วัน 311

คำตอบของความโดดเดี่ยว

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 120:1-7
พันธสัญญาใหม่ ฮีบรู 8:1-13
พันธสัญญาเดิม เอเสเคียล 13:1-15:8

เกริ่นนำ

ผมจำได้ว่าเคยอ่านบทความหนึ่งใน The Big Issue (นิตยสารที่ขายและช่วยเหลือโดยคนไร้บ้าน) ชื่อ ‘Single Lives’ ชี้ให้เห็นว่าภาพความเหงาของคนส่วนใหญ่ในลอนดอนเป็นภาพหญิงชราที่อ่อนแอซึ่งติดอยู่ที่ชั้นยี่สิบสี่ของแฟลต ในความเป็นจริง อาจเป็นชายหนุ่มที่แต่งตัวตามแฟชั่นและพยายามอย่างยิ่งที่จะสนทนากับผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างเขาในบาร์ที่มีผู้คนพลุกพล่าน การถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมายอาจยังทำให้เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวได้อยู่ดี

แม่ชีเทเรซากล่าวว่า ‘ความโดดเดี่ยวและความรู้สึกถูกละเลยและไม่เป็นที่ต้องการเป็นความยากจนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด’ ความโดดเดี่ยวเป็นหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่มนุษยชาติเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

เดสมอนด์ ตูตู เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์ผู้โดดเดี่ยว คำนี้ดูเป็นอะไรที่ขัดแย้ง’ เขากล่าวต่อว่า ‘มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อเกื้อกูลกัน ถูกสร้างขึ้นสำหรับเครือข่ายความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อน มีการพึ่งพาอาศัยกันกับเพื่อนมนุษย์ของเรา... เราอยู่ในครอบครัวเดียวกัน ครอบครัวของพระเจ้า ครอบครัวมนุษย์... สิ่งที่ดีที่สุดคือความสามัคคีของชุมชน’

พระเจ้าไม่ได้ตั้งใจให้คุณรู้สึกโดดเดี่ยวและอยู่ลำพัง ความโดดเดี่ยวได้มีการอธิบายว่าเป็น ‘ความคิดถึงครอบครัวของพระเจ้า’ พระเจ้าสร้างคุณสำหรับชุมชน เรียกคุณเข้าสู่ความสัมพันธ์อันเป็นที่รักกับพระองค์และกับมนุษย์คนอื่น ๆ

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 120:1-7

คำอธิษฐานขอการช่วยกู้ให้พ้นจากผู้กล่าวร้าย

บทเพลงใช้แห่ขึ้น
1เมื่อข้าพเจ้าทุกข์ใจ ข้าพเจ้าได้ร้องทูลพระยาห์เวห์
 และพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า
2“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากริมฝีปากมุสา
 ให้พ้นจากลิ้นที่ล่อลวง”
3แน่ะ ลิ้นที่ล่อลวงเอ๋ย
 พระองค์จะประทานสิ่งใดแก่เจ้า?
 และจะทรงเพิ่มเติมสิ่งใดแก่เจ้าอีก?
4ลูกธนูคมของนักรบ
 กับถ่านไม้ซากที่ลุกโพลง น่ะซี
5วิบัติแก่ข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าอาศัยกับคนเมเชค
 ที่พักอยู่ท่ามกลางเต็นท์ของคนเคดาร์
6ข้าพเจ้าพักอยู่นานเกินไปแล้ว
 กับผู้เกลียดสันติภาพ
7ข้าพเจ้าชอบสันติภาพ แต่เมื่อข้าพเจ้าพูด
 พวกเขาหนุนสงคราม

อรรถาธิบาย

ชุมชนที่มีสันติสุข

เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความก้าวร้าว ความแตกแยก และความสัมพันธ์ที่แตกสลาย

สาเหตุหลักประการหนึ่งของความโดดเดี่ยว คือ ‘การทะเลาะวิวาท’ (ข้อ 6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ซึ่งนำไปสู่การพังทลายของความสัมพันธ์ เราเห็นสิ่งนี้ทุกที่ที่เรามอง ไม่ว่าจะเป็นชีวิตสมรสที่ล้มเหลวง การแตกร้าวของครอบครัว การแตกแยกระหว่างเพื่อน เพื่อนร่วมงาน และเพื่อนบ้าน

สัมพันธภาพระหว่างอาดัม และเอวากับพระเจ้าถูกทำลายลง สิ่งนี้นำไปสู่การแยกกันระหว่างอาดัมและเอวาเอง คาอินและอาเบลก็แตกแยกกัน เหลือไว้เพียงประวัติศาสตร์

ผู้เขียนพระธรรมสดุดีรู้สึกโดดเดี่ยวราวกับอยู่ในต่างแดน (ข้อ 5) คุณเคยรู้สึกเหมือนเขาไหม? เขาถูกห้อมล้อมด้วยริมฝีปากมุสาและลิ้นที่ล่อลวง (ข้อ 2) ผู้คนที่เขาอาศัยอยู่ท่ามกลางความเกลียดชังสันติภาพ (ข้อ 6) และกำลังทำสงคราม (ข้อ 7) คุณเคยรู้สึกถึงการใช้ชีวิตท่ามกลาง ‘เพื่อนบ้านทะเลาะวิวาท’ หรือไม่? (ข้อ 6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ในยามทุกข์ใจ จงร้องทูลพระยาห์เวห์เพื่อช่วยท่านให้รอด แล้วพระองค์จะทรงตอบท่าน (ข้อ 1) จงเป็นคนที่มีสันติสุข ทำตรงกันข้ามกับคนรอบข้าง (ข้อ 7) นี่คือลักษณะของประชากรของพระเจ้า พระเยซูตรัสว่า ‘คนที่สร้างสันติก็เป็นสุข เพราะพระเจ้าจะทรงเรียกเขาทั้งหลายว่าเป็นลูก’ (มัทธิว 5:9)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้หลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาทโดยไม่จำเป็นและเป็นผู้สร้างสันติในครอบครัว ที่ทำงาน และชุมชน
พันธสัญญาใหม่

ฮีบรู 8:1-13

มหาปุโรหิตแห่งพันธสัญญาใหม่อันประเสริฐกว่า

 1สรุปประเด็นสำคัญของเรื่องที่เราพูดอยู่นี้คือ เรามีมหาปุโรหิตอย่างนี้ ผู้ประทับเบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้าในสวรรค์ 2เป็นผู้ปฏิบัติกิจในสถานศักดิ์สิทธิ์และในพลับพลาแท้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตั้งไว้ ไม่ใช่มนุษย์ตั้ง 3เพราะว่ามหาปุโรหิตทุกคนได้รับการแต่งตั้งขึ้นเพื่อนำของถวายและเครื่องบูชามาถวาย เพราะเหตุนี้มหาปุโรหิตผู้นี้จึงจำเป็นจะต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดถวายด้วย 4ถ้าพระองค์ทรงอยู่ในโลก พระองค์ก็คงไม่ได้เป็นปุโรหิต เพราะว่ามีปุโรหิตที่นำของมาถวายตามธรรมบัญญัติอยู่แล้ว 5ปุโรหิตเหล่านั้นปฏิบัติกิจในพลับพลา ที่เป็นแต่แบบจำลองและเงาของสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ ดังโมเสสเมื่อท่านจะตั้งพลับพลานั้น พระเจ้าก็ตรัสสั่งว่า “จงระวังที่จะทำทุกสิ่งตามแบบที่เราแจ้งแก่เจ้าบนภูเขา” 6แต่บัดนี้พระเยซูทรงได้รับพันธกิจที่สูงส่งกว่าของพวกเขา เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาอันประเสริฐกว่า ซึ่งตั้งอยู่บนพระสัญญาที่ประเสริฐกว่า 7เพราะว่าถ้าพันธสัญญาเดิมนั้นไม่มีข้อบกพร่องแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีพันธสัญญาที่สองอีก

 8เพราะพระเจ้าทรงติเตียนพวกเขาว่า

“องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่านี่แน่ะ วันเวลาจะมาถึง
 เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับชนชาติอิสราเอล
 และกับชนชาติยูดาห์
9 ที่ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราเคยทำกับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย
 ในวันที่เราจูงมือพวกเขาเพื่อพาออกจากแผ่นดินอียิปต์
เพราะพวกเขาไม่ได้ดำรงอยู่ในพันธสัญญาของเรา
 เราจึงละทิ้งพวกเขาไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แหละ
10 นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับชนชาติอิสราเอล
 ภายหลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส
เราจะบรรจุธรรมบัญญัติของเราไว้ในจิตใจของพวกเขา
 และเราจะจารึกมันไว้ในดวงใจของพวกเขา
และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา
 และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา
11 และพวกเขาจะไม่สอนเพื่อนบ้าน
 และพี่น้องของตนแต่ละคนว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’
เพราะเขาทุกคนจะรู้จักเรา
 ตั้งแต่คนต่ำต้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด
12 เพราะเราจะเมตตาต่อการอธรรมของพวกเขา
 และจะไม่จดจำบรรดาบาปของพวกเขาไว้เลย”

 13เมื่อพระองค์ตรัสถึงพันธสัญญาใหม่ พระองค์ก็ทรงถือว่าพันธสัญญาเดิมนั้นล้าสมัยแล้ว สิ่งที่กำลังล้าสมัยและเก่าไปนั้นก็ใกล้จะเสื่อมสูญ

อรรถาธิบาย

ชุมชน ‘ใหม่’

คริสตจักรท้องถิ่นคือ ‘ความหวังของโลก’ คริสตจักรในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ถูกอธิบายว่าเป็น ‘ประชากรของพระเจ้า’ ซึ่งคนของพระเจ้ารวมตัวกันในคริสตจักรท้องถิ่นทั่วโลก ผู้เขียนฮีบรูอ้างพระธรรมเยเรมีย์ว่า ‘เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา’ (ข้อ 10) คุณจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว และอยู่ลำพังอีกต่อไป คุณเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่น่าอัศจรรย์ที่สุด

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทำพันธสัญญากับผู้คนของพระองค์ อย่างไรก็ตาม ประชาชนไม่ได้ ‘ไม่ได้ดำรงอยู่ในพันธสัญญาของเรา’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเจ้าสัญญาว่าวันหนึ่งพระองค์จะทรงสร้างพันธสัญญาใหม่โดยพระองค์จะมีความสัมพันธ์ใหม่กับประชากรของพระองค์ ‘เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา’ (ข้อ 10)

ตอนนี้คุณดีกว่าคนเหล่านั้นที่อยู่ภายใต้พันธสัญญาเดิม ผู้เขียนกล่าวต่อไปว่า ‘พระเยซูทรงได้รับพันธกิจที่สูงกว่าพวกเขา เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาอันประเสริฐกว่า ซึ่งตั้งอยู่บนพระสัญญาที่ประเสริฐกว่า’ (ข้อ 6)

มีปัญหาบางอย่างในพันธสัญญาเดิม เพราะว่า ‘ถ้าพันธสัญญาเดิมไม่มีความบกพร่องแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีพันธสัญญาที่สองอีก’ (ข้อ 7) ปัญหาของพันธสัญญาเดิมคือประชาชนไม่สามารถรักษาธรรมบัญญัติได้ พวกเขา ‘ไม่ได้ดำรงอยู่ในพันธสัญญา’ (ข้อ 9)

พระเจ้าสัญญาในพันธสัญญาใหม่ที่ประเสริฐกว่าพันธสัญญาเดิมและตั้งอยู่บนพระสัญญาที่ประเสริฐกว่า ผู้เขียนอ้างถึงพระสัญญาจากพระธรรมเยเรมีย์ (ฮีบรู 31:31–34)

พันธสัญญาเหล่านั้นคืออะไร? มีทั้งหมด 4 ส่วน ดังนี้:

1.แนวคิดใหม่

พระเจ้าสัญญาว่าจะฝังบัญญัติของพระองค์ในใจของคุณ นี่ไม่ได้หมายความเพียงแค่การท่องจำกฎบัญญัติไว้ (ตามเฉลยธรรมบัญญัติ 6:6–9) สิ่งนี้หมายถึงการมีใจใหม่ ‘เราจะบรรจุธรรมบัติญัติของเราไว้ในจิตใจของพวกเขา’ (ฮีบรู 8:10ข)

2.รู้จักพระเจ้าโดยตรง

พระองค์สัญญาว่าความรู้ของพระเจ้าจะเป็นเรื่องของประสบการณ์ส่วนตัว ‘และพวกเขาจะไม่สอนเพื่อนและพี่น้องของตนแต่ละคนว่า “จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า” เพราะเขาทุกคนรู้จักเรา’ (ข้อ 11) สิ่งนี้เป็นไปได้สำหรับคุณที่จะรู้จักพระเจ้าในแบบที่เยเรมีย์รู้จักพระเจ้า ‘พวกเขาทั้งหมดจะรู้จักเราโดยตรง’ (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

3.ไร้ขอบเขต

‘เขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่คนต่ำต้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด’ (ข้อ 11ข) สิ่งนี้ทำให้พระสัญญาเดิมสำเร็จ ที่พระสัญญาไม่ถูกจำกัดแค่อิสราเอลและยูดาห์แต่ไปจนถึงทุกประชาชาติ (อิสยาห์ 42:6; 49:6; 19:24)

4.การยกโทษที่สมบูรณ์

‘เพราะเราจะเมตตาต่อการอธรรมของพวกเขา และจะไม่จดจำบรรดาบาปของพวกเขาไว้เลย’ (ฮีบรู 8:12) ในภาษาฮีบรูคำว่า ‘จดจำ’ มีความหมายมากกว่าความพยายามในจิตใจ ความหมายบ่งบอกถึงความรู้สึกของการกระทำที่เป็นคุณหรือโทษของคนที่จดจำด้วย ถ้าบาปของเรามาถูกจดจำ หมายถึงพระเจ้าตั้งใจที่จะยกโทษและ ‘สภาวะ’ ของบาปในชีวิตคุณ ‘ถูกลบล้างให้ขาวสะอาดตลอดไป’ (ข้อ 12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) สิ่งนี้เป็นไปได้เพราะพระเยซูสละชีวิตของพระองค์เพื่อคุณ (ข้อ 13)

พันธสัญญาใหม่นี้ประเสริฐกว่ามากและ ‘ถือว่าพันธสัญญาเดิมนั้นล้าสมัยแล้ว และสิ่งที่กำลังล้าสมัยและเก่าไปนั้นก็ใกล้จะเสื่อมสูญ’ (ข้อ 13)

พันธสัญญาใหม่เป็นพื้นฐานของชุมชนใหม่ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกคุณ พันธสัญญาใหม่นี้เป็นคำตอบของความโดดเดี่ยว พันธสัญญาอยู่กับประชากรของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่กับคนที่แยกไปอยู่ลำพัง พระสัญญาทั้งหมดเป็นรูปพหูพจน์ คุณมีสิทธิพิเศษมากมายในการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนใหม่ของประชากรของพระเจ้า คุณรู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัว บาปของคุณได้รับการอภัยแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาสถิตอยู่ภายในคุณและประทานหัวใจใหม่แก่คุณ คุณไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาเจ้าข้า ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์ไม่อยู่ลำพัง ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์สามารถมีประสบการณ์ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระองค์ และมีส่วนในชุมชนของพระองค์ที่แสนวิเศษ
พันธสัญญาเดิม

เอเสเคียล 13:1-15:8

การตัดสินโทษผู้เผยพระวจนะเท็จ

 1พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงข้าพเจ้าว่า 2“บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงเผยพระวจนะกล่าวโทษผู้เผยพระวจนะของอิสราเอลที่เผยพระวจนะอยู่ จงกล่าวกับพวกที่เผยพระวจนะตามอำเภอใจของตนว่า จงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ 3พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า วิบัติแก่พวกผู้เผยพระวจนะโฉดเขลา ผู้ดำเนินตามวิญญาณของตัวเองและไม่เคยได้เห็นอะไรเลย 4อิสราเอลเอ๋ย ผู้เผยพระวจนะของเจ้าเหมือนสุนัขจิ้งจอกท่ามกลางซากปรักหักพัง 5พวกเจ้าไม่ได้ขึ้นไปถึงช่องโหว่ และไม่ได้ซ่อมกำแพงให้พงศ์พันธุ์อิสราเอล เพื่อให้ยืนหยัดอยู่ได้ในยามสงครามในวันแห่งพระยาห์เวห์ 6เขาทั้งหลายเห็นนิมิตปลอมและคำทำนายเท็จ พวกเขากล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้’ แม้พระยาห์เวห์ไม่ได้ใช้เขาไป แล้วพวกเขาก็ยังหวังจะให้สำเร็จตามถ้อยคำของเขา 7พวกเจ้าเห็นนิมิตปลอมและคำทำนายเท็จไม่ใช่หรือ? ด้วยพวกเจ้ากล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้’ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้พูดเลย
 8“เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เพราะเจ้าทั้งหลายพูดมุสาและเห็นนิมิตเท็จ เพราะฉะนั้น ดูสิ เราจะต่อสู้พวกเจ้า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ 9มือของเราจะต่อสู้ผู้เผยพระวจนะที่เห็นนิมิตปลอมและทำนายเท็จ พวกเขาจะไม่ได้เข้าไปในสภาประชาชนของเรา หรือขึ้นทะเบียนอยู่ในทะเบียนของพงศ์พันธุ์อิสราเอล และพวกเขาจะไม่ได้เข้าในแผ่นดินอิสราเอล แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์องค์เจ้านาย 10เพราะว่า เออ เนื่องจากว่าพวกเขาได้นำประชาชนของเราให้หลงไป โดยกล่าวว่า ‘สันติภาพ’ ในเมื่อไม่มีสันติภาพเลย คือเมื่อคนสร้างกำแพง ผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นก็ฉาบด้วยปูนขาว 11จงกล่าวกับพวกฉาบปูนขาวว่า กำแพงนั้นจะพัง จะมีฝนตกจนท่วมท้น และเจ้า โอ้ลูกเห็บใหญ่จงตกลงมา และลมพายุจะเกิดขึ้น 12นี่แน่ะ เมื่อกำแพงพังลง เขาจะไม่พูดกับพวกเจ้าหรือว่า ‘ปูนขาวที่พวกเจ้าได้ฉาบนั้นอยู่ที่ไหน?’ 13เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เราจะทำให้ลมพายุเกิดขึ้นด้วยความโกรธของเราและให้ฝนท่วมท้นด้วยความกริ้วของเรา และจะมีลูกเห็บใหญ่แห่งการทำลายด้วยความโกรธของเรา 14และเราจะพังกำแพงซึ่งเจ้าฉาบด้วยปูนขาวนั้น และจะให้มันพังลงถึงดิน แล้วฐานรากของกำแพงนั้นจะปรากฏ และเมื่อกำแพงนั้นพัง เจ้าทั้งหลายจะพินาศอยู่ท่ามกลางกำแพง แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์องค์เจ้านาย 15เราจะให้ความโกรธของเราสำเร็จบนกำแพงและบนคนเหล่านั้นที่ฉาบกำแพงด้วยปูนขาว และเราจะพูดกับเจ้าทั้งหลายว่า กำแพงไม่มีแล้ว พวกฉาบปูนขาวก็ไม่มีด้วย 16คือผู้เผยพระวจนะของอิสราเอลที่เผยพระวจนะกล่าวถึงกรุงเยรูซาเล็ม และได้เห็นนิมิตแห่งสันติภาพของเมืองนั้นในเมื่อไม่มีสันติภาพ พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ 17“เจ้า บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงมุ่งหน้าต่อสู้บรรดาบุตรสาวของชนชาติของเจ้า ผู้เผยพระวจนะตามความคิดของตนเอง จงเผยพระวจนะกล่าวโทษเขาทั้งหลาย 18และเจ้าจงกล่าวว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า วิบัติมีแก่หญิงที่เย็บปลอกไสยศาสตร์สำหรับสวมข้อมือ และทำผ้าคลุมศีรษะทุกขนาดให้คนเพื่อล่าชีวิตคน เจ้าจะล่าชีวิตประชากรของเราแล้วรักษาชีวิตของเจ้าหรือ? 19พวกเจ้าได้ลบหลู่เราท่ามกลางประชากรของเรา ด้วยเห็นแก่ข้าวบาร์เลย์ไม่กี่กำมือ และขนมปังไม่กี่ชิ้น คนที่ไม่ควรจะตาย เจ้าก็ทำให้ตายเสีย คนที่ไม่ควรไว้ชีวิต เจ้าก็ไว้ชีวิตโดยที่เจ้าพูดเท็จต่อประชากรของเราที่ฟังคำเท็จ
 20“เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า นี่แน่ะ เราจะต่อสู้ปลอกไสยศาสตร์ของเจ้า ซึ่งเจ้าใช้ล่าชีวิตคนทั้งหลายอย่างล่านก และเราจะฉีกปลอกไสยศาสตร์นั้นเสียจากแขนของเจ้าทั้งหลาย และเราจะปล่อยชีวิตคนเหล่านั้นไป คือชีวิตคนที่เจ้าล่าอย่างล่านก 21เราจะฉีกผ้าคลุมทั้งหลายของพวกเจ้า และช่วยกู้ประชากรของเราให้พ้นจากมือของเจ้า และเขาทั้งหลายจะไม่เป็นเหยื่อในมือของเจ้าอีกต่อไป แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์ 22เพราะเจ้าทำให้คนชอบธรรมท้อใจด้วยการหลอกลวง ทั้งที่เราไม่ได้ทำให้เขาเศร้าใจเลย และเจ้าได้หนุนใจคนอธรรมไม่ให้หันกลับจากทางอธรรมของเขา ทำให้เขาไม่อาจรักษาชีวิตของตนไว้ 23เพราะฉะนั้น เจ้าจะไม่ได้เห็นนิมิตปลอมหรือทำการทำนายอีก เราจะช่วยกู้ประชากรของเราให้พ้นจากมือของพวกเจ้า แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์”

เอเสเคียล 14

การพิพากษาของพระเจ้านั้นชอบธรรม

 1พวกผู้อาวุโสของอิสราเอลบางคนมาหาข้าพเจ้า และมานั่งอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า 2แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงข้าพเจ้าว่า 3“บุตรมนุษย์เอ๋ย คนพวกนี้ตั้งรูปเคารพของเขาไว้ในใจ และวางสิ่งสะดุดให้ล้มลงในบาปไว้ข้างหน้าเขา เราควรจะยอมให้พวกเขาถามเราหรือ? 4เพราะฉะนั้น จงพูดกับพวกเขาและกล่าวกับเขาว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า คนหนึ่งคนใดในพงศ์พันธุ์อิสราเอลที่ตั้งรูปเคารพของเขาไว้ในใจ และวางสิ่งสะดุดให้ล้มลงในบาปไว้ข้างหน้าเขา แล้วมาหาผู้เผยพระวจนะ เราคือยาห์เวห์จะตอบสนองเขาที่มาด้วยรูปเคารพมากมายของเขานั้น 5เพื่อเราจะได้ยึดจิตใจของพงศ์พันธุ์อิสราเอลทุกคนผู้เหินห่างจากเราเนื่องด้วยรูปเคารพของเขา
 6“เพราะฉะนั้น จงพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า จงกลับใจและหันออกจากรูปเคารพของพวกเจ้าเสีย และจงหันหน้าของพวกเจ้าออกจากสิ่งน่าสะอิดสะเอียนของเจ้า 7เพราะว่าคนหนึ่งคนใดในพงศ์พันธุ์อิสราเอล หรือในพวกคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในอิสราเอล ซึ่งแยกตัวเขาจากเรา และตั้งรูปเคารพของเขาไว้ในใจของเขา และวางสิ่งสะดุดให้ล้มลงในบาปไว้ข้างหน้าเขา แล้วยังมาหาผู้เผยพระวจนะเพื่อขอถามจากเราเพื่อตัวเขาเอง เราคือยาห์เวห์จะตอบสนองเขาเอง 8และเราจะมุ่งหน้าของเราต่อสู้คนนั้น เราจะทำให้เขาเป็นสัญลักษณ์และเป็นขี้ปาก และเราจะกำจัดเขาเสียจากท่ามกลางประชากรของเรา แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์ 9และถ้าผู้เผยพระวจนะถูกชักนำให้กล่าวคำหนึ่งคำใด เราคือพระยาห์เวห์ได้ชักนำผู้เผยพระวจนะคนนั้น และเราจะเหยียดมือของเราออกต่อสู้เขา และจะทำลายเขาจากท่ามกลางอิสราเอลประชากรของเรา 10เขาทั้งหลายจะต้องแบกรับโทษบาปของเขา โทษของผู้มาถามและโทษของผู้เผยพระวจนะจะเหมือนกัน 11เพื่อว่าพงศ์พันธุ์อิสราเอลจะไม่หลงเจิ่นไปจากเราอีก และจะไม่ทำตัวให้มลทินด้วยการล่วงละเมิดทุกอย่างของเขาอีก แล้วเขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา” พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ
 12และพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงข้าพเจ้าว่า 13“บุตรมนุษย์เอ๋ย เมื่อแผ่นดินหนึ่งทำบาปต่อเราโดยประพฤติการทรยศยิ่ง แล้วเราเหยียดมือของเราออกต่อสู้แผ่นดินนั้น และทำลายอาหารหลัก ทั้งส่งการกันดารอาหารมาที่แผ่นดินนั้น และเราทำลายมนุษย์และสัตว์เสียจากแผ่นดินนั้น 14ถึงแม้ว่าคนทั้งสามนี้ คือโนอาห์ ดาเนียลและโยบจะอยู่ในนั้น พวกเขาจะช่วยเฉพาะชีวิตของพวกเขาได้ด้วยความชอบธรรมของเขา พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ 15ถ้าเราทำให้สัตว์ร้ายเข้าไปในแผ่นดินนั้น แล้วทำให้ผู้คนหมดไป และมันกลายเป็นที่ร้างเปล่าเนื่องด้วยไม่มีผู้คนเดินผ่านเพราะสัตว์นั้น 16พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่อย่างไร แม้ว่าคนทั้งสามนี้อยู่ในนั้น พวกเขาก็ไม่อาจช่วยบุตรชายหรือบุตรสาวให้รอดได้ เฉพาะพวกเขาเท่านั้นจะรอด แต่แผ่นดินนั้นจะร้างเปล่า 17หรือถ้าเรานำดาบมายังแผ่นดินนั้น แล้วกล่าวว่า ให้ดาบผ่านข้ามแผ่นดินนั้น เราจะทำลายมนุษย์และสัตว์จากแผ่นดินนั้น 18พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่อย่างไร แม้คนทั้งสามนี้จะอยู่ในนั้น พวกเขาก็ไม่อาจช่วยบุตรชายหรือบุตรสาวให้รอดได้ เฉพาะตัวพวกเขาเท่านั้นจะรอด 19หรือถ้าเราส่งโรคระบาดเข้ามาในแผ่นดินนั้น และระบายความโกรธของเราออกเหนือเมืองนั้นด้วยการนองเลือด เพื่อกำจัดมนุษย์และสัตว์จากแผ่นดินนั้นเสีย 20ถึงแม้ว่าโนอาห์ ดาเนียลและโยบอยู่ในนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่อย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจช่วยบุตรชายและบุตรสาวให้รอดได้ พวกเขาจะช่วยเฉพาะชีวิตของเขาได้ด้วยความชอบธรรมของเขา
 21“เพราะพระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด เมื่อเราส่งภัยแห่งการพิพากษาร้ายแรงทั้งสี่ประการของเราคือ ดาบ การกันดารอาหาร สัตว์ร้ายและโรคระบาดมาเหนือเยรูซาเล็ม เพื่อกำจัดมนุษย์และสัตว์เสียจากนครนั้น 22นี่แน่ะ จะมีคนรอดตายเหลืออยู่ในนั้น บุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาจะถูกนำออกมา เขาทั้งหลายออกมายังพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเห็นวิถีชีวิตและการกระทำของพวกเขา แล้วพวกเจ้าจะเบาใจในเรื่องการร้ายซึ่งเราได้นำมาเหนือเยรูซาเล็ม คือทุกสิ่งที่เรานำมาเหนือนครนั้น 23คนเหล่านั้นจะทำให้พวกเจ้าเบาใจ เมื่อเจ้าได้เห็นวิถีชีวิตและการกระทำของพวกเขาแล้ว แล้วเจ้าจะทราบว่า เราไม่ได้ทำสิ่งต่างๆ ที่เราได้ทำแล้วในนครนั้นโดยปราศจากเหตุผล” พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ

เอเสเคียล 15

เถาองุ่นที่ไร้ประโยชน์

 1พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงข้าพเจ้าอีกว่า
 2“บุตรมนุษย์เอ๋ย ไม้ของต้นองุ่นดีกว่าไม้อื่นทั้งหมดอย่างไร?
 คือไม้กิ่งองุ่นซึ่งอยู่ในหมู่ต้นไม้ในป่า
3เขานำไม้จากต้นองุ่นไปทำชิ้นงานอะไรได้หรือ?
 คนเอาไม้จากมันไปทำขอสำหรับแขวนภาชนะหรือ?
4ดูสิ เมื่อมันถูกทิ้งให้เป็นฟืนใส่ไฟ
 และเมื่อไฟไหม้ปลายทั้งสองข้าง
แล้วตรงกลางกลายเป็นถ่าน
 จะใช้ประโยชน์อะไรได้หรือ?
5นี่แน่ะ เมื่อมันยังดีอยู่ก็ไม่อาจใช้ทำชิ้นงานอะไรได้
 ยิ่งกว่านั้น เมื่อมันถูกไฟไหม้
 แล้วกลายเป็นถ่าน จะใช้ทำชิ้นงานอะไรได้อีกหรือ?
6“เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า ไม้ของต้นองุ่นซึ่งอยู่ในหมู่ต้นไม้ในป่า ซึ่งเราทิ้งให้เป็นฟืนใส่ไฟอย่างไร เราก็จะทิ้งให้ชาวเยรูซาเล็มเป็นอย่างนั้น 7เราจะมุ่งหน้าต่อสู้เขาทั้งหลาย แม้พวกเขาจะหนีออกจากไฟ ไฟก็ยังจะเผาผลาญเขา และเมื่อเรามุ่งหน้าต่อสู้เขา เจ้าจะทราบว่า เราคือยาห์เวห์ 8เราจะทิ้งให้แผ่นดินนั้นร้างเปล่า เพราะเขาได้ประพฤติอย่างไม่ซื่อสัตย์” พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ

อรรถาธิบาย

ชุมชนแห่งความเชื่อ

รูปเคารพที่ยิ่งใหญ่ในยุคของเราคือ เงิน เพศ และอำนาจ แต่รูปเคารพสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เรานมัสการโดยให้ความสนใจและถือว่ามีความสำคัญมากกว่าพระเจ้าในชีวิตของเรา อาจไม่ใช่เฉพาะบ้าน รถยนต์ หรือทรัพย์สิน แต่อาจเป็นงานหรืองานรับใช้ของคุณก็ได้ เมื่อเราสร้างรูปเคารพจากสิ่งเหล่านี้ มันจะนำเราออกจากพระเจ้า (14:14)

พระเจ้ากำลังมองหาคนที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ ปัญหาภายใต้พันธสัญญาเดิมคือ ‘พวกเขาไม่ได้ดำรงอยู่ในพันธสัญญาของเรา’ (ฮีบรู 8:9) พระเจ้าตรัสผ่านเอเสเคียลเกี่ยวกับแผ่นดินนี้ ‘เมื่อแผ่นดินหนึ่งทำบาปต่อเราโดยการประพฤติทรยศยิ่ง... เพราะเขาได้ประพฤติอย่างไม่สัตย์ซื่อ พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ’ (เอเสเคียล 14:13; 15:8)

เอเสเคียลผู้เผยพระวจนะมองเห็นล่วงหน้าถึงสิ่งที่เราได้อ่านในข้อพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่สำหรับวันนี้ เขาเล็งเห็นล่วงหน้าถึงสมัยที่ประชาชน ‘จะไม่ทำตัวให้มลทินด้วยการล่วงละเมิดทุกอย่างของเขาอีก แล้วเขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ’ (14:11)

ประชากรของพระเจ้าติดกับดักความเท็จ เมื่อเราอ่านพระธรรมสดุดีเรื่อง ‘ริมฝีปากมุสา’ (สดุดี 120:2) ดังนั้นเราจึงอ่านได้ในพระธรรมตอนนี้ ที่นี่เกี่ยวกับผู้เผยพระวจนะที่โกหก ‘เผยพระวจนะตามอำเภอใจของตน’ (เอเสเคียล 13:2) ‘เขาทั้งหลายเห็นนิมิตปลอมและคำทำนายเท็จ’ (ข้อ 6) ใช้ ‘ปลอกไสยศาตร์’ เพื่อล่าชีวิตคน (ข้อ 18) พวกเขาพูดเท็จ ‘ต่อประชากรของเราที่ฟังคำเท็จ’ (ข้อ 19) เพราะเจ้าทำให้คนชอบธรรมท้อใจด้วยการหลอกลวง (ข้อ 22)

พวกเขาไม่ซื่อสัตย์ได้อย่างไร? พระเจ้าตรัสว่าพวกเขา ‘ตั้งรูปเคารพของเขาไว้ในใจ และวางสิ่งสะดุดให้ล้มลงในบาปไว้ข้างหน้าเขา’ (14:3) แม้แต่ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าไม่ทรงห่วงใยเราที่ติดกับกับเฉพาะรูปเคารพที่จับต้องได้เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับรูปเคารพในจิตใจของผู้คนด้วย ความปรารถนาของพระเจ้าคือให้เราเป็นเถาองุ่นที่ซื่อสัตย์ซึ่งให้ผลดี (บทที่ 15; ดู อิสยาห์ 5:1–7) ด้วย

คุณถูกเรียกให้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่ซื่อสัตย์ที่รู้จักและรักพระเจ้า ยินดีต้อนรับทุกคน ‘ตั้งแต่คนต่ำต้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด’ (ฮีบรู 8:11) เราถูกเรียกให้เป็นชุมชนเพื่อคนที่รู้สึกโดดเดี่ยวและอยู่ลำพังจำนวนมากจะได้มาพบกับความรักแท้และการให้อภัย นั่นคือชุมชนของคนของพระเจ้า ที่ผู้คนแห่งสันติสุขรู้จักและรักพระเจ้า และซื่อสัตย์ต่อพระองค์ในทุกวิถีทาง และนี่คือคำตอบของความโดดเดี่ยว

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ ช่วยเราให้เป็นชุมชนที่มีความรัก สันติสุข และซื่อสัตย์ ที่ซึ่งผู้คนที่โดดเดี่ยวและอ้างว้างมากมายจะมารู้จักพระองค์ และพบคำตอบของความโดดเดี่ยวในชุมชนของคนของพระเจ้า

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ข้อพระคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาเดิม (เอเสเคียล 14) เป็นเรื่องการพิพากษา ขอบพระคุณพระเจ้าทรงทำพันธสัญญาใหม่ (ฮีบรู 8:8–12)! ความหวังได้รับการรื้อฟื้นอีกครั้ง

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 120:1

‘เมื่อข้าพเจ้าทุกข์ใจ ข้าพเจ้าได้ร้องทูลพระยาห์เวห์ และพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม