12) ‘เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ครั้งเดียวเป็นพอ’ (10:10) เหตุการณ์ ‘ครั้งเดียว’ นี้เกิดขึ้นจากความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามีต่อเรา และมีความหมายอย่างมากต่อชีวิตของคุณและของผม
สดุดี 121:1-8
มั่นใจในการปกป้องของพระเจ้า
บทเพลงใช้แห่ขึ้น
1ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา
ความช่วยเหลือของข้าพเจ้ามาจากไหน?
2ความช่วยเหลือของข้าพเจ้ามาจากพระยาห์เวห์
ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
3พระองค์จะไม่ทรงให้เท้าของท่านสะดุดล้ม
พระองค์ผู้ทรงอารักขาท่านจะไม่เคลิ้มหลับไป
4ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงอารักขาอิสราเอล
จะไม่ทรงหลับสนิทหรือนิทรา
5พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้อารักขาท่าน
พระยาห์เวห์ทรงเป็นร่มเงาที่ขวามือของท่าน
6ดวงอาทิตย์จะไม่โจมตีท่านในเวลากลางวัน
หรือดวงจันทร์ในเวลากลางคืน
7พระยาห์เวห์จะทรงอารักขาท่านให้พ้นภยันตรายทั้งสิ้น
พระองค์จะทรงอารักขาชีวิตของท่าน
8พระยาห์เวห์จะทรงอารักขาการเข้าออกของท่าน
ตั้งแต่บัดนี้สืบไปเป็นนิตย์
อรรถาธิบาย
พระเจ้าจะระแวดระวังและปกป้องคุณ
เมื่อคุณมีปัญหา หรือคุณไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ที่แรกที่คุณมอง คือ ที่ใด? คุณมองหาเพื่อน ครอบครัว หรือหมอหรือไม่? ไม่แปลกอะไรในการขอความช่วยเหลือจากทุกทิศทาง แต่ที่แรกที่ผู้เขียนพระธรรมสดุดีมอง คือมองขึ้นไปข้างบน
ความเสียใจมองย้อนกลับไป ความกลัวมองไปรอบ ๆ ความกังวลมองเข้ามา แต่ความเชื่อนั้นมองขึ้นข้างบน
ผู้เขียนพระธรรมสดุดีเงยหน้าขึ้นมอง ‘ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา ความช่วยเหลือของข้าพเจ้ามาจากไหน?’ (ข้อ 1) ความช่วยเหลือ ความแข็งแกร่ง และการปกป้องของคุณมาจากผู้สร้างจักรวาล ‘กำลังของฉันมาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างสวรรค์โลกและภูเขา’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘พระองค์จะไม่ทรงทำให้เท้าของท่านสะดุดล้ม พระองค์ผู้อารักขาท่านจะไม่เคลิ้มหลับไป’ (ข้อ 3)
พระธรรมสดุดีที่งดงามเป็นเรื่องราวของความรักของพระเจ้าและการปกป้องของพระองค์ต่อชีวิตของคุณ
‘พระเจ้าผู้อารักขาของเจ้า
อยู่เคียงข้างเจ้าเพื่อคุ้มครองเจ้า...
พระเจ้าพิทักษ์เจ้าจากความชั่วร้ายทั้งปวง
พระองค์ปกป้องชีวิตเจ้า
ทรงคุ้มครองเจ้าตอนออกไปและตอนกลับมา
พระองค์ปกป้องเจ้าวันนี้และคุ้มครองเจ้าตลอดไป’ (ข้อ 5–8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
บางครั้ง ผมใช้พระธรรมตอนนี้ในการอธิษฐานเผื่อครอบครัว หรือผองเพื่อนที่มีความยากลำบากในชีวิต
คำสัญญาในพระธรรมสดุดีนี้ คือ พระเจ้าจะทรงปกป้องคุณจากอันตรายร้ายแรงทั้งหมด ผู้เขียนสดุดีไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ผ่านการเสียสละของพระเยซู ‘ครั้งเดียวเป็นพอ’ ซึ่งหมายความว่าวันหนึ่งพระองค์จะเสด็จมา ‘นำความรอดมาให้บรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อ’ (ฮีบรู 9:28)
คำอธิษฐาน
ฮีบรู 9:16-28
16เพราะว่าในกรณีที่เกี่ยวกับหนังสือพินัยกรรมหนังสือพินัยกรรม ก็จะต้องพิสูจน์ว่าผู้ทำหนังสือนั้นตายแล้ว 17คนนั้นต้องตายเสียก่อน หนังสือพินัยกรรมจึงจะมีผล แต่ถ้าผู้ทำยังมีชีวิตอยู่ พินัยกรรมนั้นก็ใช้ไม่ได้ 18เหตุฉะนั้นแม้แต่พันธสัญญาเดิมก็ไม่ได้ทรงตั้งขึ้นโดยปราศจากเลือด 19เพราะเมื่อโมเสสประกาศบัญญัติทุกข้อในธรรมบัญญัติแก่บรรดาประชาชนแล้ว ท่านก็เอาเลือดลูกวัวเลือดแพะกับน้ำ และเอาขนแกะสีแดงและต้นหุสบมาประพรมหนังสือม้วนนั้นรวมทั้งประชาชนทั้งปวงด้วย 20ท่านกล่าวว่า “นี่คือโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าทรงบัญญัติไว้แก่เจ้าทั้งหลาย” 21แล้วท่านก็เอาเลือดประพรมพลับพลากับเครื่องใช้ทุกชนิดในพิธีนมัสการนั้นเช่นเดียวกัน 22แท้จริงตามธรรมบัญญัตินั้นถือว่าเกือบทุกสิ่งได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ได้ด้วยเลือด และถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว ก็จะไม่มีการยกโทษบาปเลย
บาปถูกขจัดโดยการถวายบูชาของพระคริสต์
23เพราะฉะนั้น แบบจำลองของสวรรค์จึงจำเป็นต้องถูกชำระให้บริสุทธิ์โดยใช้เครื่องบูชาเช่นนี้ แต่ว่าของจริงจากสวรรค์นั้นต้องชำระให้บริสุทธิ์ด้วยเครื่องบูชาอันประเสริฐกว่านั้น 24เพราะว่าพระคริสต์ไม่ได้เสด็จเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ ซึ่งถอดแบบจากของจริง แต่พระองค์เสด็จเข้าไปในสวรรค์นั้นเอง เพื่อทรงปรากฏตัวต่อพระพักตร์พระเจ้าเพื่อพวกเรา 25ไม่ใช่เพื่อทรงถวายพระองค์เองซ้ำอีก ไม่เหมือนมหาปุโรหิตที่เข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์ทุกปี โดยนำเอาเลือดซึ่งไม่ใช่ของตัวเองเข้าไปด้วย 26เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น พระองค์คงจะต้องทรงทนทุกข์หลายครั้งนับตั้งแต่สร้างโลกมา แต่ความจริง พระองค์ทรงปรากฏครั้งเดียวเท่านั้นในปลายยุค เพื่อกำจัดบาปให้หมดสิ้นไปโดยการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา 27ตามที่มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษาฉันใด 28พระคริสต์ก็ฉันนั้น คือพระองค์ทรงถวายพระองค์เองครั้งเดียวเป็นพอ เพื่อจะได้ทรงแบกบาปของคนจำนวนมากไว้ แล้วพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อกำจัดบาปไม่ใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อนำความรอดมาให้บรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อ
อรรถาธิบาย
พระเยซูสละพระองค์เองเพื่อคุณ
คุณรู้ไหมว่าพระเจ้ารักคุณมากแค่ไหน? คุณรู้หรือไม่ว่าพระเยซูทรงหลั่งพระโลหิตเพื่อคุณจะได้รับการอภัยทั้งสิ้น? คุณเข้าใจหรือไม่ว่าพระองค์ทรงจ่ายราคาสำหรับบาปทุกอย่างที่คุณเคยทำในอดีตและบาปทุกอย่างที่คุณทำในอนาคต?
ทำไมการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูจึงจำเป็น? ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า ทั้งในกรณีของพินัยกรรม และพันธสัญญา (ใช้คำภาษากรีกตัวเดียวกัน) จะไม่มีผลบังคับใช้หากไม่มีการตาย ความตายนำไปสู่การรับมรดกจากผู้อื่น
‘พันธสัญญาเดิมก็ไม่ได้ทรงตั้งขึ้นโดยปราศจากเลือด’ (ข้อ 18) แล้วอธิบายรายละเอียดต่อไปว่า ‘โลหิตแห่งพันธสัญญา (เก่า)’ และสรุปว่า ‘ถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว ก็จะไม่มีการยกโทษบาปเลย’ (ข้อ 19–22)
ผู้เขียนปรียบเทียบการเสียสละของพระเยซู กับเครื่องบูชาที่ต่ำต้อยกว่า ภายใต้ธรรมบัญญัติอยู่ 3 ประการ
พระเยซูทรงรับมือกับสิ่งที่เป็นของจริง ‘พระคริสต์ไม่ได้เข้าสถานศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่เข้าไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสถานที่จริง และถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป’ (ข้อ 24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
การถวายเครื่องบูชาของพระเยซู ‘ครั้งเดียวเป็นพอ’
‘ไม่ใช่เพื่อทรงถวายพระองค์เองซ้ำอีก ไม่เหมือนมหาปุโรหิตที่เข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์ทุกปี’ (ข้อ 25) แต่ ‘มนุษย์ทุกคนตายครั้งเดียวแล้วต้องไปรับผลการกระทำ การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่เครื่องบูชานั้นจัดการกับบาปตลอดไป’ (ข้อ 27–28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)พระเยซูทรงถวายพระโลหิตของพระองค์เอง
พระเยซูไม่ได้ถวาย ‘เลือดซึ่งไม่ใช่ของตัวเองเข้าไปด้วย’ (ข้อ 25) ไม่เหมือนกับมหาปุโรหิต แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป (ข้อ 12)
ไมจำเป็นต้องมีการถวายเครื่องเผาบูชาอีกต่อไป: ‘การถวายสัตวบูชาเหล่านี้ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว หลังจากทำตามวัตถุประสงค์แล้ว’ (ข้อ 23, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ตามที่หนังสือภาวนาแองกลิกันเขียนไว้ว่า ครั้งเดียวสำหรับการสละพระชนม์ของพระเยซูนั้นเป็น ‘เครื่องบูชาที่ครบถ้วนสมบูรณ์และเพียงพอต่อบาปของคนทั้งโลก ขณะที่พระเยซูตรัส บนไม้กางเขนว่า ‘สำเร็จแล้ว’ (ยอห์น 19:30)
เมื่อพระเยซูเสด็จมาอีกครั้ง จะไม่เป็น ‘การแบกบาปเอาไว้’ แต่เพื่อ‘นำความรอดมาให้บรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์’ (ฮีบรู 9:28)
คำอธิษฐาน
เอเสเคียล 17:1-18:32
นกอินทรีสองตัวและเถาองุ่น
1พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้าว่า 2“บุตรมนุษย์เอ๋ย จงยกปริศนาและกล่าวเป็นอุปมาแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล 3ให้กล่าวว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า
มีนกอินทรีมหึมาตัวหนึ่ง มีปีกใหญ่และขนปีกยาว
ทั้งมีขนมากมายและหลากสี
มันมายังเลบานอน
มันมาเอายอดของต้นสนสีดาร์
4มันเด็ดยอดกิ่งอ่อน
แล้วก็คาบไปยังแผ่นดินพาณิชย์
และวางไว้ในเมืองของพวกพ่อค้า
5แล้วมันก็เอาเมล็ดพืชแห่งแผ่นดิน
ไปปลูกไว้ในดินอุดม
มันเอาเมล็ดไว้ที่ข้างน้ำมากหลาย
ตั้งไว้เหมือนกิ่งต้นหลิว
6เมล็ดก็งอกขึ้นมาและเติบโตขึ้น
เป็นเถาองุ่นเตี้ยที่แผ่แขนง
กิ่งทั้งหลายของต้นนี้ก็ทอดมายังตัวนกอินทรี
และรากก็ยังคงอยู่ใต้มัน
เมล็ดจึงกลายเป็นเถาองุ่น
มันแตกหน่อและงอกกิ่งก้านใหญ่
7“แต่มีนกอินทรีตัวมหึมาอีกตัวหนึ่ง
มีปีกใหญ่และมีขนมาก
ดูสิ เถาองุ่นนี้ก็ชอนราก
ไปหานกอินทรีตัวนี้
และทอดกิ่งไปยังนกตัวนี้
จากร่องที่ปลูกอยู่นั้น
เพื่อให้นกนี้รดน้ำให้มัน
8แม้ว่ามันได้ถูกปลูกไว้
ในที่ดินดีใกล้น้ำมากหลายแล้ว
เพื่อให้แตกแขนงและเกิดผล
ให้เป็นเถาองุ่นที่ดีเลิศ
9“จงกล่าวว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า
เถานั้นจะเจริญหรือ?
นกตัวนั้นจะไม่ถอนรากมันขึ้น
และเด็ดผลมันหรือ?
และเถานั้นก็เหี่ยวแห้ง
ทุกส่วนที่งอกใหม่ของมันจะเหี่ยวแห้ง
ไม่ต้องใช้แขนที่ล่ำสันหรือคนจำนวนมาก
ก็สามารถถอนมันออกทั้งราก
10ดูสิ แม้มันถูกย้ายไปปลูกใหม่ มันจะเจริญขึ้นหรือ?
เมื่อลมทิศตะวันออกพัดถูกมันเข้า
มันก็จะเหี่ยวแห้งไม่ใช่หรือ? คือเหี่ยวแห้งไปถึงร่องที่มันเกิดมานั้น”
11พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้าอีกว่า 12“จงกล่าวกับพงศ์พันธุ์มักกบฏนั้นว่า พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าสิ่งเหล่านี้มีความหมายอะไร? จงบอกว่า ดูสิ พระราชาแห่งบาบิโลนได้มายังกรุงเยรูซาเล็ม แล้วนำเอากษัตริย์และเจ้านายทั้งหลายมาให้ตนเองที่กรุงบาบิโลน 13และเขาได้เอาเชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งมา แล้วทำพันธสัญญากับผู้นั้นและให้ผู้นั้นสาบานตัว (แต่เขานำเอาพวกคนสำคัญๆ ของแผ่นดินนั้นไป 14เพื่อว่าอาณาจักรนั้นจะอ่อนแอและตั้งตัวขึ้นอีกไม่ได้ เพื่อการรักษาพันธสัญญาของเขาจะอยู่อย่างต่อเนื่อง) 15แต่เขาผู้นั้นได้กบฏต่อพระราชา โดยส่งทูตของเขาไปยังอียิปต์ ด้วยหวังว่าจะได้ม้าและกำลังคนมามากมาย เขาผู้นั้นจะเจริญหรือ? เขาจะหนีรอดหรือ? เขาผู้ทำสิ่งเหล่านี้และหักพันธสัญญาจะหนีรอดหรือ? 16พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่นอนอย่างไร คนผู้นั้นจะต้องตายในสถานที่ของพระราชาผู้ได้ตั้งเขาให้เป็นกษัตริย์ คือตายในกรุงบาบิโลนของพระราชาซึ่งคนผู้นั้นได้ดูหมิ่นคำสาบานต่อพระราชา และได้หักพันธสัญญาที่ทำไว้กับพระราชา 17ฟาโรห์ผู้มีกองทัพใหญ่โต และมีพลพรรคมากมายจะไม่ช่วยเขาผู้นั้นในการสงคราม เมื่อมีการก่อเชิงเทินและก่อกำแพงล้อม เพื่อจะทำลายชีวิตจำนวนมาก 18เพราะเขาผู้นั้นดูหมิ่นคำสาบานและหักพันธสัญญา และเพราะเขาได้สาบานตนแต่ยังทำสิ่งเหล่านี้ เขาจะหนีรอดไปไม่ได้ 19เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เพราะเรามีชีวิตอยู่แน่นอนอย่างไร คำปฏิญาณของเราที่เขาได้ดูหมิ่น และพันธสัญญาของเราที่เขาได้หักเสีย เราจะลงทัณฑ์ให้ตกเหนือศีรษะของเขาผู้นั้น 20เราจะกางข่ายของเราคลุมเขา แล้วเขาจะติดกับของเรา และเราจะนำเขาเข้าไปในบาบิโลน และจะพิพากษาเขาที่นั่นในความอสัตย์ของเขาที่เขาได้ทรยศเรา 21ส่วนพวกที่พ่ายหนีทั้งหมดของกองทัพจะล้มลงด้วยดาบ และพวกที่รอดตายจะกระจายไปในทุกทิศทางลม แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือยาห์เวห์ผู้ได้ลั่นวาจาไว้แล้ว”
สุดท้ายอิสราเอลจะรับการยกชู
22พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า
“เราเองจะเอาจากปลายยอดสูง
ของต้นสนสีดาร์มาปักไว้
เราจะหักหน่ออ่อน
จากยอดของมันมา
และเราเองจะปลูกมันไว้
บนภูเขาที่สูงเด่น
23เราจะปลูกมันไว้
บนภูเขาสูงของอิสราเอล
แล้วมันจะแตกกิ่งและเกิดผล
และกลายเป็นต้นสนสีดาร์ที่งามสง่า
แล้วนกทุกชนิดจะมาอาศัยอยู่ใต้มัน
นกทุกอย่างจะมาทำรัง
ที่ร่มเงาของกิ่งมัน
24และต้นไม้ทุกต้นในทุ่งจะรู้ว่า
เราคือยาห์เวห์
เราทำต้นไม้สูงให้เตี้ยลง
และทำต้นไม้เตี้ยให้สูงขึ้น
ทำต้นไม้เขียวให้แห้งไป
และทำต้นไม้แห้งให้งามสดชื่น
เราคือยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาแล้ว
และเราจะทำเช่นนั้น”
เอเสเคียล 18
การลงโทษแต่ละบุคคล
1พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้าอีกว่า 2“เจ้าทั้งหลายกล่าวสุภาษิตนี้ที่เกี่ยวกับแผ่นดินอิสราเอลด้วยความหมายอะไร? คือเมื่อกล่าวว่า ‘พ่อกินองุ่นเปรี้ยว และลูกก็เข็ดฟัน’ ” 3พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่อย่างไร เจ้าทั้งหลายจะไม่ใช้สุภาษิตนี้ในอิสราเอลอีก 4นี่แน่ะ ชีวิตทั้งหมดเป็นของเรา ชีวิตบิดาเป็นของเราเช่นเดียวกับที่ชีวิตบุตรก็เป็นของเรา ชีวิตใดที่ทำบาปก็จะต้องตาย
5“ถ้าใครเป็นคนชอบธรรม และทำความยุติธรรมและความชอบธรรม 6ถ้าคนนั้นไม่ได้กินที่ภูเขาหรือเงยหน้าต่อรูปเคารพของพงศ์พันธุ์อิสราเอล และไม่ได้ทำให้ภรรยาเพื่อนบ้านเป็นมลทิน หรือเข้าหาผู้หญิงในเวลาเธอมีประจำเดือน 7เขาไม่ได้บีบบังคับคนหนึ่งคนใด แต่คืนของประกันให้แก่ลูกหนี้ ไม่เคยปล้นทรัพย์ แต่ให้อาหารของเขาแก่คนที่หิว และให้เสื้อผ้าคลุมกายคนที่เปลือย 8ทั้งไม่ได้ให้กู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยหรือเอาเงินเพิ่ม เขาหันมือจากความอยุติธรรม แต่ทำความยุติธรรมอย่างสัตย์จริงระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน 9เขาดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และรักษากฎหมายของเราโดยทำอย่างซื่อสัตย์ คนผู้นั้นเป็นคนชอบธรรม เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน” พระยาห์เวห์ องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ
10“ถ้าเขามีบุตรเลวร้ายผู้ทำให้โลหิตตก ผู้ได้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดในสิ่งเหล่านี้ 11(ตัวคนนั้นเองไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้) คือบุตรนั้นรับประทานที่ภูเขา ทำให้ภรรยาเพื่อนบ้านเป็นมลทิน 12เขาบีบบังคับคนจนและคนขัดสน ทั้งปล้นทรัพย์ ไม่ยอมคืนของประกัน เขาเงยหน้าต่อรูปเคารพ และทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนต่างๆ 13ให้กู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยหรือเอาเงินเพิ่ม เขาจะมีชีวิตอยู่ได้หรือ? เขาจะไม่มีชีวิตอยู่ เขาได้ทำสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งหมดนี้ เขาจะต้องตายแน่นอน โลหิตของเขาจะตกอยู่บนตัวเขา
14“แต่ถ้าคนที่กล่าวมานี้มีบุตรผู้มองเห็นบาปทั้งหมดที่บิดาของเขาได้ทำ บุตรของคนนี้มองเห็นแต่ไม่ได้ทำตามเขา 15บุตรของคนนี้ไม่ได้รับประทานที่ภูเขา และไม่ได้เงยหน้าต่อรูปเคารพของพงศ์พันธุ์อิสราเอล หรือทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านเป็นมลทิน 16ทั้งไม่ได้บีบบังคับผู้ใด ไม่เอาของประกัน ไม่ปล้นทรัพย์ แต่เขาให้อาหารแก่คนหิว และให้เสื้อผ้าคลุมกายแก่คนที่เปลือย 17เขาหันมือจากการเบียดเบียนคนจน ไม่ได้เอาดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่ม เขาทำตามกฎหมายทั้งหลายของเรา และดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา เขาจะไม่ตายเพราะความผิดบาปของบิดาเขา เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน 18แต่บิดาของเขาหาเงินด้วยการบีบบังคับ และปล้นทรัพย์ของพี่น้อง ทำแต่สิ่งไม่ดีในท่ามกลางชนชาติของเขา นี่แน่ะ บิดาของเขาก็จะต้องตายเพราะความผิดบาปของตัวเอง
19“แต่พวกเจ้ายังกล่าวว่า ‘ทำไมบุตรจึงไม่รับโทษความชั่วของบิดาของตน?’ เมื่อบุตรได้ทำความยุติธรรมและความชอบธรรมแล้ว ทั้งได้รักษากฎเกณฑ์ทั้งหมดของเราและได้ทำตาม เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน 20ตัวคนที่ทำบาปจะต้องตาย บุตรไม่ต้องรับโทษความผิดบาปของบิดา บิดาก็ไม่ต้องรับโทษความผิดบาปของบุตร คนชอบธรรมจะรับผลความชอบธรรมของตน และคนอธรรมจะรับผลการอธรรมของตน
21“แต่ถ้าคนอธรรมคนใดหันกลับจากบาปทั้งหมดซึ่งเขาได้ทำไป และรักษากฎเกณฑ์ทั้งหมดของเรา ทั้งทำความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เขาจะไม่ตาย 22การละเมิดทุกอย่างซึ่งเขาได้ทำแล้วนั้นจะไม่ถูกจดจำไว้เพื่อเอาโทษเขา เขาจะมีชีวิตอยู่ด้วยความชอบธรรมที่เขาได้ทำไป 23พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสว่า เราพอใจในความตายของคนอธรรมหรือ? แต่เราพอใจให้เขาหันกลับจากทางของเขาและมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ? 24แต่เมื่อคนชอบธรรมหันจากความชอบธรรมของเขา และทำบาป ทั้งทำสิ่งน่าสะอิดสะเอียนเช่นเดียวกับที่คนอธรรมได้ทำ เขาจะมีชีวิตอยู่หรือ? ความชอบธรรมซึ่งเขาได้ทำมาแล้วนั้นจะไม่ถูกจดจำไว้อีก เขาจะต้องตายเนื่องด้วยการทรยศซึ่งเขาได้ทำและบาปซึ่งเขาทำไป
25“แต่พวกเจ้ายังกล่าวว่า ‘ทางขององค์เจ้านายไม่ยุติธรรม’ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด ทางของเราไม่ยุติธรรมหรือ? ทางของเจ้าไม่ใช่หรือที่ไม่ยุติธรรม? 26เมื่อคนชอบธรรมหันจากความชอบธรรมของเขาและทำบาป เขาจะต้องตายเพราะการนั้น เขาจะต้องตายเพราะบาปที่เขาทำ 27แต่เมื่อคนอธรรมหันกลับจากการอธรรมที่เขาทำไป และทำความยุติธรรมและทำความชอบธรรม เขาก็ได้ช่วยชีวิตของเขาเองไว้ 28เพราะเขาได้ตรึกตรองและหันกลับจากการล่วงละเมิดซึ่งเขาได้ทำไป เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เขาจะไม่ตาย 29แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลกล่าวว่า ‘ทางขององค์เจ้านายไม่ยุติธรรม’ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ทางของเราไม่ยุติธรรมหรือ? ทางของเจ้าไม่ใช่หรือที่ไม่ยุติธรรม?
30“พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสว่า โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เพราะฉะนั้น เราจะพิพากษาเจ้าแต่ละคนตามทางของเขา จงหันกลับและหันเสียจากการล่วงละเมิดทั้งหมดของเจ้า แล้วเจ้าจะไม่สะดุดล้มเพราะความผิดบาป 31จงละทิ้งการล่วงละเมิดทั้งหมดซึ่งเจ้าได้ทำ จงทำตัวให้มีใจใหม่และวิญญาณใหม่ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ทำไมเจ้าจะต้องตายเล่า? 32เราไม่มีความพอใจในความตายของผู้ใด จงหันกลับและมีชีวิตอยู่” พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ
อรรถาธิบาย
จงหันกลับมา!
ถึงแม้การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเพื่อเราจะเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นครั้งเดียว ในความรักนั้นพระเจ้าทรงเตรียมประชากรของพระองค์ มาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปีแล้ว พระองค์ทรงเตือนเรื่องผลร้ายแรงของบาป และให้เล็งเห็นถึงพระผู้ช่วยให้รอด
พระวจนะของพระเจ้ามาถึงประชากรของพระองค์ผ่านการเปรียบเปรยและอุปมา (17:1) บริบทของการเปรียบเปรย คือ ‘นกอินทรีมหึมาตัวหนึ่ง’ (ข้อ 3) ของบาบิโลนที่นำตัวกษัตริย์เยโฮยาคิมจากยูดาห์ไปยังบาบิโลนในปี 597 ก่อนคริสตกาล แต่การเปรียบเปรยนั่นมากยิ่งกว่านั้น
หน่อมีสองปะเภท เถาองุ่นก็มีสองประเภทและแผ่นดินก็มีสองประเภท มีแผ่นดินโลกนี้ที่มนุษย์สร้างขึ้น ที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งมาก ใช้ทรัพยากรที่ดีที่สุดทั้งหมด ดูเหมือนจะเจริญรุ่งเรือง แต่ในที่สุดจะเหี่ยวเฉาตายไปและไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ในทางกลับกันมีแผ่นดินของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเริ่มต้นจากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เกิดผลรุ่งเรืองและเกิดผลถาวร (ดู มัทธิว 13:31–32 และวิวรณ์ 22)
เมื่อเราอ่านพระธรรมตลอดทั้งบทผ่านมุมมองของพระเยซู เราจะพบคำใบ้ของการไถ่บาปของพระองค์ ‘ครั้งเดียวเป็นพอ’ คำว่า ‘หน่อ’ (เอเสเคียล 17:22) เป็นภาษาที่อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะใช้เพื่อสื่อถึงพระเมสสิยาห์ โดยเป็นการทำนายการเสด็จมาของพระเยซู (อิสยาห์ 53:2) ผู้ที่ถูกแทงเพราะความทรยศของเรา (ข้อ 5) ทรงวางความผิดบาปของเราทุกคนบนตัวท่าน (ข้อ 6) พระองค์เป็นผู้ที่ทำให้พระองค์เองเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
เอเสเคียลพูดต่อ ‘เจ้าตายเพราะบาปของเจ้าเอง ไม่ใช่ของคนอื่น’ (เอเสเคียล 18:4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘ตัวคนที่ทำบาปจะต้องตาย’ (ข้อ 20) ก่อนหน้านี้เอเสเคียลกล่าวว่าเป็นความรับผิดชอบของพงศ์พันธ์ุ (17:12) ตอนนี้เขาพูดถึงความรับผิดชอบรายบุคคล เราต้องรับผิดชอบต่อชีวิตเราเอง บุตรไม่ต้องรับโทษความผิดของบิดา บิดาไม่ต้องรับโทษความผิดของบุตร (18:20) แต่รับโทษความผิดของตัวเอง
พระเจ้าทรงรักทุกคน ทรงไม่อยากให้ใครถูกพิพากษา ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสว่า“เราพอใจในความตายของคนอธรรมหรือ? แต่เราพอใจให้เขาหันกลับจากทางของเขาและมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ?”’ (ข้อ 23)
พระองค์สรุปทั้งหมดในข้อนี้ ‘เราจะพิพากษาเจ้าตามการกระทำของเจ้า ดังนั้น จงหันกลับมา! หันหลังให้กับการมีชีวิตแห่งการกบฎเพื่อบาปจะไม่ลากเจ้าลง ให้ทำความสะอาด.... จงรับเอาใจใหม่! จงรับเอาวิญญาณใหม่! (ข้อ 30–31, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ข้อพระคัมภีร์นี้จบด้วยข้อความที่เตือนว่ามีความเป็นไปได้คือ ‘จงหันกลับและมีชีวิตอยู่!’ (ข้อ 32)
นี่คือข่าวที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าคุณจะเคยล้มกี่ครั้ง ไม่ว่าชีวิตของคุณจะยุ่งเหยิงแค่ไหนก็ตาม คุณสามารถตัดความสัมพันธ์กับอดีตได้ เพียง ‘กลับใจ’ คือ หันจากทางที่ไม่ดีและหันไปหาพระเยซู คุณได้รับการอภัย ได้รับใจใหม่ และวิญญาณใหม่ และสามารถเพลิดเพลินกับความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ด้วยการถวายเครื่องบูชาของพระองค์เพื่อไถ่บาปเพียงครั้งเดียว
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
สดุดี 121:7–8
‘พระยาห์เวห์จะทรงอารักขาท่านให้พ้นภยันตรายทั้งสิ้น พระองค์จะทรงอารักขาชีวิตของท่าน พระยาห์เวห์จะทรงอารักขาการเข้าออกของท่านตั้งแต่บัดนี้สืบไปเป็นนิตย์’
ฉันอธิษฐานข้อนี้หลายครั้งเพื่อตัวเอง ครอบครัว และเพื่อน ๆ ของฉัน ช่างเป็นคำปลอบโยน และหนุนใจจริง ๆ
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 121:7
‘พระยาห์เวห์จะทรงอารักขาท่านให้พ้นภยันตรายทั้งสิ้น พระองค์จะทรงอารักขาชีวิตของท่าน’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)