วัน 219

3 ท่าทีไม่ดีอันเป็นเหตุของการแบ่งแยก

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 92:1-15
พันธสัญญาใหม่ 1 โครินธ์ 3:1-23
พันธสัญญาเดิม 1 พงศาวดาร 24:1-26:19

เกริ่นนำ

ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัย ผมได้แชร์ห้องร่วมกับนิคกี้ ลี เพื่อนสนิทของผม ซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งในผู้ช่วยศิษยาภิบาลของคริสตจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตัน เราทำอาหารเองทั้งหมด ผมทำอาหารและนิคกี้ ลีเป็นคนแบ่ง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแบ่งอาหารออกเท่า ๆ กัน! นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่ใช้การแบ่งในแง่ดีมากกว่าไม่ดี

การแบ่งแยกเป็นความจริงของชีวิต การแบ่งแยกไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ไม่ดี อันที่จริงอาจจำเป็นด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น การจัดบุคคลในแผนกต่าง ๆ ในองค์กรอาจเป็นประโยชน์และมีความสำคัญ เราเห็นการแบ่งลักษณะนี้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมสำหรับวันนี้

จากนั้นจะมีการแบ่งแยกที่จะเกิดขึ้นในวันพิพากษา นี่เป็นการแบ่งแยกระหว่างความดีและความชั่ว การแบ่งแยกแบบนี้สามารถเห็นได้ในพระธรรมสดุดีสำหรับวันนี้

นอกจากนี้ยังมีการแบ่งแยกแบบที่สามซึ่งไม่ดี ไม่เป็นประโยชน์และไม่มีความจำเป็น ความแตกแยกและการแบ่งแยกในคริสตจักรเป็นโศกนาฏกรรม การแบ่งประเภทนี้เป็นสิ่งที่เราต้องพยายามหลีกเลี่ยงให้ดีที่สุด การแบ่งแยกแบบนี้อัครทูตเปาโลได้กล่าวถึงในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่สำหรับวันนี้

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 92:1-15

คำขอบคุณพระเจ้า สำหรับความเป็นธรรม

เพลงสดุดี บทเพลงสำหรับวันสะบาโต

1เป็นการดีที่จะขอบพระคุณพระยาห์เวห์
 ข้าแต่องค์ผู้สูงสุด ที่จะร้องเพลงสดุดีพระนามของพระองค์
2ที่จะประกาศความรักมั่นคงของพระองค์ในเวลาเช้า
 และประกาศความซื่อสัตย์ของพระองค์ในกลางคืน
3ด้วยพิณสิบสายและพิณใหญ่
 และด้วยเสียงพิณเขาคู่
4ข้าแต่พระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ยินดีด้วย
  พระราชกิจของพระองค์
 ข้าพระองค์ร้องเพลงด้วยความยินดี เนื่องด้วยผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์
5ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระราชกิจของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก
 พระดำริของพระองค์สุดลึกล้ำ
6คนเขลาจะไม่รู้เรื่อง
 คนโง่จะไม่เข้าใจเรื่องนี้ว่า
7ถึงแม้คนอธรรมงอกขึ้นอย่างหญ้า
 และผู้ทำความชั่วทุกคนเจริญขึ้น
 เขาทั้งหลายก็จะถูกทำลายเป็นนิตย์
8ข้าแต่พระยาห์เวห์ แต่พระองค์ทรงอยู่บนที่สูงเป็นนิตย์
9ข้าแต่พระยาห์เวห์ เพราะนี่แน่ะ ศัตรูของพระองค์
 เพราะนี่แน่ะ ศัตรูของพระองค์จะพินาศ
 ผู้ทำความชั่วทุกคนจะกระจัดกระจายไป
10แต่พระองค์ทรงยกชูเขาของข้าพระองค์ขึ้นอย่างกับเขาวัวกระทิง
 พระองค์ทรงเทน้ำมันใหม่บนข้าพระองค์
11ตาของข้าพระองค์เห็นความพ่ายแพ้ของพวกศัตรู
 หูของข้าพระองค์ได้ยินถึงความล่มจมของคนทำชั่วที่ลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์
12คนชอบธรรมจะงอกงามอย่างต้นอินทผลัม
 เขาจะเจริญขึ้นอย่างต้นสนสีดาร์ในเลบานอน
13ซึ่งปลูกไว้ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์
 และงอกงามในบริเวณพระนิเวศของพระเจ้าของเรา
14มันยังออกผลเมื่อแก่แล้ว
 มันมีน้ำเลี้ยงเต็มและเขียวสดอยู่
15เพื่อแสดงว่าพระยาห์เวห์นั้นเที่ยงธรรม
 พระองค์ทรงเป็นศิลาของข้าพระองค์ ในพระองค์ไม่มีความอธรรม

อรรถาธิบาย

การแบ่งแยกระหว่างคนชอบธรรมและคนอธรรม

จากในพระธรรมสดุดี โลกจะถูกแบ่งออกระหว่าง ‘คนอธรรม’ (ข้อ 7) และ ‘คนชอบธรรม’ (ข้อ 12) คนอธรรมเป็น ‘คนเขลา’ ที่ ‘ไม่เข้าใจ’ (ข้อ 6) พวกเขาเป็น ‘ศัตรู’ ของพระเจ้า (ข้อ 9) วันหนึ่งคนอธรรมไม่เพียงถูกแยกออกจากคนชอบธรรมพวกเขายังถูกทำให้กระจัดกระจาย (ข้อ 9) และจะ ‘พินาศ’ (ข้อ 9) ตรงกันข้าม คนชอบธรรมจะมีอนาคตที่มั่นคง (ข้อ 12–15)

ทั้ง ‘คนอธรรม’ (ข้อ 7) และ ‘คนชอบธรรม... จะงอกงาม’ (ข้อ 12–13) แต่ในทางที่แตกต่างกัน สำหรับ ‘คนอธรรม’ (ข้อ 7) จะผ่านไปและอยู่ชั่วขณะ พวกเขาจะถูก ‘ทำลาย’ ในไม่ช้า (ข้อ 7) พวกเขาเป็นเหมือนหญ้า แต่สำหรับ ‘คนชอบธรรม’ (ข้อ 12) คือความยั่งยืน และรุ่งเรืองชั่วนิรันดร์ เป็น ‘เหมือนต้นอินทผลัม’ หรือ ‘สนซีดาร์ในเลบานอน’ (ข้อ 12) ‘มันยังออกผลเมื่อแก่แล้ว มันมีน้ำเลี้ยงเต็มและเขียวสดอยู่’ (ข้อ 14)

ความแตกต่างระหว่างความสำเร็จของโลก นั่นคือ อำนาจ ชื่อเสียง เงินทอง เปรียบเทียบกับความสำเร็จของสาวกของพระเยซูในการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์นั้น เปรียบเสมือนความแตกต่างระหว่างต้นหญ้าที่คงอยู่เพียงไม่กี่วันกับต้นอินทผลัมที่มีอายุยืนยาว

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์เห็นพระพรอันยั่งยืนที่พระองค์ประทานแก่ผู้ที่ติดตามพระองค์ ข้าพระองค์ต้องการที่จะ ‘ประกาศความรักมั่นคงของพระองค์ในเวลาเช้าและประกาศความซื่อสัตย์ของพระองค์ในกลางคืน’ (ข้อ 2)
พันธสัญญาใหม่

1 โครินธ์ 3:1-23

เพื่อนร่วมงานเพื่อพระเจ้า

 1พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจจะพูดกับท่าน เหมือนพูดกับพวกที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ต้องพูดเหมือนพวกที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เหมือนกับพวกที่เป็นทารกในพระคริสต์ 2ข้าพเจ้าเลี้ยงพวกท่านด้วยน้ำนม ไม่ใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่าเมื่อก่อนท่านไม่สามารถรับ และเดี๋ยวนี้ท่านก็ยังคงไม่สามารถรับได้ 3เพราะว่าท่านทั้งหลายยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เพราะเมื่อยังอิจฉากัน และขัดเคืองใจกัน พวกท่านก็อยู่ฝ่ายเนื้อหนังและประพฤติอย่างคนทั่วไปไม่ใช่หรือ? 4เพราะเมื่อคนหนึ่งกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของเปาโล” และอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของอปอลโล” ท่านทั้งหลายก็เป็นเหมือนคนทั่วไปไม่ใช่หรือ?
 5อปอลโลคือใคร? เปาโลคือใคร? คือผู้ปรนนิบัติซึ่งได้สอนพวกท่านให้เชื่อ ตามงานที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้แต่ละคน 6ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโต 7เพราะฉะนั้นคนที่ปลูกและคนที่รดน้ำไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ 8คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำก็เป็นพวกเดียวกัน และทุกคนก็จะได้บำเหน็จตามการงานของตน 9เพราะว่าเราร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า และเป็นตึกของพระองค์
 10โดยพระคุณของพระเจ้าที่ประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางรากลงแล้วเหมือนนายช่างผู้ชำนาญ และอีกคนหนึ่งก็มาก่อขึ้น แต่ละคนต้องระวังให้ดีว่าเขาจะก่อขึ้นอย่างไร 11เพราะว่าใครจะมาวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์ 12บนรากนั้นถ้าใครจะก่อขึ้นด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง 13การงานของแต่ละคนก็จะปรากฏให้เห็น เพราะวันพิพากษานั้นภาษากรีกแปลตรงตัวว่า วันนั้นจะสำแดงให้เห็น คือจะถูกเผยให้เห็นด้วยไฟ และไฟนั้นจะพิสูจน์ว่าการงานของแต่ละคนเป็นอย่างไร 14ถ้าการงานของใครที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ คนนั้นก็จะได้บำเหน็จ 15ถ้าการงานของใครถูกเผาไหม้ไป คนนั้นก็จะได้รับความสูญเสีย ส่วนตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ
 16ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน? 17ถ้าใครทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายคนนั้น เพราะว่าวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์ และพวกท่านเป็นวิหารนั้น
 18อย่าให้ใครหลอกลวงตัวเอง ถ้าใครในพวกท่านคิดว่าตัวเป็นคนมีปัญญาตามหลักของยุคนี้ จงให้คนนั้นยอมเป็นคนโง่ เพื่อจะได้เป็นคนมีปัญญา 19เพราะว่าปัญญาของโลกนี้ เป็นความโง่ในสายพระเนตรของพระเจ้า เพราะมีเขียนไว้ว่า

“พระองค์ทรงจับคนมีปัญญาด้วยอุบายของพวกเขาเอง”

 20และมีเขียนไว้อีกว่า

“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบความคิดของพวกที่มีปัญญา
 ว่าเป็นสิ่งไร้ประโยชน์”

 21เพราะฉะนั้น อย่าให้ใครยกมนุษย์ขึ้นอวด เพราะว่าทุกสิ่งเป็นของท่านทั้งหลาย 22ไม่ว่าจะเป็นเปาโล หรืออปอลโล หรือเคฟาส หรือโลก หรือชีวิต หรือความตาย หรือปัจจุบัน หรืออนาคต ทุกสิ่งนั้นล้วนเป็นของท่าน 23และท่านทั้งหลายเป็นของพระคริสต์ และพระคริสต์ทรงเป็นของพระเจ้า

อรรถาธิบาย

การแบ่งแยกในคริสตจักร

จดหมายของเปาโลถึงชาวโครินธ์เหมือนแซนด์วิช ท่านเริ่มต้นด้วยการสรรเสริญและความรัก ท่านลงท้ายด้วยพระคุณและความรัก ในตอนกลาง เปาโลหยิบยกประเด็นที่ท่านต้องการชาวโครินธ์ให้จัดการ

นี่เป็นแบบอย่างที่ดีเมื่อต้องเผชิญปัญหาในระดับปัจเจกบุคคล หรือในระดับคริสตจักร คือเริ่มต้นและสิ้นสุดด้วยข้อความเชิงบวกและให้กำลังใจ แต่มีความกล้าที่จะจัดการกับปัญหา

ประเด็นหนึ่งที่เปาโลหยิบยกขึ้นมา คือ การแบ่งแยกในคริสตจักร ท่านกล่าวว่าพวกเขาอยู่ฝ่าย ‘เนื้อหนัง’ (ข้อ 1) และ ‘ไม่อยู่ฝ่ายวิญญาณ’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อีกนัยหนึ่ง พวกเขาเป็นผู้อยู่ในฝ่าย ‘วิญญาณ’ ในบรรดาคริสตจักรทั้งหมดที่อาจารย์เปาโลเขียนถึง ชาวโครินธ์ ‘ไม่ได้ขาดของประทาน’ (1:7) อย่างไรก็ตาม พวกเขาอยู่ฝ่าย ‘เนื้อหนัง’ เพราะทัศนคติที่ไม่ดี ซึ่งนำไปสู่ความแตกแยก

ท่านชี้ให้เห็นทัศนคติที่ไม่ดีสามประการ สิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายสำหรับคริสเตียนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้นำคริสเตียน

  1. ความอิจฉา
    เปาโลเขียนว่า ‘เพราะเมื่อยังอิจฉากัน ...พวกท่านก็อยู่ฝ่ายเนื้อหนังและประพฤติอย่างคนทั่วไปไม่ใช่หรือ?’ (3:3) การเปรียบเทียบตัวเรากับผู้อื่นเป็นการล่อลวง และเมื่อเราได้ยินเกี่ยวกับพระพรบางอย่างที่คนอื่นได้รับ เราเริ่มคิดว่า 'สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับฉันเมื่อใด' แต่ดังที่จอยซ์ ไมเยอร์เขียนว่า ‘เราควรอวยพรผู้อื่นและไม่กลัวการที่พวกเขาจะแซงหน้าเรา เราต้องไม่อิจฉารูปลักษณ์ ทรัพย์สิน การศึกษา ฐานะทางสังคม สถานภาพสมรส ของประทานและความสามารถ งาน หรือสิ่งอื่นใดของคนอื่น เพราะนั่นจะเป็นอุปสรรคต่อพระพรของเราเองเท่านั้น’

  2. การโอ้อวด
    เปาโลเขียนว่า ‘เพราะฉะนั้น อย่าให้ใครยกมนุษย์ขึ้นอวด!’ (ข้อ 21) การโอ้อวดเป็นการทดลองให้เปรียบเทียบตัวเรากับผู้อื่นที่คิดว่าเราทำได้ค่อนข้างดี และอวดถึง ‘ความสำเร็จ’ ของเรา เราจำเป็นต้องเข้าใจส่วนของเราในระบบเศรษฐกิจของพระเจ้าในมุมมองที่ถูกต้อง สิ่งแรก เราเป็นเพียง ‘คนทั่วไป’ (ข้อ 4) ประการที่สองเราเป็น ‘ผู้ปรนนิบัติ’ (ข้อ 5) ประการที่สาม ‘คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำไม่สำคัญอะไร’ (ข้อ 7) ดังนั้นจึงไม่มีเหตุให้ ‘โอ้อวด’ (ข้อ 21)

  3. การทะเลาะวิวาท เปาโลเขียนว่า ‘การทะเลาะ’ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่อาจารย์เปาโลเห็นว่าชาวโครินธ์ไม่อยู่ฝ่าย ‘วิญญาณ’ เราควรหลีกเลี่ยงการเลือกข้าง ซึ่ง ‘เมื่อคนหนึ่งกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นศิษย์เปาโล” และอีกคนหนึ่งกล่าวว่า“ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของอปอลโล”’ (ข้อ 4)

ทั้งหมดนี้เกิดจากความคิดลำพองว่าตนเองสำคัญ สิ่งเหล่านี้เป็นท่าทีที่ ‘ไม่ใช่ฝ่ายวิญญาณ’ ท่าทีเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องธรรมดาในมนุษย์คนบาป ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก และที่น่าเศร้ายังระบาดไปยังคริสตจักรด้วยเช่นกัน

เราต้องเข้าใจว่าเราทุกคนพึ่งพาพระเจ้าอย่างเต็มที่ คนหนึ่งหว่านเมล็ด อีกคนหนึ่งรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโต (ข้อ 6) การปลูกและรดน้ำมีความสำคัญ แต่ก็ค่อนข้างง่าย พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำสิ่งยาก ๆ และทำให้พืช ผู้คน และคริสตจักรเติบโตได้

คุณมีหน้าที่ต้องทำ ประการแรก พระเจ้าใช้คุณเพื่อนำผู้คนมาสู่ความเชื่อ อปอลโลและเปาโลคือ ‘ผู้ปรนนิบัติซึ่งได้สอนพวกท่าน (ชาวโครินธ์) ให้เชื่อ’ (ข้อ 5) ประการที่สอง พระเจ้าจะทรงประทานบำเหน็จแก่คุณ คนปลูกและคนรดน้ำมีจุดประสงค์เดียวกัน แต่ละคนจะได้รับบำเหน็จตามผลงานของตน สิ่งที่สาม คุณเป็นผู้ที่ ‘ร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า’ (ข้อ 9) พระเจ้าได้เลือกที่จะไม่ทำด้วยพระองค์เอง ทรงเลือกใช้คุณ

การที่พระเจ้าใช้ถือเป็นสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ คุณไม่เพียงแต่เป็นผู้ ‘ร่วมกันทำงาน’ เพื่อพระเจ้า (ข้อ 9) คุณยังเป็น ‘ไร่นาของพระเจ้า เป็นตึกของพระเจ้า’ (ข้อ 9) ผู้คนพยายามสร้างชีวิตของตนจากหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น เงิน การศึกษา ตำแหน่งงาน ทรัพย์สมบัติ และอื่น ๆ แต่พระเยซูทรงเป็นรากฐานที่มั่นคงแห่งเดียว (ข้อ 11)

นอกจากนี้ อาจารย์เปาโลยังเขียนต่อไปว่า ‘ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน?’ (ข้อ 16) ดังนั้นอาจารย์เปาโลจึงเขียนว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ต้องการที่จะได้ยินใครคุยโวเกี่ยวกับตัวเองหรือใครก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของพวกท่านแล้วในฐานะของประทาน… และพวกท่านได้รับสิทธิพิเศษที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า’ (ข้อ 21–23, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่เราเป็นผู้ร่วมงานกับพระองค์ และพระองค์เองทรงทำให้สิ่งต่าง ๆ เติบโตขึ้น ขอทรงปกป้องเราจากความจองหอง การโอ้อวด ความริษยา และการทะเลาะวิวาท โปรดปกป้องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคริสตจักร
พันธสัญญาเดิม

1 พงศาวดาร 24:1-26:19

 1กองเวรของพงศ์พันธุ์อาโรนมีดังนี้ บุตรอาโรนคือนาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ 2แต่นาดับและอาบีฮูสิ้นชีวิตก่อนบิดาของพวกเขา และไม่มีบุตร เอเลอาซาร์และอิธามาร์จึงรับใช้ในหน้าที่ปุโรหิต 3ด้วยความช่วยเหลือของศาโดกจากบุตรของเอเลอาซาร์และอาหิเมเลคบุตรอิธามาร์ ดาวิดทรงจัดเวรตามหน้าที่ในการปรนนิบัติของเขาทั้งหลาย 4มีเหล่าหัวหน้าในหมู่บุตรเอเลอาซาร์มากกว่าในหมู่บุตรอิธามาร์ พวกเขาจึงแบ่งดังนี้ พวกบุตรเอเลอาซาร์มี 16 คนเป็นหัวหน้าของตระกูล และพวกบุตรอิธามาร์ตามตระกูลของเขามี 8 คน 5เขาทั้งหลายแบ่งด้วยฉลากกลุ่มนี้และอีกกลุ่มเหมือนกัน เพราะพวกเขาเป็นผู้นำของสถานนมัสการ และผู้นำของพระนิเวศของพระเจ้าจากหมู่บุตรของเอเลอาซาร์กับหมู่บุตรของอิธามาร์ 6และเชไมยาห์ บุตรนาธันเอลอาลักษณ์จากพวกเลวีจดชื่อพวกเขาไว้เฉพาะพระพักตร์พระราชา ต่อหน้าเหล่าผู้นำและศาโดกปุโรหิต และอาหิเมเลคบุตรอาบียาธาร์ และบรรดาหัวหน้าตระกูลของปุโรหิตและของคนเลวี ตระกูลหนึ่งถูกเลือกเพื่อเอเลอาซาร์ และอีกตระกูลหนึ่งเพื่ออิธามาร์
 7ฉลากแรกตกกับเยโฮยาริบ ที่สองตกแก่เยดายาห์ 8ที่สามแก่ฮาริม ที่สี่แก่เสโอริม 9ที่ห้าแก่มัลคิยาห์ ที่หกแก่มิยามิน 10ที่เจ็ดแก่ฮักโขส ที่แปดแก่อาบียาห์ 11ที่เก้าแก่เยชูอา ที่สิบแก่เชคานิยาห์ 12ที่สิบเอ็ดแก่เอลียาชีบ ที่สิบสองแก่ยาคิม 13ที่สิบสามแก่หุปปาห์ ที่สิบสี่แก่เยเชเบอับ 14ที่สิบห้าแก่บิลกาห์ ที่สิบหกแก่อิมเมร์ 15ที่สิบเจ็ดแก่เฮซีร์ ที่สิบแปดแก่ฮัปปิสเซส 16ที่สิบเก้าแก่เปธาหิยาห์ ที่ยี่สิบแก่เยเฮเซเคล 17ที่ยี่สิบเอ็ดแก่ยาคีน ที่ยี่สิบสองแก่กามูล 18ที่ยี่สิบสามแก่เดไลยาห์ ที่ยี่สิบสี่แก่มาอาซิยาห์ 19คนเหล่านี้มีกำหนดการตามงานปรนนิบัติของพวกเขาที่จะเข้าไปในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ตามระเบียบที่อาโรน บิดาของพวกเขาวางไว้ ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงบัญชาเขา
 20ส่วนเชื้อสายของเลวีที่เหลืออยู่คือจากบุตรอัมรามมีชูบาเอล จากบุตรชูบาเอลมีเยเดยาห์ 21ส่วนเรหับยาห์คือจากบุตรเรหับยาห์มีอิสชีอาห์ เป็นหัวหน้า 22จากคนอิสฮาร์มีเชโลโมท จากบุตรเชโลโมทมียาหาท 23และบุตรเฮโบรนคือเยรียาห์ผู้เป็นหัวหน้า อามาริยาห์ที่สอง ยาฮาซีเอลที่สาม เยคาเมอัมที่สี่ 24บุตรอุสซีเอลคือมีคาห์ บุตรมีคาห์คือชามีร์ 25น้องชายของมีคาห์คืออิสชียาห์ บุตรอิสชียาห์คือเศคาริยาห์ 26บุตรเมรารีคือมาห์ลีและมูชี บุตรยาอาซียาห์คือเบโน 27บุตรเมรารีทางยาอาซียาห์มี เบโน โชฮัม ศักเกอร์ และอิบรี 28ทางมาห์ลีคือเอเลอาซาร์ผู้ไม่มีบุตรชาย 29ทางคีช บุตรของคีชคือเยราเมเอล 30บุตรมูชีคือมาห์ลี เอเดอร์ และเยรีโมท คนเหล่านี้เป็นบุตรของคนเลวี ตามตระกูลต่างๆ ของพวกเขา 31คนเหล่านี้ก็ได้จับฉลากเช่นเดียวกับพวกพี่น้องของเขาที่เป็นบุตรของอาโรน เฉพาะพระพักตร์ของกษัตริย์ดาวิด และต่อหน้าศาโดก อาหิเมเลค และเหล่าหัวหน้าของตระกูลปุโรหิต คนเลวี ครอบครัวของบุตรหัวปีต้องจับฉลากเหมือนครอบครัวของบุตรสุดท้อง

1 พงศาวดาร 25

การแบ่งนักดนตรี

 1ดาวิดและบรรดาผู้บัญชาการของกองทัพจัดแยกบางคนเพื่อการปรนนิบัติคือบุตรของอาสาฟ ของเฮมาน และของเยดูธูน ผู้ซึ่งจะเผยพระวจนะด้วยพิณเขาคู่ ด้วยพิณใหญ่และด้วยฉาบ จำนวนคนทำงานตามการปรนนิบัติของพวกเขาคือ 2จากบุตรของอาสาฟคือศักเกอร์ โยเซฟ เนธานิยาห์ และอาชาเรลาห์ บุตรของอาสาฟ ภายใต้การนำของอาสาฟ ผู้เผยพระวจนะภายใต้การทรงนำของพระราชา 3จากเยดูธูนคือ บุตรของเยดูธูนมี เกดาลิยาห์ เศรี เยชายาห์ ชิเมอี ฮาชาบิยาห์ และมัททีธิยาห์ รวม 6 คนภายใต้การนำของเยดูธูน บิดาของพวกเขา ผู้เผยพระวจนะด้วยพิณเขาคู่ในการขอบพระคุณและสรรเสริญต่อพระยาห์เวห์ 4จากเฮมานคือบุตรของเฮมานมี บุคคียาห์ มัทธานิยาห์ อุสซีเอล เชบูเอล เยรีโมท ฮานานิยาห์ ฮานานี เอลียาธาห์ กิดดาลที โรมัมทีเอเซอร์ โยชเบคาชาห์ มัลโลธี โฮธีร์ และมาหะซิโอท 5คนทั้งหมดนี้เป็นบุตรเฮมานผู้ทำนายของพระราชา ตามพระดำรัสของพระเจ้าเพื่อจะยกย่องเขา และพระเจ้าประทานบุตรชาย 14 คน และบุตรหญิง 3 คนแก่เฮมาน 6ทุกคนอยู่ภายใต้การนำของบิดาของเขา ในเรื่องเพลงของพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ด้วยฉาบ พิณใหญ่ และพิณเขาคู่ เพื่อการปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเจ้า อาสาฟ เยดูธูน และเฮมาน อยู่ภายใต้การทรงนำของพระราชา 7จำนวนของเขารวมทั้งพี่น้องของเขา ผู้รับการฝึกในเรื่องเพลงถวายพระยาห์เวห์ ทุกคนผู้มีความชำนาญ มี 288 คน 8เขาทั้งหลายจับฉลากหน้าที่ของเขา ทั้งผู้น้อย ผู้ใหญ่ ครู และศิษย์ก็เหมือนกัน 9ฉลากแรกสำหรับพวกอาสาฟตกเป็นของโยเซฟบุตรของเขา และพี่น้องของเขา 12 คน
ที่สองเป็นของเกดาลิยาห์ พี่น้องและบุตรของเขา\t12 คน
10ที่สามตกแก่ศักเกอร์ บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
11ที่สี่ได้แก่อิสรี บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
12ที่ห้าได้แก่เนธานิยาห์ บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
13ที่หกได้แก่บุคคียาห์ บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
14ที่เจ็ดได้แก่เยชาเรลาห์ บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
15ที่แปดได้แก่เยชายาห์ บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
16ที่เก้าได้แก่มัทธานิยาห์ บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
17ที่สิบได้แก่ชิเมอี บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
18ที่สิบเอ็ดได้แก่อาซาเรล บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
19ที่สิบสองได้แก่ฮาชาบิยาห์ บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
20ที่สิบสามได้แก่ชูบาเอล บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
21ที่สิบสี่ได้แก่มัททีธิยาห์ บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
22ที่สิบห้าได้แก่เยเรโมท บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
23ที่สิบหกได้แก่ฮานานิยาห์ บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
24ที่สิบเจ็ดได้แก่โยชเบคาชาห์ บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
25ที่สิบแปดได้แก่ฮานานี บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
26ที่สิบเก้าได้แก่มัลโลธี บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
27ที่ยี่สิบได้แก่เอลียาธาห์ บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
28ที่ยี่สิบเอ็ดได้แก่โฮธีร์ บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
29ที่ยี่สิบสองได้แก่กิดดาลที บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
30ที่ยี่สิบสามได้แก่มาหะซิโอท บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน
31ที่ยี่สิบสี่ได้แก่โรมัมทีเอเซอร์ บุตรของเขา และพี่น้องของเขา\t12 คน

1 พงศาวดาร 26

คนเฝ้าประตู

 1กองเวรเฝ้าประตู จากคนโคราห์มีเมเชเลมิยาห์บุตรโคเร จากพวกบุตรของอาสาฟ 2และเมเชเลมิยาห์มีบุตรคือเศคาริยาห์บุตรหัวปี เยดียาเอลที่สอง เศบาดิยาห์ที่สาม ยาทนีเอลที่สี่ 3เอลามที่ห้า เยโฮฮานันที่หก เอลีโฮเอนัยที่เจ็ด 4และโอเบดเอโดมมีบุตรคือ เชไมยาห์บุตรหัวปี เยโฮซาบาดที่สอง โยอาห์ที่สาม สาคาร์ที่สี่ เนธันเอลที่ห้า 5อัมมีเอลที่หก อิสสาคาร์ที่เจ็ด เปอุลเลธัยที่แปด เพราะว่าพระเจ้าทรงอวยพรเขา 6และแก่เชไมยาห์บุตรของเขาด้วย ผู้มีบุตรชายหลายคนเกิดแก่เขา เป็นผู้ปกครองในตระกูลบิดาของเขา เพราะเขาทั้งหลายเป็นคนเก่งกล้าสามารถ 7บุตรเชไมยาห์คือโอทนี เรฟาเอล โอเบด และเอลซาบาด พี่น้องของเขาคือเอลีฮู และเสมาคิยาห์ เป็นคนเข้มแข็ง 8คนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นบุตรโอเบดเอโดม พวกเขากับบุตรชายของพวกเขา และพี่น้องของเขา เป็นคนเข้มแข็ง มีกำลังสำหรับงานปรนนิบัติ จำนวนคนโอเบดเอโดมคือ 62 คน 9และเมเชเลมิยาห์มีบุตรชาย และพี่น้องเป็นคนเข้มแข็ง 18 คน 10และโฮสาห์ผู้เป็นบุตรของเมรารีมีบุตรคือชิมรีผู้เป็นหัวหน้า (เพราะถึงเขาจะไม่เป็นบุตรหัวปี บิดาของเขาก็ตั้งให้เขาเป็นหัวหน้า) 11ฮิลคียาที่สอง เทบาลิยาห์ที่สาม เศคาริยาห์ที่สี่ บุตรชาย และพี่น้องของโฮสาห์ทั้งสิ้นมี 13 คน
 12กองเวรเฝ้าประตูเหล่านี้ตามบรรดาหัวหน้าเก่งกล้าของพวกเขา มีหน้าที่เช่นเดียวกับพี่น้องของพวกเขา ในการปรนนิบัติในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 13และเขาจับฉลากกันตามตระกูลของเขา ทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ เพื่อประจำการทุกประตู 14ฉลากสำหรับด้านตะวันออกตกแก่เชเลมิยาห์ พวกเขาจับฉลากให้บุตรของเขาคือเศคาริยาห์ด้วย เขาเป็นที่ปรึกษาที่เฉลียวฉลาด และฉลากของเขาออกมาสำหรับด้านเหนือ 15ของโอเบดเอโดมออกมาสำหรับด้านใต้ ส่วนคลังพัสดุนั้นเป็นของบุตรของเขา 16ส่วนของชุปปิมและโฮสาห์ออกมาสำหรับด้านตะวันตก ด้านประตูชัลเลเคท ตามถนนที่ขึ้นไป ยามคนหนึ่งยืนถัดยามอีกคนหนึ่ง 17ด้านตะวันออกมีคนเลวี 6 คน ด้านเหนือวันละ 4 คน ด้านใต้วันละ 4 คน และสองคู่ที่คลังพัสดุ 18สำหรับระเบียงความหมายในภาษาฮีบรูไม่ชัดเจนทางตะวันตกนั้น มี 4 คนที่ถนนและ 2 คนที่ระเบียง 19คนเหล่านี้เป็นเวรเฝ้าประตูจากบุตรของโคราห์ และบุตรของเมรารี

อรรถาธิบาย

การแบ่งหน้าที่ในการรับใช้

ในพระธรรมตอนนี้เราเห็นคำว่า ‘การแบ่ง’ ในทางบวก ‘กองเวรของพงศ์พันธุ์อาโรนมีดังนี้’ (24:1) ‘ดาวิดทรงจัดเวรตามหน้าที่ในการปรนนิบัติของเขาทั้งหลาย’ (ข้อ 3) ‘มีเหล่าหัวหน้าในหมู่บุตรเอเลอาซาร์มาก.... พวกเขาจึงแบ่งดังนี้’ (ข้อ 4) ‘เขาทั้งหลายแบ่งด้วยฉลากกลุ่มนี้และอีกกลุ่มเหมือนกัน’ (ข้อ 5) ยังแบ่ง ‘กองเวรเฝ้าประตูยาม’ (26:1,19) และแบ่ง’กองเวรเฝ้าประตูเหล่านี้ตามบรรดาหัวหน้าเก่งกล้าของพวกเขา มีหน้าที่เช่นเดียวกับพี่น้องของพวกเขา ในการปรนนิบัติในพระนิเวศของพระยาห์เวห์’ (ข้อ 12)

มีรายชื่อที่น่าสนใจ ดังนี้ บรรดาหัวหน้านักร้องเพลงสดุดี ‘อาสาฟ (สดุดี 50 และสดุดี 73–83) ‘เยดูธูน’ ( สดุดี 39,62,77) ‘เฮมาน' (สดุดี 88)

ในบรรดากองเฝ้าประตูยาม (หรือมักแปลว่า ‘คนเฝ้าประตู’) คือตระกูลโคราห์ สดุดีบทที่ 84 เป็นเพลงสดุดีจาก ‘บุตรของโคราห์’ ดังนั้นจึงน่าจะเขียนขึ้นโดยคนเฝ้าประตู สิ่งนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรเมื่อเขาเขียนว่า ‘ข้าพเจ้าจะขอเป็นคนเฝ้าประตูพระนิเวศพระเจ้าของข้าพเจ้า ดีกว่าอยู่ในเต็นท์ของความอธรรม’ (ข้อ 10)

ในพระกายของพระคริสต์ เราแบ่งบทบาทหน้าที่ แต่ละส่วนของร่างกายมีหน้าที่ต่างกัน ดังที่เปาโลเขียนไว้ว่า ‘เพราะว่า เหมือนกับร่างกายเดียวที่มีหลาย ๆ อวัยวะ และอวัยวะทั้งหมดของร่างกายนั้นแม้จะมีหลายส่วนก็ยังเป็นร่างกายเดียว… แต่พระเจ้าทรงจัดวางร่างกายเพื่อไม่ให้มีการแตกแยกกันในร่างกาย แต่ให้อวัยวะต่าง ๆ มีความห่วงใยแบบเดียวกันต่อกันและกัน’ (1 โครินธ์ 12: 12,24–25)

อัครสาวกเปาโลอธิบายถึงเรื่องดีของการแบ่งแยก (บทบาทต่าง ๆ ของอวัยวะในร่างกาย) ในขณะที่พยายามหลีกเลี่ยงเรื่องที่ไม่ดี (ไม่ควรมีการแบ่งแยกหรือความแตกแยกในร่างกาย)

นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนในการรับใช้ใน ‘พระนิเวศของพระเจ้า’ ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม ไม่ว่าเราจะช่วยเหลือเรื่องที่จอดรถหรือทีมต้อนรับ มุมบริการกาแฟหรือพันธกิจด้านการอธิษฐาน ทุกคนมีความสำคัญและมีเกียรติอย่างยิ่งเพราะเรากำลังรับใช้ในพระนิเวศของพระเจ้า

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอโปรดทรงช่วยเราตัดสินใจอย่างฉลาดในการมอบหมายบทบาทในพระกายของพระคริสต์เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วม ขอทรงโปรดช่วยเรา ซึ่งเป็นคริสตจักรของพระองค์ ให้ทำหน้าที่เป็นหน่วยที่ประกอบด้วยหลายส่วน ซึ่งแต่ละส่วนร่วมมือกับส่วนอื่น ๆ ทั้งหมดด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอันเกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สดุดี 92:14

‘มันยังออกผลเมื่อแก่แล้ว มันมีน้ำเลี้ยงเต็มและเขียวสดอยู่’

ความเขียวสดเป็นสิ่งที่ฟังดูดี เมื่อชีวิตผ่านไปอย่างรวดเร็วและฉันกำลังเข้าสู่วัยชราอย่างรวดเร็ว ฉันได้รับกำลังใจจากข้อนี้ มีบางอย่างที่สวยงามมากเกี่ยวกับผู้สูงวัยที่อยู่ในทางของพระเจ้า คุณสามารถเห็นได้ในใบหน้าของพวกเขา ฉันสามารถนึกถึงหลาย ๆ อย่างที่ฉันชื่นชมอย่างมาก คือ ภูมิปัญญาและชีวิตที่บริสุทธิ์ของพวกเขานั้นเป็นแรงบันดาลใจ ฉันต้องการที่จะเกิดผลในวัยชราและดูสดใสและเขียวขจี

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 92:14

‘มันยังออกผลเมื่อแก่แล้ว มันมีน้ำเลี้ยงเต็มและเขียวสดอยู่’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม