วัน 259

พระเจ้ารักคนไม่สมบูรณ์แบบ

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 107:33-43
พันธสัญญาใหม่ กาลาเทีย 2:11--3:9
พันธสัญญาเดิม อิสยาห์ 38:1-40:31

เกริ่นนำ

ผมห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ บางครั้งผมพบว่ามันยากที่จะเชื่อว่าพระเจ้ารักผมจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมทำผิดพลาด ล้มเหลว หรือตัดสินใจแย่ ๆ ลงไป

อันที่จริงไม่มีใครสมบูรณ์แบบ นอกจากพระเยซู แต่พระเจ้ารักโลกมากจนได้มอบพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ให้ตายเพื่อเรา (ยอห์น 3:16) ดังนี้เองพระเจ้าจึงรักคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ ซึ่งอันที่จริง ‘ขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา’ (โรม 5:8)

พระเจ้ารู้ว่าคนที่สมบูรณ์แบบไม่มีอยู่จริง เราทุกคนล้วนล้มลงได้ ความรักที่พระเจ้ามีต่อคุณยิ่งใหญ่กว่าความผิดพลาดของคุณ พระเจ้ารักคนไม่สมบูรณ์แบบ

ทุกคนรู้ว่าคู่แต่งงานของพวกเขาไม่สมบูรณ์แบบ ลูก ๆ ของพวกเขาไม่สมบูรณ์แบบ พ่อแม่ของพวกเขาไม่สมบูรณ์แบบ และเพื่อนของพวกเขาก็ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เราก็รักคนที่ไม่สมบูรณ์แบบเหล่านั้น หากเราสามารถรักคนที่ไม่สมบูรณ์ได้ บางทีไม่ควรแปลกใจว่า พระเจ้าก็รักคนไม่สมบูรณ์แบบมากกว่านั้นเช่นกัน

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 107:33-43

33พระองค์ทรงเปลี่ยนแม่น้ำให้เป็นถิ่นทุรกันดาร
 น้ำพุให้เป็นดินแห้งผาก
34แผ่นดินที่มีผลดกให้เป็นที่ร้างเปล่าและเค็ม
 เพราะความชั่วร้ายของชาวแผ่นดินนั้น
35พระองค์ทรงเปลี่ยนถิ่นทุรกันดารให้เป็นสระน้ำ
 แผ่นดินแห้งผากให้เป็นน้ำพุ
36และพระองค์ทรงให้คนหิวโหยอาศัยที่นั่น
 และพวกเขาสถาปนานครซึ่งพอจะอาศัยได้
37เขาทั้งหลายหว่านนา และปลูกสวนองุ่น
 และได้ผลดกมาก
38พระองค์ทรงอวยพรเขาทั้งหลาย เขาจึงทวีผลมากยิ่ง
 และพระองค์มิได้ทรงให้สัตว์ของเขาลดจำนวนลง
39เมื่อเขาทั้งหลายถูกลดทอนจำนวนลงและถูกเหยียดให้ต่ำ
 โดยการบีบบังคับกับความยากลำบากและความทุกข์โศก
40พระองค์ทรงเทความดูหมิ่นลงบนเจ้านาย
 ทรงทำให้พวกเขาพเนจรไปในที่ร้างเปล่าซึ่งไม่มีหนทาง
41แต่พระองค์ทรงยกคนขัดสนขึ้นจากความทุกข์ยาก
 และทรงทำให้ครัวเรือนของพวกเขามากอย่างฝูงแพะแกะ
42คนเที่ยงธรรมเห็นและยินดี
 และความโหดร้ายทั้งปวงก็ปิดปากของมัน
43ผู้ใดมีปัญญาก็ให้เขาฟังสิ่งเหล่านี้
 ให้เขาพิจารณาถึงความรักมั่นคงของพระยาห์เวห์

อรรถาธิบาย

ใคร่ครวญว่าความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใดสำหรับคุณ

เมื่อได้ไตร่ตรองถึงสิ่งอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำเพื่อประชากรของพระองค์แล้ว ผู้เขียนสดุดีสรุปว่า ‘ให้เขาพิจารณาถึงความรักมั่นคงของพระยาห์เวห์’ (ข้อ 43) ‘ถ้าเจ้าฉลาดจริง ๆ เจ้าจะคิดเรื่องนี้ใหม่ ถึงเวลาชื่นชมความรักอันลึกซึ้งของพระเจ้า’ (ข้อ 43, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเจ้าได้ช่วยผู้คนของพระองค์หลายครั้ง พระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานของพวกเขา

ประชากรของพระเจ้ายังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบมากนัก พระองค์ทรงใส่ใจต่อการล้มลงต่อความบาปของประชาชน อย่างไรก็ตามความรักของพระเจ้าก็อยู่เบื้องหน้าธรรมบัญญัติเพื่อดึงผู้คนให้กลับมาหาพระองค์ เมื่อพวกเขากลับมา ความทุกข์ยากกลับกลายเป็นพร ‘แม่น้ำ’ (ข้อ 33) เริ่มกลับมาเต็มและไหลรินเช่นเดิม ‘พระองค์ทรงเปลี่ยนถิ่นทุรกันดารให้เป็นสระน้ำ แผ่นดินแห้งผากให้เป็นน้ำพุ…พระองค์ทรงอวยพรเขาทั้งหลาย เขาจึงทวีผลมากยิ่ง’ (ข้อ 35, 38)

พระเยซูตรัสว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในคุณจะเป็นเหมือน ‘แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิต’ (ยอห์น 7:38) ออสวอลด์ แชมเบอร์ส เขียนไว้ว่า ‘แม่น้ำแห่งพระวิญญาณของพระเจ้าเอาชนะอุปสรรคทั้งหมด อย่าเพ่งสายตาไปที่สิ่งกีดขวางหรือความยากลำบาก อุปสรรคจะถูกน้ำพัดผ่านไป ไม่สร้างความแตกต่างใด ๆ น้ำในแม่น้ำแห่งพระวิญญาณจะไหลผ่านคุณไปเรื่อย ๆ หากคุณเพียงแค่จำไว้ว่าให้จดจ่อกับแหล่งที่มาของน้ำดำรงชีวิต’

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ใคร่ครวญถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อข้าพระองค์ ข้าพระองค์อธิษฐานว่าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์จะเปลี่ยนทะเลทรายและความแห้งแล้งในชีวิตของข้าพระองค์ให้เป็น ‘สระน้ำ’ และ ‘น้ำพุ’ (สดุดี 107:35)
พันธสัญญาใหม่

กาลาเทีย 2:11--3:9

เปาโลต่อว่าเปโตรที่เมืองอันทิโอก

 11แต่เมื่อเคฟาสคำว่า เคฟาสในข้อนี้ และข้อ 14 ดูเชิงอรรถ กท.1:18มาถึงเมืองอันทิโอกแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้คัดค้านท่านซึ่งๆ หน้า เพราะว่าท่านทำผิดแน่ 12เพราะว่าก่อนที่คนของยากอบมาถึงนั้น ท่านได้กินอาหารร่วมกับคนต่างชาติ แต่พอคนพวกนั้นมาถึง ท่านก็ปลีกตัวออกไปอยู่เสียต่างหากเพราะกลัวพวกเข้าสุหนัต 13และพวกยิวคนอื่นๆ ก็ได้แสร้งทำตามท่าน แม้แต่บารนาบัสก็หลงแสร้งทำตามคนเหล่านั้นไปด้วย 14แต่เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่า พวกเขาไม่ได้ประพฤติตรงตามความจริงของข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวกับเคฟาสต่อหน้าคนทุกคนว่า “ถ้าท่านเองซึ่งเป็นพวกยิวประพฤติตามอย่างคนต่างชาติ ไม่ใช่ตามอย่างพวกยิว ทำไมท่านจึงบังคับคนต่างชาติให้ประพฤติตามอย่างพวกยิวเล่า?”

พวกยิวก็เช่นเดียวกับคนต่างชาติคือรอดโดยความเชื่อ

 15เราผู้เป็นยิวโดยกำเนิด ไม่ใช่คนบาปที่มาจากคนต่างชาติ 16ยังรู้ว่าไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรมได้ โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราเองก็ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะถูกนับว่าชอบธรรมโดยความเชื่อในพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ เพราะว่าโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น ไม่มีมนุษย์คนใดจะถูกนับว่าชอบธรรมได้เลย 17แต่ถ้าในขณะที่เรากำลังขวนขวายจะถูกชำระให้ชอบธรรมโดยพระคริสต์นั้น กลับถูกพบว่าเป็นคนบาปไปด้วย พระคริสต์จะทรงเป็นผู้ส่งเสริมบาปหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน 18เพราะว่าถ้าข้าพเจ้าก่อสิ่งซึ่งข้าพเจ้าได้รื้อทำลายลงแล้วขึ้นมาอีก ข้าพเจ้าก็แสดงตัวว่าข้าพเจ้าเองเป็นคนละเมิดธรรมบัญญัติ 19เพราะโดยธรรมบัญญัตินั้น ข้าพเจ้าได้ตายต่อธรรมบัญญัติแล้ว เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อพระเจ้า ข้าพเจ้าถูกตรึงร่วมกับพระคริสต์แล้ว 20ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า 21ข้าพเจ้าไม่ได้ทำให้พระคุณของพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็สิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์

กาลาเทีย 3

ธรรมบัญญัติหรือความเชื่อ

 1โอ ชาวกาลาเทียคนเขลา ใครสะกดดวงจิตของพวกท่านให้เห็นผิดไปได้? ทั้งๆ ที่ภาพการถูกตรึงของพระเยซูคริสต์ได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านแล้ว 2ข้าพเจ้าใคร่รู้ข้อเดียวจากท่านว่า ท่านได้รับพระวิญญาณโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ หรือได้รับโดยความเชื่อตามที่ได้ฟัง? 3ท่านทั้งหลายเขลาถึงเพียงนั้นทีเดียวหรือ? พวกท่านเริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ แต่จะจบลงด้วยเนื้อหนังกระนั้นหรือ? 4ท่านทั้งหลายได้รับประสบการณ์มากมายโดยไร้ประโยชน์หรือ? ถ้าเป็นการไร้ประโยชน์จริงๆ แล้วหมายความว่า ที่จริงมีประโยชน์มาก 5พระองค์ผู้ประทานพระวิญญาณแก่ท่านทั้งหลาย และทรงสำแดงฤทธานุภาพท่ามกลางพวกท่าน ทรงทำเช่นนั้นโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ หรือโดยความเชื่อของพวกท่านตามที่ได้ฟัง?
 6อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรมอย่างไร 7ขอให้รู้เถิดว่าเหล่าชนแห่งความเชื่อเป็นบุตรของอับราฮัมอย่างนั้น 8และพระคัมภีร์นั้นรู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงให้คนต่างชาติเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า ชนทุกชาติจะได้รับพรเพราะเจ้า 9เพราะฉะนั้น คนที่เชื่อจึงได้รับพรร่วมกับอับราฮัมผู้ซึ่งเชื่อ

อรรถาธิบาย

เข้าใจว่าพระเจ้ามีความรักต่อคุณอย่างไร

อัครสาวกเปาโลยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ อันที่จริง เขาอธิบายตัวเองว่าเป็น ‘ตัวเอก’ ของคนบาป (1 ทิโมธี 1:15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก King James Version ) แต่เขายังสามารถเขียนได้อีกว่า ‘ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า’ (กาลาเทีย 2:20)

นี่คือขอบเขตของความยิ่งใหญ่แห่งความรักของพระเจ้า พระบุตรของพระเจ้าประทานพระองค์เองเพื่อผม...และคุณ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าเพียงแค่รักคนทั้งโลก แต่พระองค์รักคุณ พระองค์ได้ทรงมอบพระองค์เองบนไม้กางเขนเพื่อคุณและผม พระองค์ตายเพื่อคุณ ถ้าทั้งโลกมีคุณเพียงคนเดียวพระเยซูก็ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อคุณ มันเป็นเรื่องส่วนตัวเช่นนี้เอง

ความรักที่พระเจ้ามีต่อคุณนั้นไม่มีเงื่อนไข สุดหัวใจและต่อเนื่อง ไม่มีอะไรที่คุณสามารถทำได้เพื่อทำให้พระเจ้ารักคุณมากขึ้น และไม่มีอะไรที่คุณสามารถทำได้เพื่อทำให้พระเจ้ารักคุณน้อยลง

เมื่อในที่สุดอเปาโลเข้าใจสิ่งนี้ มันก็เปลี่ยนชีวิตท่านไปอย่างสิ้นเชิง ชีวิตเก่าของท่านได้สิ้นสุดลงแล้ว 'ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ความถือตัวว่าสำคัญของข้าพเจ้าไม่เป็นศูนย์กลางอีกต่อไป...ชีวิตที่ท่านเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นอยู่ไม่ใช่ “ของข้าพเจ้า"' (ข้อ 20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ชีวิตใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ‘พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า’ (ข้อ 20) พระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ในเปาโล ชีวิตใหม่นี้เป็นชีวิตของ ‘ความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า’ (ข้อ 20)

ในข้อนี้ เปาโลสรุปพระกิตติคุณ มันช่างน่าอัศจรรย์และยังเรียบง่าย ถ้าเพิ่มสิ่งอื่นนอกเหนือจากความเชื่อ พวกเราจะเบี่ยงเบนข้อเท็จจริงของพระกิตติคุณ

นั่นคือเหตุผลที่เปาโลเรียกร้องในการปกป้องข่าวประเสริฐ นั่นคือเหตุผลที่ท่าน ‘คัดค้านท่านซึ่ง ๆ หน้า’ กับเปโตร (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เปโตรเองก็รู้ความจริงของข้อความนี้ แต่เพราะ 'ความหวาดกลัวต่อกลุ่มชาวยิวหัวโบราณ [ซึ่ง] ได้ผลักดันการเข้าสุหนัตแบบเก่า' (ข้อ 12 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ท่านจึงเริ่มปฏิบัติตามยิวพวกนั้น และส่งเสริมกฎหมายกับประเพณีเก่าแก่ของชาวยิวอีกครั้ง (ข้อ 12–13)

การทำเช่นนี้ เปโตรรู้สึกว่าการเป็นคริสเตียนไม่เพียงพอ เหมือนกำลังพูดว่าผู้คนต้องปฏิบัติตามประเพณีของชาวยิวด้วย (ข้อ 14)

แต่ความเชื่อในพระเยซูคริสต์คือสิ่งที่จำเป็น ‘เรารู้ดีว่าพวกเราไม่อาจเป็นคนที่ถูกต้องได้เพียงการการรักษากฎ แต่โดยความเชื่อส่วนตัวในพระเยซูคริสต์เท่านั้น’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พระเจ้า ในความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ โปรดทรงโอบรับทุกคนที่มอบความเชื่อของพวกเขาไว้ในพระคริสต์ โดยไม่มีความแตกต่าง คุณเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ ส่งผลให้ชีวิตเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พระคริสต์เข้ามาอยู่ในตัวคุณ คุณไม่ได้ใช้ชีวิตแบบเก่าอีกต่อไป แต่ใช้ชีวิตใหม่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า

คุณได้รับพระวิญญาณของพระคริสต์ (บทที่ 3 ข้อ 2) ความเชื่อและการรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เพียงแต่เป็นการเริ่มต้นชีวิตคริสเตียนเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีดำเนินชีวิตต่อไปด้วย (ข้อ 3)

เห็นได้ชัดว่าชาวกาลาเทียมีประสบการณ์เกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเปาโลสามารถชี้ให้เห็น: ‘ท่านได้รับพระวิญญาณโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ หรือได้รับโดยความเชื่อตามที่ได้ฟัง?’ (ข้อ 2) เมื่อคุณเชื่อในพระคริสต์ คุณได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ‘พระองค์ผู้ประทานพระวิญญาณแก่ท่านทั้งหลาย และทรงสำแดงฤทธานุภาพท่ามกลางพวกท่าน ทรงทำเช่นนั้นโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ หรือโดยความเชื่อของพวกท่านตามที่ได้ฟัง?’ (ข้อ 5)

ในอัลฟ่า ผมมักถูกถามคำถามว่า 'แล้วคนที่มีชีวิตอยู่ก่อนพระเยซูล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?’ ข้อความจากเปาโลในช่วงนี้ของพระคัมภีร์ชี้ไปที่คำตอบ

ไม้กางเขนของพระเยซูทำงานชั่วนิรันดร์ มันทำงานย้อนกลับเช่นเดียวกับไปข้างหน้า มีผลสำหรับอับราฮัมที่: ‘เชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรม’ (ข้อ 6) 'และพระคัมภีร์นั้นรู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงให้คนต่างชาติเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้า’ (ข้อ 8) สิ่งที่เกิดขึ้นบนไม้กางเขนเป็นเหตุการณ์ที่กำหนดไว้ในประวัติศาสตร์โลกตามที่ธรรมบัญญัติและรูปแบบของการไถ่บาปชี้ให้เห็น

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า พระเยซู ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์และมอบตัวพระองค์เองเพื่อข้าพระองค์ ช่วยให้ข้าพระองค์เชื่อมั่นในความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์เพื่อเผชิญความท้าทายทั้งหมดในวันนี้
พันธสัญญาเดิม

อิสยาห์ 38:1-40:31

เฮเซคียาห์ประชวร

 1เวลานั้น เฮเซคียาห์ประชวรใกล้สิ้นพระชนม์ และผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรอามอสเข้ามาเฝ้าพระองค์ และทูลพระองค์ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘จงจัดการบ้านเรือนให้เรียบร้อย เพราะเจ้าจะตาย จะไม่มีชีวิตอยู่’ ” 2แล้วเฮเซคียาห์หันพระพักตร์เข้าข้างฝา และทรงอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า 3“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ขอวิงวอนพระองค์ให้ระลึกว่า ข้าพระองค์ได้ดำเนินเฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยความซื่อสัตย์และด้วยสิ้นสุดใจ ทั้งได้ทำสิ่งดีในสายพระเนตรของพระองค์” แล้วเฮเซคียาห์ทรงกันแสงอย่างมาก 4และพระวจนะของพระยาห์เวห์ก็มาถึงอิสยาห์ว่า 5“จงไปและบอกเฮเซคียาห์ว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าของดาวิด บรรพบุรุษของเจ้าตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้า เราเห็นน้ำตาของเจ้า นี่แน่ะ เราจะเพิ่มชีวิตให้เจ้าอีกสิบห้าปี 6และเราจะช่วยกู้เจ้าและเมืองนี้จากมือพระราชาของอัสซีเรีย และจะปกป้องเมืองนี้ไว้’ ”
 7“นี่จะเป็นหมายสำคัญสำหรับฝ่าพระบาทจากพระยาห์เวห์ ที่พระยาห์เวห์จะทรงทำสิ่งนี้ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่า 8‘ดูสิ เราจะทำให้เงาจากดวงอาทิตย์ที่ทอดลงไปเป็นขั้นๆ บนนาฬิกาแดดของอาหัสนั้นย้อนกลับขึ้นมาสิบขั้น’ ” ดวงอาทิตย์ก็ย้อนกลับมาสิบขั้นบนนาฬิกาแดดตามขั้นที่มันได้ผ่านไปแล้ว
 9บทประพันธ์ของเฮเซคียาห์กษัตริย์ของยูดาห์ หลังจากประชวร และทรงมีชีวิตรอดจากการประชวรของพระองค์นั้น มีว่า

10ข้าพเจ้าว่า เมื่อวันเวลามาถึงวัยฉกรรจ์
 ข้าพเจ้าจะต้องจากไป
ยังประตูแดนคนตาย
 ข้าพเจ้าถูกตัดขาดจากวันเวลาที่เหลือของชีวิต
11ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะไม่เห็นพระยาห์เวห์
 คือไม่เห็นพระยาห์เวห์ในแผ่นดินของคนเป็น
ข้าพเจ้าจะไม่ได้มองดูมนุษย์อีก
 หรืออยู่กับผู้อาศัยในที่ไม่ยั่งยืน
12ที่อยู่ของข้าพเจ้าถูกรื้อและถอนออกไปจากข้าพเจ้า
 เหมือนอย่างเต็นท์ของผู้เลี้ยงแกะ
ข้าพเจ้าม้วนชีวิตของข้าพเจ้าเหมือนอย่างคนทอผ้า
 พระองค์ทรงตัดข้าพเจ้าออกจากหูก
 จากกลางวันถึงกลางคืน พระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาถึงอวสาน
13ข้าพเจ้าคิดคำนึงจนรุ่งเช้า
 เหมือนอย่างสิงโต พระองค์ทรงหักกระดูกทั้งหมดของข้าพเจ้า
 จากกลางวันถึงกลางคืน พระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาถึ งอวสาน
14ข้าพเจ้าร้องเหมือนนกนางแอ่น เหมือนนกกระเรียน
 ข้าพเจ้าพิลาปเหมือนนกพิราบ
ตาของข้าพเจ้าเหนื่อยล้าด้วยการมองขึ้นเบื้องบน
 ข้าแต่องค์เจ้านาย ข้าพระองค์ถูกบีบบังคับ ขอทรงเป็นหลักประกันของข้าพระองค์
15แต่ข้าพเจ้าจะพูดอะไรได้ เพราะพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าแล้ว
 และพระองค์เองทรงทำเช่นนั้น
ข้าพเจ้าดำเนินอย่างสงบเสงี่ยมตลอดปีเดือนของข้าพเจ้า
 เพราะความขมขื่นในใจของข้าพเจ้า
16ข้าแต่องค์เจ้านาย มนุษย์ดำรงชีพด้วยสิ่งเหล่านี้
 และวิญญาณจิตของข้าพระองค์ก็มีชีวิตด้วยสิ่งทั้งหมดนี้
 ขอทรงให้ข้าพระองค์หายดีและให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่
17นี่แน่ะ เพื่อสวัสดิภาพของข้าพระองค์
 ข้าพระองค์จึงมีความขมขื่นอย่างยิ่ง
แต่พระองค์ทรงฉุดชีวิตของข้าพระองค์
 ออกจากหลุมของความพินาศ
เพราะพระองค์ทรงเหวี่ยงบาปทั้งหมดของข้าพระองค์
 ไว้ข้างหลังของพระองค์
18เพราะแดนคนตายขอบพระคุณพระองค์ไม่ได้
 ความมรณาก็สรรเสริญพระองค์ไม่ได้
บรรดาคนที่ลงไปยังหลุมนั้น
 จะหวังในความซื่อสัตย์ของพระองค์ไม่ได้
19คนมีชีวิต คนมีชีวิต เขาขอบพระคุณพระองค์
 เหมือนอย่างที่ข้าพระองค์ทำอยู่ในเวลานี้
บิดาจะบอกบุตรทั้งหลายให้รู้
 ถึงความซื่อสัตย์ของพระองค์
20พระยาห์เวห์จะทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอด
 และพวกเราจะบรรเลงเพลงด้วยเครื่องสาย
ตลอดวันเวลาแห่งชีวิตของพวกเรา
 ที่พระนิเวศของพระยาห์เวห์

 21และอิสยาห์กล่าวว่า “ให้เอามะเดื่อก้อนมา และแปะไว้ที่พระยอด เพื่อพระองค์จะหายประชวร” 22เฮเซคียาห์ตรัสด้วยว่า “อะไรเป็นหมายสำคัญที่ ข้าพเจ้าจะขึ้นไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์? ”

อิสยาห์ 39

การต้อนรับคณะทูตจากกรุงบาบิโลน

 1ในเวลานั้น เมโรดัคบาลาดันพระราชโอรสของบาลาดัน พระราชาแห่งบาบิโลน ทรงส่งพระราชสารและเครื่องบรรณาการมายังเฮเซคียาห์ เพราะพระองค์ทรงได้ยินว่าเฮเซคียาห์ประชวร และทรงแข็งแรงดีแล้ว 2และเฮเซคียาห์ทรงเปรมปรีดิ์เพราะเขาเหล่านั้น และทรงให้พวกเขาดูคลังทรัพย์ของพระองค์ คือดูเงิน ทองคำ เครื่องเทศ น้ำมันหอม และคลังแสงทั้งหมดของพระองค์ รวมทั้งทุกอย่างที่มีอยู่ในท้องพระคลังของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดในพระราชวังหรือในราชอาณาจักรของพระองค์ที่เฮเซคียาห์ไม่ได้ทรงสำแดงแก่เขาทั้งหลาย 3แล้วผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ก็มาเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์และทูลพระองค์ว่า “คนเหล่านี้ทูลอะไรบ้าง? และพวกที่มาเข้าเฝ้าพระองค์นั้นมาจากไหน? ” เฮเซคียาห์ตรัสว่า “พวกเขามาหาเราจากแดนไกล จากกรุงบาบิโลน” 4ท่านทูลว่า “พวกเขาเห็นอะไรในพระราชวังของพระองค์บ้าง? ” และเฮเซคียาห์ตรัสตอบว่า “เขาเห็นทุกอย่างในพระราชวังของเรา ไม่มีสิ่งใดในพระคลังของเราซึ่งเราไม่ได้สำแดงแก่พวกเขา”
 5แล้วอิสยาห์ทูลเฮเซคียาห์ว่า “ขอทรงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์จอมทัพ 6‘ดูสิ วันเวลากำลังจะมาถึง เมื่อทุกสิ่งที่อยู่ในพระราชวังของเจ้า และทุกสิ่งที่บรรพบุรุษของเจ้าได้สะสมมาจนถึงทุกวันนี้จะต้องถูกเอาไปยังบาบิโลน จะไม่มีสิ่งใดเหลือเลย พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ 7‘และบุตรทั้งหลายซึ่งจะถือกำเนิดจากเจ้า ซึ่งจะเกิดมาแก่เจ้าจะถูกนำเอาไป และพวกเขาจะเป็นขันทีในพระราชวังของราชาแห่งบาบิโลน’ ” 8แล้วเฮเซคียาห์ตรัสกับอิสยาห์ว่า “พระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งท่านกล่าวนั้นดี” เพราะพระองค์ทรงดำริว่า “จะมีสวัสดิภาพและความปลอดภัย ในวันเวลาของเรา”

อิสยาห์ 40

ประชากรของพระเจ้าได้รับการชูใจ

 1พระเจ้าของพวกท่านตรัสว่า
“จงชูใจ จงชูใจประชากรของเรา
2จงพูดกับเยรูซาเล็มอย่างเห็นใจ
 และจงบอกเมืองนั้นว่า ‘ความลำบากของเธอสิ้นสุดลงแล้ว
 และบาปของเธอได้รับการอภัยแล้ว
และเธอได้รับโทษจากพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์
 เป็นสองเท่าของความผิดของเธอแล้ว’ ”
3เสียงหนึ่งร้องว่า
 “จงเตรียมมรรคาของพระยาห์เวห์ในถิ่นทุรกันดาร
 จงทำทางหลวงในที่ราบแห้งแล้งให้ตรงสำหรับพระเจ้าของเรา
4หุบเขาทุกแห่งจะถูกถมสูงขึ้น
 ภูเขาและเนินเขาทุกลูกจะปรับให้ต่ำลง
ที่ลุ่มๆ ดอนๆ จะทำให้เสมอ
 และที่สูงๆ ต่ำๆ จะให้ราบเรียบ
5และพระสิริของพระยาห์เวห์จะปรากฏ
 แล้วมนุษย์ทุกคนจะมองเห็นด้วยกัน
 เพราะพระโอษฐ์ของพระยาห์เวห์ตรัสไว้แล้ว”
6มีเสียงหนึ่งกล่าวว่า “จงร้องสิ”
 และข้าพเจ้าว่า“ข้าจะร้องอะไร? ” มนุษย์ทุกคนก็เป็นเหมือนต้นหญ้า
 และสง่าราศีทั้งหมดของเขาก็เหมือนดอกไม้ในทุ่ง
7ต้นหญ้าก็เหี่ยวแห้ง และดอกไม้ก็ร่วงโรย
 เมื่อพระปัสสาสะออกของพระยาห์เวห์เป่ามาถูกมัน
 แน่ทีเดียว มนุษยชาตินั้นคือต้นหญ้า
8ต้นหญ้าก็เหี่ยวแห้ง และดอกไม้ก็ร่วงโรย
 แต่พระวจนะพระเจ้าของเราจะยั่งยืนเป็นนิตย์
9เจ้าจงขึ้นไปบนภูเขาสูง
 โอ ศิโยนผู้นำข่าวดี
จงเปล่งเสียงของเจ้าด้วยเต็มกำลัง
 โอ เยรูซาเล็มผู้นำข่าวดี
จงเปล่งเสียงเถิด อย่ากลัวเลย
 จงพูดกับเมืองทั้งหลายของยูดาห์ว่า
 “ดูเถิด พระเจ้าของพวกเจ้า”
10ดูสิ พระยาห์เวห์ องค์เจ้านายเสด็จมาด้วยอานุภาพ
 และพระกรของพระองค์ครอบครองเพื่อพระองค์
นี่แน่ะ รางวัลของพระองค์ก็อยู่กับพระองค์
 และค่าตอบแทนของพระองค์ก็อยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์
11พระองค์จะทรงเลี้ยงฝูงแกะของพระองค์เหมือนผู้เลี้ยงแกะ
 พระองค์จะทรงรวบรวมลูกแกะไว้ด้วยพระกรของพระองค์
พระองค์จะทรงอุ้มไว้ที่พระทรวง
 และจะค่อยๆ นำแม่แกะที่มีลูกอ่อน
12ใครตวงน้ำทั้งหลายด้วยอุ้งมือของตน
 และวัดฟ้าสวรรค์ด้วยคืบเดียว
ทั้งบรรจุผงคลีของแผ่นดินโลกไว้ในถังตวง?
 ใครชั่งภูเขาทั้งหลายด้วยตาชั่ง
 และชั่งบรรดาเนินเขาด้วยตราชู?
13ใครให้คำแนะนำแก่พระวิญญาณของพระยาห์เวห์
 หรือเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ผู้ให้คำสอนแก่พระองค์?
14ใครที่พระองค์ทรงต้องปรึกษาเพื่อจะรู้แจ้ง
 และใครสอนทางแห่งความยุติธรรมให้พระองค์?
ใครสอนความรู้แก่พระองค์
 และสำแดงให้พระองค์รู้ทางแห่งความเข้าใจ?
15นี่แน่ะ บรรดาประชาชาติก็เหมือนน้ำหยดหนึ่งจากถัง
 และถือว่าเป็นเหมือนฝุ่นบนตราชู
 ดูสิ พระองค์ทรงหยิบเกาะทั้งหลายขึ้นมาเหมือนผงคลี
16เลบานอนไม่พอเป็นฟืน
 และสัตว์ป่าของมันก็ไม่พอเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว
17สำหรับพระองค์ ประชาชาติทั้งหมดก็เหมือนไม่มีอะไรเลย
 พระองค์ทรงนับเขาเป็นยิ่งกว่าศูนย์และความว่างเปล่า
18ท่านทั้งหลายจะเปรียบพระเจ้าเหมือนกับใคร
 หรือเปรียบพระองค์คล้ายกับอะไร?
19คล้ายรูปเคารพที่ช่างหล่อไว้
 แล้วช่างทองทำทองหุ้ม
 และทำสร้อยเงินให้หรือ?
20คนยากจนก็หาเครื่องบูชา
 เป็นไม้ที่ไม่ผุ
เขาเสาะหาช่างที่มีฝีมือ
 ให้ตั้งมันขึ้นมาเป็นรูปเคารพที่ไม่สั่นคลอน
21พวกท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือ? ท่านเคยได้ยินไม่ใช่หรือ?
 พวกท่านได้รับการบอกกล่าวตั้งแต่ต้นแล้วไม่ใช่หรือ?
 ท่านไม่เข้าใจเรื่องรากฐานของแผ่นดินโลกหรือ?
22คือพระองค์ประทับเหนือหลังคาโค้งของแผ่นดินโลก
 และชาวแผ่นดินโลกก็เป็นเหมือนตั๊กแตน
พระองค์ทรงขึงฟ้าสวรรค์เหมือนขึงม่าน
 และกางมันออกเหมือนเต็นท์สำหรับอาศัย
23ผู้ทรงทำให้เจ้านายเป็นเหมือนไม่มีอะไรเลย
 และทรงทำให้ผู้ครอบครองแผ่นดินโลกเป็นเหมือนความว่างเปล่า
24พวกเขายังไม่ทันจะถูกปลูก ยังไม่ทันจะถูกหว่าน
 ต้นของเขายังไม่ทันจะหยั่งรากลงพื้นดิน
เมื่อพระองค์ทรงเป่าบนพวกเขา เขาก็เหี่ยวแห้งไป
 และพายุก็พัดพาเขาไปเหมือนตอข้าว
25องค์บริสุทธิ์ตรัสว่า “พวกเจ้าจะเปรียบเรากับผู้ใด?
 และมีใครที่เสมอเหมือนเรา? ”
26จงเงยตาของพวกท่านขึ้น แล้วมองดูว่า
 ใครสร้างสิ่งเหล่านี้?
พระองค์ทรงนำพวกมันออกมาเป็นกลุ่มๆ ตามจำนวน
 เรียกชื่อของมันทั้งหมด
เพราะพลังของพระองค์นั้นมีมากมาย
 และกำลังของพระองค์นั้นใหญ่หลวงนัก
 จึงไม่ขาดหายไปแม้แต่ดวงเดียว
27โอ ยาโคบเอ๋ย ทำไมท่านจึงกล่าวว่า
 อิสราเอลเอ๋ย ทำไมท่านจึงพูดว่า
“ทางของข้าพเจ้าถูกปิดไว้จากพระยาห์เวห์
 และความยุติธรรมที่ควรเป็นของข้าพเจ้านั้นก็ผ่านพระเจ้าของข้าพเจ้าไป?”
28ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือ? ท่านเคยได้ยินไม่ใช่หรือ?
 พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์
เป็นผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก
 พระองค์ไม่ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย
 ความเข้าใจของพระองค์ก็เหลือจะหยั่งรู้ได้
29พระองค์ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย
 และผู้ไม่มีพลังนั้นพระองค์ทรงให้มีเรี่ยวแรงมาก
30แม้คนหนุ่มๆ จะอ่อนเปลี้ยและเหน็ดเหนื่อย
 และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว
31แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระยาห์เวห์จะได้รับกำลังใหม่
 เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี
เขาจะวิ่งและไม่อ่อนเปลี้ย
 เขาจะเดินและไม่เหน็ดเหนื่อย

อรรถาธิบาย

รับรู้ว่าความรักของพระเจ้ามั่นคงต่อคุณแค่ไหน

ความรักที่พระเจ้ามีต่อคุณคงอยู่ชั่วนิรันดร์ ความรักนั้นจะไม่ปล่อยคุณไป: ‘แต่พระองค์ทรงฉุดชีวิตของข้าพระองค์ ออกจากหลุมของความพินาศ เพราะพระองค์ทรงเหวี่ยงบาปทั้งหมดของข้าพระองค์ ไว้ข้างหลังของพระองค์’ (38 ข้อ 17) เรื่องราวของเฮเซคียาห์ พระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของเขาและเห็นน้ำตาของเขา พระองค์เพิ่มชีวิตเขาอีกสิบห้าปีและช่วยเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย (ข้อ 5–6)

ส่วนที่สองของพระธรรมอิสยาห์เริ่มต้นด้วยถ้อยคำที่ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาอ้างในภายหลัง (40:3) ข้อความพระธรรมอิสยาห์ บทที่ 40–55 คือ “การเนรเทศจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า” เมื่อใดพระเยซูเสด็จมา พระองค์จะทรงประกาศจุดสิ้นสุดที่แท้จริงของการเป็นเชลย ในบทที่ 40-55 พวกเราได้รับคำพยากรณ์ อิสยาห์ประกาศถึงจุดจบของการพลัดพรากจากถิ่นที่อยู่ซึ่งอิสราเอลประสบในศตวรรษที่หกก่อนคริสต์ศักราช

อิสยาห์เล็งเห็นถึงความรู้สึกใหม่จากการทรงสถิตของพระเจ้า (บทที่ 40 ข้อ 3–5) ความมั่นใจที่เป็นมาใหม่ในพระวจนะของพระเจ้า (ข้อ 6–8) และนิมิตใหม่ที่เป็นมาจากพระเจ้า (ข้อ 9 เป็นต้นไป)

อิสยาห์เห็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเขาเขียนไว้ว่า ‘พระองค์จะทรงเลี้ยงฝูงแกะของพระองค์เหมือนผู้เลี้ยงแกะ พระองค์จะทรงรวบรวมลูกแกะไว้ด้วยพระกรของพระองค์ พระองค์จะทรงอุ้มไว้ที่พระทรวงและจะค่อย ๆ นำแม่แกะที่มีลูกอ่อน’ (ข้อ 11; ดู ยอห์น 10 ด้วย)

ไม่มีผู้ใดจะเทียบเคียงกับพระเจ้าในแง่ของความยิ่งใหญ่ได้ พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างจักรวาล (อิสยาห์ 40 ข้อ 12–14) เมื่อเปรียบเทียบกับพระองค์แล้ว “บรรดาประชาชาติก็เหมือนน้ำหยดหนึ่งจากถัง” (ข้อ 15) เป็นเรื่องเหลวไหลที่จะเปรียบเทียบพระเจ้ากับรูปเคารพที่สร้างโดยช่างฝีมือ (ข้อ 18–20)

เมื่อเปรียบเทียบกับพระเจ้าแล้ว ผู้คนในโลกนี้แม้แต่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ก็เป็น ‘เหมือนตั๊กแตน’ (ข้อ 22) พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวง รวมทั้งดวงดาวหลายพันล้านดวง (ข้อ 26) พระเจ้านี้คือพระเจ้าที่รักคุณเป็นการส่วนตัว และพาคุณเข้าใกล้พระทัยของพระองค์ พระเจ้าไม่ได้มา ๆ ไป ๆ พระเจ้าคงอยู่กับเราตลอด

พระเจ้ายังเป็นพระเจ้าที่แบ่งปันอำนาจ พระองค์ ‘เติมพลังให้กับผู้ที่เหนื่อยล้า… ผู้ที่รอคอยพระเจ้าจะได้รับพลังใหม่’ (ข้อ 29–31, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) จงรอคอยพระเจ้าอย่างเงียบ ๆ ศึกษาพระวจนะของพระองค์ อธิษฐาน นมัสการ และใคร่ครวญความรักที่พระองค์มีต่อคุณ พระองค์จะทรงฟื้นฟูคุณ เติมพลังให้คุณ และมอบอำนาจให้คุณเผชิญทุกสิ่งในทุกอย่างที่คุณต้องทำ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับความรักอันยิ่งใหญ่ พระองค์คือพระผู้สร้างของสรรพสิ่งทั้งปวงอันกว้างใหญ่นี้ พระองค์ทรงด้วยฤทธิ์เดช แต่พระองค์รักข้าพระองค์ นำข้าพระองค์ไว้ในอ้อมแขนของพระองค์ และโอบกอดข้าพระองค์ไว้ใกล้พระทัยของพระองค์ โปรดเพิ่มกำลังแก่ข้าพระองค์ในขณะที่ข้าพระองค์เฝ้ารอคอยพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

อิสยาห์ 40:28

‘พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ เป็นผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก’

พระเจ้าองค์เดียวกันที่สร้างสรรพสิ่งทั้งปวงนี้ทรงห่วงใยพวกเรา ‘พระองค์จะทรงรวบรวมลูกแกะไว้ด้วยพระกรของพระองค์ พระองค์จะทรงอุ้มไว้ที่พระทรวง’ (ข้อ 11) พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และทรงฤทธานุภาพของเรายังเป็นพระเจ้าที่อ่อนโยนอีกด้วย

ข้อพระคำประจำวัน

กาลาเทีย 2:20

'...พระบุตรของพระเจ้า... รักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม