วัน 208

เท้าที่งดงาม

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 18:7-16
พันธสัญญาใหม่ โรม 10:5-11:10
พันธสัญญาเดิม 1 พงศาวดาร 2:18-4:8

เกริ่นนำ

เพื่อนของเราเฝ้ารอการมีลูกมาเป็นเวลา 10 ปี หลายคนบอกว่ามันดูเป็นไปไม่ได้ และแล้ววันหนึ่งเสียงกระดิ่งหน้าประตูบ้านเราก็ดังขึ้น เธอยืนอยู่ตรงนั้น ทุกอย่างเห็นชัดจากสีหน้าของเธอ ทันทีที่เธอเข้ามาในบ้าน เธอเริ่มกระโดดขึ้นลง กระทืบเท้าด้วยความชื่นชมยินดี และเปรมปรีดิ์ และได้บอกข่าวดีว่าเธอตั้งครรภ์แล้ว การรอคอยได้สิ้นสุดลง เธอแบกข่าวดีไว้ในร่างกายของเธอ ไม่มีสิ่งใดน่าตื่นเต้นไปกว่าการเป็นผู้แจ้งข่าวดี

คุณเองก็เป็นผู้แจ้งข่าวดีได้ นั่นคือ ข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูอยู่ภายในคุณ อัครสาวกเปาโลจึงกล่าวว่าคุณมีเท้าที่งดงาม (โรม 10:15)

ในฐานะผู้ติดตามพระองค์ เราทุกคนถูกเรียกให้แบ่งปันข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู บางคนอาจได้รับสิทธิพิเศษใหญ่หลวงในการถูกเรียกให้ทำเต็มเวลา ย้อนกลับไปในเดือนมกราคม ค.ศ. 1978 เมื่อผมทำงานเกี่ยวกับกฎหมาย ผมได้เขียนในบันทึกคำอธิษฐานว่า

‘ผมอยากจะใช้ตลอดช่วงเวลาของผมประกาศข่าวประเสริฐ บอกผู้คนเกี่ยวกับความรักของพระเยซู แต่โรม 10:15 เตือนว่า “และถ้าไม่มีใครใช้พวกเขาไป เขาจะไปประกาศได้อย่างไร?” ผมไม่สามารถประกาศข่าวประเสริฐนอกจากว่าพระเจ้าจะส่งผมให้ไปทำเช่นนั้น มันเป็นการทรงเรียกที่อัศจรรย์ “เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริง ๆ หนอ!”’

หัวใจของข่าวประเสริฐคือความชอบธรรมที่เกิดโดยความเชื่อ (ข้อ 6) ‘เพราะว่า ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด’ (ข้อ 13)

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 18:7-16

7ปากของคนโง่เป็นสิ่งทำลายตัวเขาเอง
 และริมฝีปากของเขาก็เป็นบ่วงดักตนเอง
8ถ้อยคำของผู้ซุบซิบนินทาก็เหมือนชิ้นอาหารอร่อย
 มันลงไปยังส่วนต่างๆ ในร่างกาย
9คนเกียจคร้านในการงาน
 ก็เป็นพี่น้องกับคนที่ชอบทำลาย 10พระนามของพระยาห์เวห์เป็นหอรบแข็งแกร่ง
 คนชอบธรรมวิ่งเข้าไปในนั้นและปลอดภัย
11ทรัพย์สมบัติของคนมั่งคั่งเป็นเมืองเข้มแข็งของเขา
 และเป็นเหมือนกำแพงสูงตามความคิดเห็นของเขา
12ใจของคนจะผยองก่อนถึงการถูกทำลาย
 แต่ความถ่อมตัวมาก่อนเกียรติ
13ถ้าคนตอบก่อนจะได้ยิน
 ก็เป็นความโง่และความขายหน้าแก่เขา
14จิตใจของคนทนต่อความเจ็บป่วยได้
 แต่จิตใจชอกช้ำใครจะทนได้เล่า?
15ใจของคนที่มีความเข้าใจย่อมได้ความรู้
 และหูของคนมีปัญญาแสวงหาความรู้
16ของกำนัลของใครย่อมเปิดทางให้คนนั้น
 และนำเขามาถึงคนใหญ่คนโต

อรรถาธิบาย

มุ่งไปหาพระเจ้า

ข้อพระคำนี้ในสุภาษิตเต็มไปด้วยสติปัญญาที่ปฏิบัติได้ เราจะต้องระวังปากของเรา ‘คนโง่ถูกทำลายเพราะปาก อันใหญ่ของตน จิตใจของเขาถูกบดขยี้ด้วยถ้อยคำของตัวเอง’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘การนินทา’ ก็ล่อใจนักแต่ควรหลีกเลี่ยงไว้ ‘การฟังคำนินทาก็เหมือนกับการกินลูกอมราคาถูก ท่านต้องการให้ขยะนั้นอยู่ในท้องหรือ?’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เราจะต้องทำงานหนักและไม่ขี้เกียจ นิสัยขี้เกียจและการงานที่สะเพร่าก็แย่เหมือนการทำลายทรัพย์สิน (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จากThe Message โดยผู้แปล) เป็นการโง่เขลาที่จะพึ่งพาในทรัพย์สิน ‘คนมั่งมีคิดว่าทรัพย์สินจะปกป้องเขา พวกเขาจินตนาการว่าตัวเองปลอดภัยอยู่หลังมัน’ (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ความเย่อหยิ่งนำไปสู่ความหายนะ ‘ความเย่อหยิ่งก่อน จากนั้นคือการปะทะอย่างแรง’ (ข้อ 12ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ความถ่อมใจนำไปสู่เกียรติ (ข้อ 12ข)

ท่ามกลางคำแนะนำที่ควรปฏิบัติทั้งหมด มีข้อหนึ่งที่ผูกกับข้อพระคำของวันนี้ ‘พระนามของพระยาห์เวห์เป็นหอรบแข็งแกร่ง คนชอบธรรมวิ่งเข้าไปในนั้นและปลอดภัย’ (ข้อ 10) ไม่ใช่ทุกคนจะปลอดภัย มีเพียงคนที่วิ่งไปยังป้อมปราการเข้มแข็งเท่านั้น นั่นคือวิ่งไปที่ ‘พระนามของพระเจ้า’ ผู้นั้นก็จะรอด

แม้แต่ที่นี่เรายังพบรากของคำสอนในพันธสัญญาใหม่ว่า ผู้ที่ร้องออกพระนามของพระเจ้าจะรอด

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ระวังปากของตน ให้ระวังสิ่งที่จะพูด ให้ทำงานหนักและพึ่งพาพระองค์ด้วยความถ่อมใจ ขอบคุณที่พระนามของพระองค์เป็นป้อมปราการเข้มแข็งและเป็นสถานที่ ๆ ปลอดภัยสำหรับทุกคนที่วิ่งตรงเข้ามา
พันธสัญญาใหม่

โรม 10:5-11:10

ความรอดสำหรับทุกคน

 5โมเสสได้เขียนเรื่องความชอบธรรมที่มาทางธรรมบัญญัติว่า “คนที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็จะมีชีวิตอยู่โดยธรรมบัญญัตินั้น” 6แต่ความชอบธรรมที่มาทางความเชื่อว่าอย่างนี้ว่า “อย่านึกในใจของตัวว่า ใครจะขึ้นไปบนสวรรค์?” (คือจะเชิญพระคริสต์ลงมา) 7“หรือ ใครจะลงไปยังที่ลึก?” (คือจะเชิญพระคริสต์ขึ้นมาจากความตาย) 8แต่ความชอบธรรมว่าอย่างไร? ก็ว่า

“ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่าน
 อยู่ในปากของท่าน และอยู่ในใจของท่าน”
(คือคำซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อที่เราทั้งหลายประกาศอยู่นั้น)

 9คือว่าถ้าท่านจะยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจว่า พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด 10เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด 11เพราะมีข้อพระคัมภีร์ว่า “ทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย”12พวกยิวและพวกกรีกนั้นไม่ต่างกัน เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของทุกคน และประทานอย่างบริบูรณ์แก่ทุกคนที่ทูลขอต่อพระองค์ 13เพราะว่า ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด
 14แต่พวกที่ยังไม่เชื่อในพระองค์ จะทูลขอต่อพระองค์ได้อย่างไร? และพวกที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์ จะเชื่อในพระองค์ได้อย่างไร? และเมื่อไม่มีผู้ประกาศ เขาจะได้ยินถึงพระองค์อย่างไร? 15และถ้าไม่มีใครใช้พวกเขาไป เขาจะไปประกาศได้อย่างไร? ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริงๆ หนอ” 16แต่ไม่ใช่ทุกคนได้เชื่อฟังข่าวประเสริฐนั้น อิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเรา?” 17ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์
 18ข้าพเจ้าถามว่า “พวกเขาไม่ได้ยินหรือ?” เขาได้ยินแล้วจริงๆ

“เสียงของพวกเขากระจายออกไปทั่วแผ่นดินโลก
 และถ้อยคำของเขาประกาศออกไปถึงสุดปลายพิภพ”

 19ข้าพเจ้าถามอีกว่า “อิสราเอลไม่เข้าใจหรือ?” โมเสสกล่าวก่อนว่า

“เราจะให้ เจ้าทั้งหลายอิจฉาผู้ที่ไม่ใช่ชนชาติ
 เราจะยั่วโทสะ เจ้าด้วยชนชาติที่โง่เขลาชาติหนึ่ง”

20แล้วอิสยาห์กล้ากล่าวว่า

“พวกที่ไม่ได้แสวงหาได้พบเรา
เราได้ปรากฏแก่คนที่ไม่ได้ถามหาเรา”

21แต่ท่านได้กล่าวถึงพวกอิสราเอลว่า “ตลอดทั้งวัน เรายื่นมือต้อนรับชนชาติซึ่งไม่เชื่อฟังและดื้อรั้น”

โรม 11

คนอิสราเอลที่เหลืออยู่

 1ข้าพเจ้าจึงถามว่า “พระเจ้าทรงทอดทิ้งชนชาติของพระองค์แล้วหรือ?” เปล่าเลย ข้าพเจ้าเองก็เป็นชนชาติอิสราเอล เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม เป็นเผ่าเบนยามิน 2พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งชนชาตินั้น ที่พระองค์ทรงเลือกไว้ก่อนแล้ว ท่านไม่รู้เรื่องซึ่งเขียนไว้ในพระคัมภีร์กล่าวถึงท่านเอลียาห์หรือ? ท่านได้กล่าวโทษพวกอิสราเอลต่อพระเจ้าว่า 3“องค์พระผู้เป็นเจ้าหมายถึง พระเจ้าพวกเขาได้ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ แท่นบูชาของพระองค์เขาก็ได้ขุดทำลายลงเสีย เหลืออยู่แต่ข้าพระองค์คนเดียว และเขาแสวงหาช่องทางประหารชีวิตของข้าพระองค์” 4แล้วพระเจ้าทรงตอบท่านว่าอย่างไร? ว่าดังนี้ “เราได้เหลือคนไว้ สำหรับเราเจ็ดพันคน ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้กราบไหว้พระบาอัล” 5เช่นนั้นแหละ ปัจจุบันนี้ก็ยังมีพวกที่เหลืออยู่ตามที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้โดยพระคุณ 6แต่ถ้าเป็นทางพระคุณ ก็ไม่ได้เป็นทางการประพฤติ ถ้าเป็นทางการประพฤติ พระคุณก็จะไม่เป็นพระคุณอีกต่อไป
 7ถ้าเช่นนั้นจะว่าอย่างไร? พวกอิสราเอลไม่พบสิ่งที่เขาแสวงหา แต่กลุ่มที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้นั้นเป็นผู้ได้พบ ส่วนคนอื่นๆ มีใจแข็งกระด้างไป 8ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า

“พระเจ้าประทานใจที่เซื่องซึม
ประทานตาที่มองไม่เห็น
หูที่ฟังไม่ได้ยินให้แก่พวกเขา
จนทุกวันนี้”

9ดาวิดกล่าวว่า

“ให้งานเลี้ยงเป็นบ่วงแร้วและเครื่องดัก
เป็นสิ่งให้สะดุดและเป็นสิ่งตอบแทนพวกเขา
10 ให้ตาของเขามืดไปเพื่อเขาจะมองไม่เห็น
และให้หลังของเขางอค่อมตลอดไป”

อรรถาธิบาย

ร้องเรียกหาองค์พระผู้เป็นเจ้า

เมื่อผมอายุ 18 ปี ผมมาเป็นคริสเตียนได้ 2 เดือน เป็นเวลาที่ผมมีโอกาสบอกคนหนึ่งเกี่ยวกับข่าวดีเรื่องพระเยซู จนเขาได้ต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิต ชีวิตของเขาถูกเปลี่ยนแปลงในวันนั้นเหมือนกับผม

จำครั้งแรกที่คุณเข้าใจถึงข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูและเชื่อในพระองค์ได้ไหม? คุณเคยได้รับสิทธิพิเศษในการบอกผู้อื่นเกี่ยวกับพระเยซูด้วยวิธีการที่เขาเชื่อหรือไม่?

คำกล่าวอ้างในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่นั้นน่าทึ่ง ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมพระนามของพระเจ้าบริสุทธิ์มาก จนกระทั่งไม่มีใครกล้าเอ่ยด้วยปาก ตอนนี้เราได้รู้แล้วว่าพระนามของพระเจ้าคือพระเยซู ไม่เพียงแต่เราสามารถร้องเรียกพระนามด้วยปากของเรา แต่เมื่อเราเชื่อในพระองค์และร้องเรียกพระองค์ เราจะรอด (ข้อ 10:9-10)

ข่าวประเสริฐของคริสเตียนมีทั้งแบบเอกสิทธิ์ เพราะพระเยซูเป็นนามเดียวที่ประทานให้เพื่อความรอดของเรา และแบบครอบคลุมทุกคน เพราะทุกคนในโลกนี้สามารถเรียกหาพระนามของพระองค์ได้

เราทุกคนสามารถเข้าถึงพระเยซูได้ ‘ไม่มีการปีนไปยังสวรรค์อย่างปลอดภัยเพื่อเรียกพระเมสสิยาห์ ไม่มีการลงไปยังนรกอย่างน่ากลัวเพื่อช่วยกู้พระเมสสิยาห์’ เปาโลพูดต่อว่า

‘ถ้อยคำที่จะช่วยนั้นอยู่ตรงนี้แล้ว
 ใกล้ดั่งลิ้นในปากของท่าน
และใกล้อย่างหัวใจในอกของท่าน’ (ข้อ 6-8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

มันสำคัญที่เราจะไม่เชื่อเฉพาะแค่ภายในใจ แต่จะสำแดงออกมาทางวาจาด้วย ‘คือว่าถ้าท่านจะยอมรับด้วยปากของท่านว่า "พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า" และเชื่อในใจว่า พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด' (ข้อ 9-10)

ยกตัวอย่าง่น ผมสังเกตเห็นในหลักสูตรอัลฟ่าว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับคน ๆ หนึ่ง เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เมื่อเขา ‘ยอมรับ’ ด้วย ‘ปาก’ เป็นครั้งแรกว่า ‘ตอนนี้ฉันเป็นคริสเตียน'

เปาโลตั้งใจเน้นถึงความรอดว่า 'พวกยิวและพวกกรีกนั้นไม่ต่างกัน' (ข้อ 12ก) นั่นคือ 'เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของทุกคน และประทานอย่างบริบูรณ์แก่ทุกคนที่ทูลขอต่อพระองค์ เพราะว่า "ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด”' (ข้อ 12ข-13)

ดังนั้น จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะบอกผู้คนเกี่ยวกับข่าวดีเรื่องพระเยซู ผู้คนไม่สามารถร้องเรียกพระนามของพระเจ้าได้นอกจากพวกเขาจะเชื่อ พวกเขาไม่สามารถเชื่อนอกจากว่าจะได้ยิน พวกเขาไม่สามารถได้ยินนอกจากจะมีคนบอกพวกเขา ไม่มีคนไปบอกพวกเขานอกจากว่าจะถูกส่งไป (ข้อ 14-15) การถูกส่งออกไปเพื่อบอกกับผู้คนนั้นเป็นสิทธิพิเศษที่ยอดเยี่ยม 'เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริง ๆ หนอ!’ (ข้อ 15)

การเป็นสมาชิกของพงศ์พันธุ์อิสราเอลนั้นไม่เพียงพอ (เช่นเดียวกับการเกิดมาในประเทศคริสเตียนก็ไม่เพียงพอ) อาจารย์เปาโลแสดงให้เห็นโดยการอ้างอิงถึงโมเสสและอิสยาห์ ไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อฟังและดื้อดึง (ข้อ 21)

คำตอบของคำถามที่ว่า ‘พระเจ้าทรงทอดทิ้งชนชาติของพระองค์แล้วหรือ?’ คือ ‘ไม่ ไม่ ไม่’ (11:1-4) คนอิสราเอลที่ปฏิเสธพระเจ้านั้นมีเพียงบางส่วน จะมีคนที่รอดอยู่ทั้งที่ผ่านมาและในอนาคต อาจารย์เปาโลเป็นตัวอย่างของความจริงข้อนี้ (ข้อ 1)

เปาโลอ้างอิงถึงเอลียาห์ (ที่หดหู่หลังจากกลับจากภูเขาคารเมล) เขาพูดว่า ‘เหลืออยู่แต่ข้าพระองค์คนเดียว’ (ข้อ 6) แต่พระเจ้าตรัสว่า ‘เราได้เหลือคนไว้ สำหรับเราเจ็ดพันคน ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้กราบไหว้พระบาอัล เช่นนั้นแหละ ปัจจุบันนี้ก็ยังมีพวกที่เหลืออยู่ตามที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้โดยพระคุณ แต่ถ้าเป็นทางพระคุณ ก็ไม่ได้เป็นทางการประพฤติ’ (ข้อ 5-6)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทุกคนที่ร้องเรียกพระนามของพระองค์จะรอด ขอบคุณที่ไม่มีสิทธิพิเศษอื่นใดยิ่งใหญ่ไปกว่าการถูกส่งออกไปบอกข่าวดีนี้กับคนอื่น ๆ โปรดทรงยกพวกเราขึ้น และส่งคนที่จะนำข่าวดีไปยังชาวยิวและชาวต่างชาติเช่นเดียวกัน
พันธสัญญาเดิม

1 พงศาวดาร 2:18-4:8

 18คาเลบบุตรเฮสโรนมีบุตรกับอาซุบาห์ภรรยาของเขา และกับเยรีโอท ต่อไปนี้เป็นบุตรของนางคือเยเชอร์ โชบับ และอารโดน 19เมื่ออาซุบาห์ตาย คาเลบก็แต่งงานกับเอฟราธาห์มีบุตรชื่อเฮอร์ให้แก่เขา 20เฮอร์เป็นบิดาของอุรี และอุรีเป็นบิดาของเบซาเลล
 21ภายหลังเฮสโรนหลับนอนกับบุตรสาวของมาคีร์บิดาของกิเลอาด และแต่งงานด้วยเมื่อเขามีอายุ 60 ปี และนางก็มีบุตรให้เขาชื่อเสกุบ 22และเสกุบเป็นบิดาของยาอีร์ ผู้มีเมือง 23 เมืองในแผ่นดินกิเลอาด 23แต่จากเมืองเหล่านั้นเกชูร์กับอารัมยึดเมืองฮาวโวทยาอีร์หรือที่พำนักของยาอีร์ และเมืองเคนาทรวมทั้งบรรดาหมู่บ้านของเมืองนั้นจากพวกเขา รวม 60 เมือง ทั้งหมดนี้เป็นบุตรของมาคีร์บิดาของกิเลอาด 24ภายหลังเฮสโรนตายในคาเลบเอฟราธาห์ นางอาบียาห์ภรรยาของเฮสโรนมีอัชฮูร์ให้แก่เขา อัชฮูร์เป็นบิดาของเทโคอา
 25บุตรของเยราเมเอลบุตรหัวปีของเฮสโรนคือ รามบุตรหัวปีของท่าน บุนาห์ โอเรน โอเซม และอาหิยาห์ 26เยราเมเอลมีภรรยาอีกคนหนึ่งชื่ออาทาราห์ นางเป็นมารดาของโอนัม 27บุตรของรามบุตรหัวปีของเยราเมเอลชื่อมาอัส ยามีน และเอเคอร์ 28บุตรของโอนัมชื่อชัมมัย และยาดา บุตรของชัมมัยชื่อนาดับ และอาบีชูร์ 29ภรรยาของอาบีชูร์ชื่ออาบีฮาอิล และนางมีอัคบาน และโมลิดให้เขา 30บุตรของนาดับชื่อเสเลด และอัปปาอิม และเสเลดตาย ไม่มีบุตร 31บุตรของอัปปาอิมชื่ออิชอี บุตรของอิชอีชื่อเชชัน บุตรสาวภาษาฮีบรูว่า บุตรชายของเชชันชื่ออัคลัย 32บุตรของยาดา น้องชายของชัมมัยชื่อ เยเธอร์ และโยนาธาน แต่เยเธอร์ตาย และไม่มีบุตร 33บุตรของโยนาธานชื่อเปเลท และศาซา เหล่านี้เป็นบุตรของเยราเมเอล 34เชชันไม่มีบุตรชาย มีแต่บุตรหญิง แต่เชชันมีทาสชาวอียิปต์อยู่คนหนึ่งชื่อยารฮา 35เชชันจึงยกบุตรหญิงของเขาให้เป็นภรรยาของยารฮา ทาสของตน และนางก็มีบุตรให้เขาชื่ออัททัย 36อัททัยเป็นบิดาของนาธัน และนาธันเป็นบิดาของศาบาด 37ศาบาดเป็นบิดาของเอฟลาล และเอฟลาลเป็นบิดาของโอเบด 38โอเบดเป็นบิดาของเยฮู และเยฮูเป็นบิดาของอาซาริยาห์ 39อาซาริยาห์เป็นบิดาของเฮเลส และเฮเลสเป็นบิดาของเอลาอาสาห์ 40เอลาอาสาห์เป็นบิดาของสิสะมัย และสิสะมัยเป็นบิดาของชัลลูม 41ชัลลูมเป็นบิดาของเยคามิยาห์ และเยคามิยาห์เป็นบิดาของเอลีชามา
 42บุตรของคาเลบน้องชายของเยราเมเอลชื่อเมชา บุตรหัวปีของเขา เป็นบิดาของศีฟ และบุตรของเขาคือมาเรชาห์ ผู้เป็นบิดาของเฮโบรน 43บุตรของเฮโบรนคือโคราห์ ทัปปูวาห์ เรเคม และเชมา 44เชมาเป็นบิดาของราฮัม ผู้เป็นบิดาของโยรเคอัม และเรเคมเป็นบิดาของชัมมัย 45บุตรของชัมมัยคือมาโอน และมาโอนเป็นบิดาของเบธซูร์ 46เอฟาห์ภรรยาน้อยของคาเลบมีฮาราน โมซา และกาเซส และฮารานเป็นบิดาของกาเซส 47บุตรของยาดัยคือเรเกม โยธาม เกชาน เปเลท เอฟาห์ และชาอัฟ 48มาอาคาห์ ภรรยาน้อยอีกคนหนึ่งของคาเลบคลอดบุตรคือเชเบอร์ และทีรหะนาห์ 49นางคลอดชาอัฟบิดาของมัดมันนาห์ เชวาบิดาของมัคเบนาห์ และบิดาของกิเบอาด้วย บุตรหญิงของคาเลบชื่ออัคสาห์ 50เหล่านี้เป็นบุตรของคาเลบ
 บุตรของเฮอร์ ผู้เป็นบุตรหัวปีของเอฟราธาห์คือโชบาล บิดาของคีริยาทเยอาริม 51สัลมาบิดาของเบธเลเฮม และฮาเรฟ บิดาของเบธกาเดอร์ 52โชบาลบิดาของคีริยาทเยอาริมมีบุตรคือฮาโรเอห์ และครึ่งหนึ่งของคนเมนูโหท 53และบรรดาตระกูลของคีริยาทเยอาริมคือคนอิทไรต์ คนปุไท คนชุมัท คนมิชรา ชาวโศราห์ และชาวเอชทาโอลเกิดมาจากคนเหล่านี้ 54บุตรของสัลมาคือเบธเลเฮม คนเนโทฟาห์ อัทโรทเบธโยอาบ และครึ่งหนึ่งของคนเมนูโหท และคนโศราห์ 55ทั้งบรรดาตระกูลของอาลักษณ์ซึ่งอยู่ ณ เมืองยาเบสคือคนทิราไธต์ คนชิเมอี และคนสุคา คนเหล่านี้เป็นคนเคไนต์ผู้มาจากฮัมมัท บิดาของตระกูลเรคาบ

1 พงศาวดาร 3

โอรสของดาวิด

 1ต่อไปนี้เป็นบรรดาโอรสของดาวิดประสูติให้แก่พระองค์ ในกรุงเฮโบรน อัมโนนโอรสหัวปีของพระนางอาหิโนอัม ชาวยิสเรเอล องค์ที่สองคือดาเนียล โอรสของพระนางอาบีกายิลชาวคารเมล 2องค์ที่สามคืออับซาโลมโอรสของพระนางมาอาคาห์ราชธิดาของทัลมัย พระราชาของเมืองเกชูร์ องค์ที่สี่คืออาโดนียาห์โอรสของพระนางฮักกีท 3องค์ที่ห้าคือเชฟาทิยาห์โอรสของพระนางอาบีทัล องค์ที่หกคืออิทเรอัมโอรสของพระนางเอกลาห์พระชายาของพระองค์ 4โอรสทั้งหกประสูติให้แก่พระองค์ในกรุงเฮโบรน ที่นั่นพระองค์ทรงครองราชย์ 7 ปีกับ 6 เดือน และพระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 33 ปี 5ต่อไปนี้เป็นโอรสที่ประสูติให้แก่พระองค์ในกรุงเยรูซาเล็มคือ ชิเมอา โชบับ นาธัน และซาโลมอน สี่องค์นี้ในพระนางบัทชูวา บุตรีของอัมมีเอล 6แล้วทรงมี อิบฮาร์ เอลีชามา เอลีเฟเลท 7โนกาห์ เนเฟก ยาเฟีย 8เอลีชามา เอลียาดา และเอลีเฟเลท 9 องค์ด้วยกัน 9ทั้งสิ้นนี้เป็นบรรดาโอรสของดาวิด นอกเหนือจากเหล่าโอรสของนางสนมทั้งหลาย และทามาร์เป็นขนิษฐาของบรรดาโอรส

เชื้อสายของซาโลมอน

 10โอรสของซาโลมอนคือเรโหโบอัม โอรสของเรโหโบอัมคืออาบียาห์ โอรสของอาบียาห์คืออาสา โอรสของอาสาคือเยโฮชาฟัท 11โอรสของเยโฮชาฟัทคือโยรัม โอรสของโยรัมคืออาหัสยาห์ โอรสของอาหัสยาห์คือโยอาช 12โอรสของโยอาชคืออามาซิยาห์ โอรสของอามาซิยาห์คืออาซาริยาห์ โอรสของอาซาริยาห์คือโยธาม 13โอรสของโยธามคืออาหัส โอรสของอาหัสคือเฮเซคียาห์ โอรสของเฮเซคียาห์คือมนัสเสห์ 14โอรสของมนัสเสห์คืออาโมน โอรสของอาโมนคือโยสิยาห์ 15บรรดาโอรสของโยสิยาห์คือ โยฮานันฉบับกรีกฉบับหนึ่งว่า เยโฮอาหาสโอรสหัวปี องค์ที่สองคือเยโฮยาคิม องค์ที่สามคือเศเดคียาห์ องค์ที่สี่คือชัลลูม 16โอรสของเยโฮยาคิมคือเยโคนิยาห์ และเศเดคียาห์ 17และบรรดาโอรสของเยโคนิยาห์ผู้เป็นเชลยนั้นได้แก่เชอัลทิเอล โอรสของพระองค์ 18มัลคีราม เปดายาห์ เชนาสซาร์ เยคามิยาห์ โฮชามา และเนดาบียาห์ 19และบุตรของเปดายาห์คือเศรุบบาเบล และชิเมอี และบุตรของเศรุบบาเบลคือเมชุลลาม ฮานันยาห์ และเชโลมิทน้องสาวของพวกเขา 20ฮาชูบาห์ โอเฮล เบเรคิยาห์ ฮาสาดิยาห์ และยูชับเฮเสด 21บุตรของคานันยาห์คือ ปาลาติยาห์ และเยชายาห์ และบุตรของเรไฟยาห์ บุตรของอารนัน บุตรของโอบาดีห์ บุตรของเชคานิยาห์ 22เชื้อสายของเชคานิยาห์รวม 6 คนคือ เชไมยาห์ และบุตรของเชไมยาห์คือฮัทธัช อิกาล บารียาห์ เนอารียาห์ และชาฟัท 23บุตรเนอารียาห์คือเอลีโอนัย เฮเสคียาห์ และอัสรีคัม รวม 3 คนด้วยกัน 24บุตรของเอลีโอนัยคือโฮดาวิยาห์ เอลียาชีบ เปไลยาห์ อักขูบ โยฮานัน เดไลยาห์ และอานานี รวม 7 คนด้วยกัน

1 พงศาวดาร 4

เชื้อสายของยูดาห์

 1เชื้อสายของยูดาห์คือเปเรศ เฮสโรน คารมี เฮอร์ และโชบาล 2เรอายาห์ บุตรของโชบาลเป็นบิดาของยาหาท และยาหาท เป็นบิดาของอาหุมัย และลาฮาด เหล่านี้เป็นตระกูลของชาวโศราห์ 3ต่อไปนี้เป็นเชื้อสายของเอธามคือยิสเรเอล อิชมา และอิดบาช และน้องสาวของเขาชื่อฮัสเซเลลโพนี 4และเปนูเอลผู้เป็นบิดาของเกโดร์ และเอเซอร์ผู้เป็นบิดาของหุชาห์ เหล่านี้เป็นบุตรของเฮอร์บุตรหัวปีของเอฟราธาห์ผู้เป็นบิดาของเบธเลเฮม 5อัชฮูร์บิดาของเทโคอา มีภรรยาสองคนคือเฮลาห์และนาอาราห์ 6นาอาราห์เป็นมารดาของอาหุสซาม เฮเฟอร์ เทเมนี และฮาอาหัชทารี คนเหล่านี้เป็นบุตรของนาอาราห์ 7บุตรของนางเฮลาห์คือเศเรท อิสฮาร์ และเอทนาน 8ฮักโขสเป็นบิดาของอานูบ โศเบบาห์ และบรรดาตระกูลของอาหารเฮลบุตรฮารูม 9ยาเบสเป็นผู้มีเกียรติกว่าบรรดาพี่น้องของเขา มารดาของเขาตั้งชื่อเขาว่ายาเบส กล่าวว่า “เพราะฉันคลอดเขาด้วยความทุกข์ยากลำบาก” 10ยาเบสทูลพระเจ้าของอิสราเอลว่า “ขอพระองค์ทรงอวยพรแก่ข้าพระองค์ และขยายเขตแดนของข้าพระองค์ และขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่กับข้าพระองค์ และขอพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์พ้นจากสิ่งชั่วร้าย เพื่อไม่ให้ข้าพระองค์ทุกข์ยากลำบาก” และพระเจ้าประทานตามที่เขาทูลขอ 11เคลูบพี่ชายของชูอาห์เป็นบิดาของเมหิร์ เมหิร์เป็นบิดาของเอชโทน 12เอชโทนเป็นบิดาของเบธราฟา ปาเสอาห์ และเทหินนาห์ เทหินนาห์เป็นบิดาของอิรนาหาช เหล่านี้เป็นคนของเรคาห์ 13บุตรของเคนัสคือโอทนีเอล และเสไรยาห์ และบุตรของโอทนีเอลคือฮาธาท และเมโอโนธัยแปลตามฉบับกรีก แต่ฉบับฮีบรูไม่มี และเมโอโนธัย 14เมโอโนธัยเป็นบิดาของโอฟราห์ และเสไรยาห์เป็นบิดาของโยอาบ โยอาบเป็นบิดาของเกหะราชิม ที่มีชื่อนี้เพราะพวกเขาเป็นช่างฝีมือ 15บุตรของคาเลบผู้เป็นบุตรของเยฟุนเนห์คืออิรู เอลาห์ และนาอัม และบุตรของเอลาห์ รวมทั้งเคนัส 16บุตรของเยฮาลเลเลลคือศิฟ ศิฟาห์ ทิรียา และอาสาเรล 17บุตรของเอสราห์คือเยเธอร์ เมเรด เอเฟอร์ และยาโลน ต่อไปนี้เป็นบุตรบิทิยาห์พระธิดาของฟาโรห์ผู้ที่เมเรดรับเป็นภรรยา นางตั้งครรภ์คลอด มิเรียม ชัมมัย และอิชบาห์บิดาของเอชเทโมอา 18(และภรรยาชาวยูดาห์ของเมเรดเป็นมารดาของเยเรดบิดาของเกโดร์ เฮเบอร์บิดาของโสโค และเยคูธีเอลบิดาของศาโนอาห์)

อรรถาธิบาย

วางความเชื่อไว้กับพระเจ้า

พระเจ้าทรงสร้างเราให้มีชีวิตในความสัมพันธ์กับพระองค์ จะมีบางอย่างหายไปในชีวิตของเราจนกว่าเราจะมีความสัมพันธ์นั้น

พระเจ้าทรงรักคุณและประสงค์ให้คุณพบกับการเติมเต็มและเป้าประสงค์ในความสัมพันธ์นั้น นี่เป็นเหตุผลที่การนมัสการพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในชีวิตของเราและเป็นกระดูกสันหลังของพระธรรมพงศาวดารทั้ง 2 เล่ม การนมัสการที่สัตย์ซื่อเป็นสิ่งที่มีความหมายที่สุด

พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อต่อคุณ และพระองค์ทรงเรียกให้คุณสัตย์ซื่อกับพระองค์เช่นกัน ความไม่สัตย์ซื่อนำไปสู่ความทุกข์ยากและเกิดปัญหา

ผู้เขียนพระธรรมพงศาวดารเริ่มต้นด้วยการแนะนำคนอิสราเอล บรรดารายชื่อของกษัตริย์ยูดาห์ (3:10-16) เป็นเหมือนสารบัญของหนังสือ เนื้อหาส่วนใหญ่ในพระธรรม 1 พงศาวดาร เป็นการอุทิศให้กษัตริย์ดาวิด ผู้เป็นแบบอย่างของการนมัสการที่แท้จริงและความสัตย์ซื่อที่มีต่อพระเจ้า

หนึ่งในสาระสำคัญของพระธรรมพงศาวดารทั้ง 2 เล่ม คือความสำคัญของความเชื่อนี้ในพระเจ้า ผู้เขียนอยากสื่อว่าไม่ใช่คนอิสราเอลทั้งหมดจะสัตย์ซื่อ

คุณอาจจะรู้สึกโดดเดี่ยวลำพังในบางครั้ง อาจดูเหมือนว่าแทบไม่มีผู้เชื่ออยู่รอบตัวเราเลย แต่ว่าจะมีคนที่เหลืออยู่เสมอ คือคนที่เชื่อในพระเจ้า

นี่เป็นหนึ่งในใจความหลักตลอดพระธรรมพงศาวดาร 'จงวางใจในพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย แล้วท่านจะได้รับความมั่นคง จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ แล้วท่านจะได้รับความสำเร็จ' (2 พงศาวดาร 20:20)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงสงวนคนที่รอดเอาไว้ โปรดช่วยให้พวกเราไม่ท้อแท้ใจ แต่จะออกไปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู

เพิ่มเติมโดยพิพพา

โรม 10:13

‘เพราะว่า ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด’

ง่ายขนาดนั้นเลยล่ะค่ะ

ข้อพระคำประจำวัน

โรม 10:15

‘เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริง ๆ หนอ’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม