คำถามแรกของคุณ
เกริ่นนำ
“คำถามแรกของคุณคืออะไร?” ผมกำลังเตรียมคำถามคัดค้านสำหรับการเข้าร่วมพิจารณาคดีอาชญากรรมเมื่อครั้งเป็นทนายความ โดยมีทนายความอาวุโสที่มีประสบการณ์สูงได้คอยช่วยผมในการตระเตรียม เขาแสดงให้ผมเห็นว่าคำถามแรกสำคัญเพียงไร
สดุดี 2:1-12
สดุดี 2
พระเจ้าทรงสัญญากับผู้รับการเจิม
1เหตุใดบรรดาประชาชาติจึงคิดกบฏ?
ทำไมชาวประเทศทั้งหลายคิดลมๆ แล้งๆ?
2บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตนเองขึ้น
และนักปกครองปรึกษากัน
ต่อสู้พระยาห์เวห์กับผู้รับการเจิมของพระองค์กล่าวว่า
3“ให้เราหักโซ่ตรวน
และสลัดเครื่องจำจองของเขาให้พ้นจากเราเถิด”
4พระองค์ผู้ประทับในสวรรค์ทรงพระสรวล
องค์เจ้านายทรงเย้ยหยันเขาเหล่านั้น
5แล้วตรัสกับเขาทั้งหลายด้วยความกริ้ว
และด้วยความเดือดดาลก็ทรงทำให้เขาหวาดกลัว ตรัสว่า
6“เราเองได้ตั้งกษัตริย์ของเราไว้แล้ว
บนศิโยน ภูเขาบริสุทธิ์ของเรา”
7ข้าพเจ้าจะบอกถึงกฎเกณฑ์ของพระยาห์เวห์
พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราให้กำเนิดเจ้าแล้ว
8จงขอจากเราเถิด และเราจะมอบบรรดาประชาชาติให้เป็นมรดกของเจ้า
ตลอดจนแผ่นดินโลกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า
9เจ้าจะตีพวกเขาให้แตกด้วยคทาเหล็ก
และฟาดให้แหลกเป็นชิ้นๆ ดุจภาชนะของช่างปั้นหม้อ”
10เพราะฉะนั้น กษัตริย์ทั้งหลายเอ๋ย จงฉลาดเถิด
บรรดาผู้ปกครองแห่งแผ่นดินโลกเอ๋ย จงรับคำเตือนเถิด
11จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้วยความยำเกรง
และจงเปรมปรีดิ์จนเนื้อเต้น
12จงจุมพิตพระบุตร
หาไม่ พระองค์จะกริ้ว และเจ้าต้องพินาศจากทางนั้น
เพราะความกริ้วของพระองค์จุดให้ลุกได้รวดเร็ว
ทุกคนที่เข้ามาลี้ภัยในพระองค์ก็เป็นสุข
อรรถาธิบาย
1. คำถามแรกในพระธรรมสดุดีเล็งไปที่พระเยซู
ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับพระเยซู ที่ที่ปลอดภัยที่สุดในชีวิตคือการได้อยู่ใกล้ชิดพระองค์
อาจารย์เปาโลประกาศพระกิตติคุณในเมืองอันทิโอกโดยอ้างอิงจากพระธรรมสดุดี ท่านกล่าวว่า 'เรานำข่าวประเสริฐนี้มาแจ้งกับท่านทั้งหลายว่า พระสัญญาที่ประทานแก่บรรดาบรรพบุรุษของเรานั้น พระเจ้าทรงให้สำเร็จตามนั้นเพื่อเรา ผู้เป็นลูกหลานของเขาทั้งหลาย โดยการที่พระองค์ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นมา ดังมีคำเขียนไว้ในพระธรรมสดุดีบทที่สองว่า "เจ้าเองเป็นบุตรของเราวันนี้เราให้กำเนิดเจ้า" ' (กิจการ 13:32-33 อ้างอิงถึงสดุดี 2:7)
พระเยซูคือ “ผู้รับการเจิม” (สดุดี 2:2) ในภาษาฮีบรูคือ 'mashiah" (เมสสิยาห์) พระองค์คือพระคริสต์ พระบุตรอันเป็นที่รักขององค์พระผู้พระเจ้า 'จงจุมพิตพระบุตร' (ข้อ 12)
บริบทดั้งเดิมของพระธรรมสดุดีอาจเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่มีกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ของอิสราเอลอยู่ด้วย กระนั้นเมื่อเราใคร่ครวญพระวจนะให้กว้างมากขึ้น เราจะพบว่าคำถามแรกที่เกิดขึ้นในพระธรรมสดุดีได้เล็งไปที่พระเยซู เหตุใดผู้คนจึง “คิดกบฏ” และ “คิดลม ๆ แล้ง ๆ” ต่อสู้พระยาห์เวห์ (ข้อ 1-2)?
นี่คือสิ่งที่เห็นได้เด่นชัดในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ที่มุ่งเน้นไปที่เรื่องราวชีวิตของพระเยซู เช่นเดียวกับพระคำในวันนี้ เราจะพบว่าพวกคนใหญ่คนโตออกมารวมตัวกันคิดกบฏและและ*วางแผนกันอย่างลม ๆ แล้ง ๆ *ตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มของเส้นทางชีวิตพระองค์ (มัทธิว 2:3-4)
ตอนท้ายของพระธรรมสดุดีบทนี้กล่าวว่า 'พระพร (ความสุข, โชคชะตา, ความน่าอิจฉา) มีแด่คนทั้งหลายที่เข้าลี้ภัยในพระองค์!” (สดุดี 2:12ข พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) แม้ชีวิตต้องเจอกับมรสุมและพายุแห่งการพิพากษาของพระเยซูที่กำลังพัดเข้ามา แต่ที่ที่ปลอดภัยแห่งเดียวคือการได้ 'อยู่ในพระองค์'
คำอธิษฐาน
มัทธิว 2:1-18
พวกนักปราชญ์เข้าเฝ้าพระกุมาร
1พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดียในรัชกาลของกษัตริย์เฮโรด ภายหลังมีพวกนักปราชญ์จากทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็ม ถามว่า 2“พระกุมารผู้ที่ทรงบังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน? เราได้เห็นดาวของท่านทางทิศตะวันออก และเราจึงมาเพื่อจะนมัสการท่าน” 3เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินดังนั้นแล้ว ก็วุ่นวายพระทัย ทั้งชาวกรุงเยรูซาเล็มก็พลอยวุ่นวายใจไปด้วย 4แล้วท่านทรงให้ประชุมพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์ของประชาชน แล้วก็ตรัสถามพวกเขาว่า “พระคริสต์จะทรงบังเกิดที่ไหน?” 5พวกเขาทูลว่า “ที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย เพราะว่าผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้ ดังนี้ว่า
6 ‘บ้านเบธเลเฮม ในแผ่นดินยูเดีย
จะไม่เป็นบ้านที่เล็กน้อยที่สุดในสายตาของพวกผู้ครองแผ่นดินยูเดีย
เพราะว่าเจ้านายองค์หนึ่งจะออกมาจากท่าน
ผู้ซึ่งจะครอบครองอิสราเอล ชนชาติของเรา’
7แล้วเฮโรดจึงทรงเชิญพวกนักปราชญ์เข้ามาอย่างลับๆ ทรงสอบถามพวกเขาจนได้ความถี่ถ้วนถึงเวลาที่ดาวนั้นได้ปรากฏขึ้น 8แล้วท่านทรงให้พวกนักปราชญ์ไปยังบ้านเบธเลเฮมรับสั่งว่า “จงไปค้นหาพระกุมารนั้นเถิด เมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่เราเพื่อเราจะไปนมัสการท่านด้วย” 9พวกนักปราชญ์จึงไปตามรับสั่ง และดาวซึ่งพวกเขาได้เห็นทางทิศตะวันออกนั้นได้นำหน้าพวกเขาไป จนมาหยุดอยู่เหนือสถานที่ซึ่งพระกุมารอยู่นั้น 10เมื่อพวกนักปราชญ์ได้เห็นดาวนั้นแล้วก็มีความยินดียิ่งนัก 11เมื่อเข้าไปในบ้านก็พบพระกุมารกับนางมารีย์มารดา จึงก้มลงนมัสการพระกุมารนั้น แล้วเปิดหีบสมบัติของพวกเขาและถวายเครื่องบรรณาการแด่พระกุมาร คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ 12แล้วพวกนักปราชญ์ได้รับคำเตือนในความฝัน ไม่ให้กลับไปเฝ้าเฮโรด พวกเขาจึงกลับไปยังเมืองของพวกตนทางอื่น
การประหารทารก
13เมื่อพวกเขาไปแล้วก็มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพาพระกุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหาพระกุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” 14ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พาพระกุมารกับมารดาไปยังประเทศอียิปต์ 15และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์
16เมื่อเฮโรดทรงเห็นว่าพวกนักปราชญ์หลอกท่านก็กริ้วยิ่งนัก จึงทรงสั่งคนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหมดในบ้านเบธเลเฮม และในบริเวณใกล้เคียงที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา โดยนับเวลาตามที่ท่านทรงทราบจากพวกนักปราชญ์ 17ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสผ่านทางเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะว่า
18 “ได้ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห์
เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้เสียงดัง
คือนางราเชลร้องไห้คร่ำครวญเพราะบรรดาบุตรของตน
นางไม่รับฟังคำปลอบใจ เพราะบุตรทั้งหลายไม่อยู่แล้ว”
อรรถาธิบาย
2. คำถามแรกในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เล็งไปที่พระเยซู
พระเยซูทรงเป็นผู้เติมเต็มทำให้พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมทั้งสิ้นสำเร็จ
พวกนักปราชญ์สัมผัสได้ถึงความสำคัญของการประสูติของพระเยซู พวกเขาถามว่า 'พระกุมารผู้ที่ทรงบังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน' (ข้อ 2) พวกเขาแสวงหาและพบพระองค์เมื่อ ‘เข้าไปในบ้านก็พบพระกุมาร ... จึงก้มลงนมัสการพระกุมารนั้น’ (ข้อ 11) และเมื่อพระองค์ประสูติพวกเขารู้ทันทีว่าพระเยซูผู้นี้เป็นผู้มาเติมเต็มความหวังและความฝันของบรรดาประชาชาติ
พระเยซูคือผู้เดียวที่เติมเต็มพระสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสร็จสมบูรณ์ วันนี้เรามาดูอีกสามตัวอย่างกัน
1. สถานที่ที่พระองค์ประสูติ
มัทธิวเห็นว่าแม้กระทั่งสถานที่ประสูติของพระเยซูก็ได้มีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว (มีคาห์ 5:2) ณ เมืองเบธเลเฮม 'เจ้านายองค์หนึ่ง' และ 'ผู้ซึ่งจะครอบครอง' จะออกมา 'เพราะว่าผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้' (มัทธิว 2:5-6)
2. อพยพไปยังอียิปต์
ครั้นเมื่อเฮโรดพยายามปลงพระชนม์พระเยซู ครอบครัวของพระองค์ก็หนีไปยังอียิปต์ (ข้อ 13) มัทธิวบรรยายไว้ว่า 'ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า "เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์”' (ข้อ 15; ดูร่วมกับโฮเชยา 11:1)
3. สังหารเด็กชาย
เมื่อเฮโรดสั่งคนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหมด ที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา (มัทธิว 2:16) ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสผ่านทางเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ (31:15) (ดู เพิ่มเติมโดยพิพพา - มัทธิว 2:17-18)
คำอธิษฐาน
ปฐมกาล 2:18-4:16
18พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า “การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ผู้ช่วยที่เหมาะสมกับเขาขึ้น” 19พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงปั้นสัตว์ทุกชนิดในท้องทุ่ง และนกทุกชนิดในท้องฟ้าจากดิน แล้วทรงนำมายังชายนั้น เพื่อดูว่า เขาจะเรียกชื่อมันว่าอะไร ชายนั้นตั้งชื่อสัตว์ทุกชนิดที่มีชีวิตว่าอย่างไร สัตว์นั้นก็มีชื่ออย่างนั้น 20ชายนั้นจึงตั้งชื่อสัตว์ใช้งานทุกชนิด และนกในอากาศและสัตว์ป่าทุกชนิด แต่ชายนั้นยังไม่พบคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขา 21แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงทำให้ชายนั้นหลับสนิท ขณะที่เขาหลับอยู่ พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูก 22ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น 23ชายนั้นจึงว่า
“นี่แหละ กระดูกจากกระดูกของเรา
เนื้อจากเนื้อของเรา
จะเรียกคนนี้ว่าหญิง
เพราะคนนี้ออกมาจากชาย”
24เพราะเหตุนั้นผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน ผู้ชายและภรรยาของเขาเปลือยกายอยู่ทั้งสองคนและไม่อายกัน
ปฐมกาล 3
ความบาปครั้งแรกและการลงโทษ
1ในบรรดาสัตว์ป่าทั้งหมด ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงสร้างนั้น งูฉลาดกว่าหมด มันถามหญิงนั้นว่า “จริงหรือ? ที่พระเจ้าตรัสว่า ‘ห้ามพวกเจ้ากินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวนนี้’ ” 2หญิงนั้นจึงตอบงูว่า “ผลของต้นไม้ในสวนนี้เรากินได้ 3เว้นแต่ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวนนั้น พระเจ้าตรัสว่า ‘ห้ามพวกเจ้ากินและถูกต้องเลย มิฉะนั้นพวกเจ้าจะตาย’ ” 4งูจึงพูดกับหญิงนั้นว่า “พวกเจ้าจะไม่ตายแน่ 5เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า พวกเจ้ากินผลจากต้นไม้นั้นวันใด ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วพวกเจ้าจะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า คือรู้ความดีและความชั่ว” 6เมื่อหญิงนั้นเห็นว่าต้นไม้นั้นดีน่ากิน ทั้งเป็นต้นไม้น่าปรารถนาที่ทำให้เกิดปัญญา จึงเก็บผลไม้นั้นมากิน แล้วส่งให้สามีที่อยู่กับเธอกินด้วย เขาก็กิน 7ตาของเขาทั้งสองคนก็สว่างขึ้น จึงรู้ว่าพวกเขาเปลือยกายอยู่ ก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดกายไว้
8เวลาเย็นวันนั้น เขาทั้งสองได้ยินเสียงพระยาห์เวห์พระเจ้าเสด็จดำเนินอยู่ในสวน ชายนั้นกับภรรยาของเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในหมู่ต้นไม้กลางสวน ให้พ้นจากพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้า 9พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเรียกชายนั้นและตรัสถามเขาว่า “เจ้าอยู่ที่ไหน?” 10ชายนั้นทูลว่า “ข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ในสวนก็กลัว เพราะข้าพระองค์เปลือยกายอยู่ จึงได้ซ่อนตัวเสีย” 11พระองค์จึงตรัสว่า “ใครบอกเจ้าว่าเจ้าเปลือยกาย? เจ้ากินผลจากต้นไม้ที่เราสั่งไม่ให้กินนั้นแล้วหรือ?” 12ชายนั้นทูลว่า “หญิงที่พระองค์ประทานให้อยู่กับข้าพระองค์ เธอส่งผลจากต้นไม้นั้นให้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน” 13พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสถามหญิงนั้นว่า “นี่เจ้าทำอะไรลงไป?” หญิงนั้นทูลว่า “งูล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน” 14พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงตรัสกับงูว่า
“เพราะเหตุที่เจ้าทำเช่นนี้
เจ้าจะต้องถูกสาปแช่งมากกว่าสัตว์ใช้งานและสัตว์ป่าทั้งปวง
จะต้องเลื้อยไปด้วยท้อง
จะต้องกินผงคลีดินตลอดชีวิตของเจ้า
15เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน
ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้า และพงศ์พันธุ์ของนางด้วย
เขาจะทำให้หัวของเจ้าแหลก
และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”
16พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า
“เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากมากขึ้นแก่เจ้า
และเมื่อเจ้ามีครรภ์ เจ้าจะคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด
ถึงกระนั้น เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า
และเขาจะปกครองตัวเจ้า”
17พระองค์จึงตรัสแก่ชายนั้นว่า
“เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา
และกินผลจากต้นไม้ที่เราสั่งไม่ให้กินผลจากต้นนั้น แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะเจ้า
เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากตลอดชีวิต
18ต้นไม้และพืชที่มีหนามจะงอกขึ้นบนดินแก่เจ้า
และเจ้าจะกินพืชตามท้องทุ่ง
19เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า
จนเจ้ากลับไปเป็นดิน
เพราะเจ้าถูกนำมาจากดิน
และเพราะเจ้าเป็นผงคลีดิน
และเจ้าจะกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม”
20อาดัม เรียกภรรยาของเขาว่า “เอวา” เพราะนางเป็นมารดาของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง 21พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมและภรรยาของเขาสวมปกปิดกาย
22แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า “ดูสิ มนุษย์กลายเป็นเหมือนผู้หนึ่งในพวกเราแล้ว โดยที่รู้ความดีและความชั่ว บัดนี้ อย่าปล่อยให้เขายื่นมือไปหยิบผลจากต้นไม้แห่งชีวิตมากินด้วย แล้วมีอายุยืนชั่วนิรันดร์” 23เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงไล่เขาออกไปจากสวนเอเดน ให้เพาะปลูกบนดินซึ่งใช้สร้างเขาขึ้นมา 24พระองค์ทรงขับไล่ชายนั้นออกไป และทรงตั้งเหล่าเครูบทางด้านทิศตะวันออกของสวนเอเดน และตั้งดาบเพลิงอันหนึ่งที่หมุนได้ไว้เฝ้าทางที่จะไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิตนั้น
ปฐมกาล 4
คาอินฆ่าอาเบล
1ฝ่ายชายนั้นมีเพศสัมพันธ์กับเอวาภรรยาของเขา นางก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชื่อคาอิน นางจึงกล่าวว่า “ฉันได้รับผู้ชายคนหนึ่งด้วยความช่วยเหลือของพระยาห์เวห์” 2ต่อมานางก็ให้กำเนิดน้องชายของเขาชื่ออาเบล อาเบลเป็นคนเลี้ยงแกะ ส่วนคาอินเป็นคนเพาะปลูก 3อยู่มาวันหนึ่งคาอินนำพืชผลจากผืนดินมาเป็นของถวายแด่พระยาห์เวห์ 4ส่วนอาเบลก็นำแกะหัวปีจากฝูงและไขมันของแกะมาถวาย พระยาห์เวห์พอพระทัยอาเบลและของถวายของเขา 5แต่คาอินกับของถวายของเขานั้น พระองค์ไม่พอพระทัย คาอินก็โกรธยิ่งนัก ก้มหน้าลง 6พระยาห์เวห์จึงตรัสถามคาอินว่า “ทำไมเจ้าโกรธ? ทำไมหน้าเจ้าบูดบึ้ง? 7ถ้าเจ้าทำดี เจ้าก็จะเป็นที่ยอมรับไม่ใช่หรือ? ถ้าเจ้าทำไม่ดี บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู อยากตะครุบเจ้า เจ้าจะต้องเอาชนะบาปนั้น”
8ฝ่ายคาอินพูดกับอาเบลน้องชายของเขาว่า “ให้เราไปที่ทุ่งนากันเถอะ” เมื่ออยู่ในทุ่งด้วยกัน คาอินก็โถมเข้าฆ่าอาเบลน้องชายของเขา 9พระยาห์เวห์ตรัสถามคาอินว่า “อาเบลน้องชายของเจ้าอยู่ที่ไหน?” คาอินจึงทูลว่า “ข้าพระองค์ไม่ทราบ ข้าพระองค์เป็นผู้ดูแลน้องหรือ?” 10พระองค์ตรัสว่า “เจ้าทำอะไรลงไป? เสียงของโลหิตน้องของเจ้าร้องดังขึ้นมาจากดินถึงเรา 11บัดนี้ เจ้าจึงถูกสาปจากดินที่อ้าปากรับโลหิตของน้องจากมือเจ้า 12เมื่อเจ้าเพาะปลูกบนดินจะไม่เกิดผลมาก เจ้าจะต้องหลบหนีและพเนจรไปในโลก” 13ฝ่ายคาอินทูลพระยาห์เวห์ว่า “โทษของข้าพระองค์หนักเหลือที่ข้าพระองค์จะทนได้ 14ดูเถิด วันนี้พระองค์ทรงขับไล่ข้าพระองค์ออกจากแผ่นดิน และจากพระพักตร์พระองค์ไป ข้าพระองค์จะต้องหลบซ่อนและจะกลายเป็นผู้หลบหนีพเนจรไปในโลก ใครพบข้าพระองค์ก็จะฆ่าข้าพระองค์เสีย” 15พระยาห์เวห์ตรัสแก่คาอินว่า “ไม่ได้ ทุกคนที่ฆ่าคาอิน จะมีโทษเจ็ดเท่า” แล้วพระยาห์เวห์ทรงทำเครื่องหมายไว้ที่ตัวคาอิน เพื่อว่าทุกคนที่พบเขาจะได้ไม่ฆ่าเขา 16คาอินออกไปพ้นพระพักตร์พระยาห์เวห์ไปอยู่แผ่นดินโนด ทางทิศตะวันออกของเอเดน
อรรถาธิบาย
3. คำถามแรกในพระคัมภีร์เกี่ยวกับความดีงามของพระเจ้า
คุณเคยสงสัยไหมว่าทางของพระเจ้าเป็นทางที่ดีที่สุดจริง? หรือ คุณเคยพบว่าตัวเองสงสัยในสิ่งที่น่าเข้าไปทดลอง ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะห้ามบ้างไหม?
พระเจ้าประทานทุกสิ่งที่มนุษย์ต้องการ โลกใบนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เราได้ชื่นชมและมีความสุขกับมัน ทุกอย่างก็ถูกสร้างมาเพื่อการนี้ ผลงานชิ้นเอกที่สุดของพระเจ้าคือมนุษย์ และเพื่อตอบสนองความต้องการของเหล่ามวลมนุษย์จึงได้ทรงสร้างมนุษย์คนอื่น ๆ ขึ้นมา 'การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี' (2:18)
โดยเริ่มต้นที่ของขวัญอันล้ำค่านั่นคือการสมรส 'เพราะเหตุนั้นผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน' (ข้อ 24) การแต่งงานคือการร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตลอดชีวิตของชายและหญิงที่สามารถอิ่มเอมในเพศสัมพันธ์อันเป็นอีกหนึ่งของขวัญอันงดงามที่พระเจ้าประทานให้อย่างไร้พันธนาการ ปราศจากความผิดหรือ 'ไม่อายกัน' (ข้อ 25)
แม้พระเจ้าจะจัดเตรียมทุกอย่างที่ยอดเยี่ยมมากขนาดนี้ แต่มนุษย์ก็ยังไม่หยุดที่จะไขว่คว้ามากขึ้น และนั่นเองพวกเขาเลยตกเป็นเหยื่อของการล่อลวงเพื่อรับเอาผลไม้ต้องห้าม
การล่อลวงนี้เริ่มต้นขึ้นด้วยความสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้า คำถามแรกในพระคริสตธรรมคัมภีร์ปรากฏดังนี้ 'จริงหรือ ที่พระเจ้าตรัสว่า "ห้ามพวกเจ้ากินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวนนี้"?' (3:1) เบื้องหลังคำถามนี้คือคำมุสาของมารซาตานที่ว่า พระเจ้าทรงปิดบังบางสิ่งที่น่าเร้าใจมากไปจากคุณ
ความผิดพลาดประการแรกของเอวาคือการมีส่วนร่วมในบทสนทนากับงู เราถูกสร้างมาเพื่อสนทนากับพระเจ้าไม่ใช่มารซาตาน
มารซาตานในร่างจำแลงของงูหลอกเอวาให้คิดว่า บาปของเธอจะไม่ก่อผลใด ๆ 'พวกเจ้าจะไม่ตายแน่' (ข้อ 4) และมันยังใส่ร้ายพระเจ้า 'เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า พวกเจ้ากินผลจากต้นไม้นั้นวันใด ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วพวกเจ้าจะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า คือรู้ความดีและความชั่ว' (ข้อ 5) บ่อยครั้งที่คุณกลืนคำมุสาเกี่ยวกับพระเจ้าไปก่อนที่จะกลืนผลไม้ต้องห้ามเสียอีก
ผลนั้นดู 'ดี' และ 'น่ากิน' และ 'เป็นต้นไม้น่าปรารถนาที่ทำให้เกิดปัญญา' (ข้อ 6) แน่นอนการทดลองจึงบังเกิดขึ้น อาดัมและเอวาได้ทำบาปและการพยายามปกปิดความบาปก็เกิดขึ้นตามมาคือพวกเขา 'เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดกายไว้' (ข้อ 7)
4. คำถามแรกที่พระเจ้าตรัสในพระคริสตธรรมคัมภีร์เกี่ยวกับคุณ
ความใกล้ชิดระหว่างอาดัมและเอวากับพระเจ้าได้พังทลายลง เมื่อได้ยินเสียงพระเจ้าเสด็จมาพวกเขาก็ซ่อนตัว (ข้อ 8) แต่พระองค์ตามหาพวกเขาทันทีและนั่นเราได้พบคำถามแรกของพระองค์ในพระคัมภีร์ 'เจ้าอยู่ที่ไหน?' (ข้อ 9) พระเจ้าไม่เคยยอมแพ้ในตัวพวกเขา
เมื่อใดก็ตามที่คุณถอยห่างจากพระเจ้า พระองค์จะตามหาคุณและปรารถนาให้ความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้ากลับคืนมา
พระองค์ตรัสกับงูว่าพงศ์พันธุ์ของเอวาผู้หนึ่ง 'จะทำให้หัวของเจ้าแหลกและเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ' (ข้อ 15ข) พระเยซูคือผู้ที่จะทำหัวของงูแหลก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมีการจ่ายราคา 'เจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ' เรามาดูคำใบ้แรกของการจ่ายราคาเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์กัน นั่นคือบนไม้กางเขนพระเยซูได้บดขยี้ซาตานให้แหลกลาญ แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยชีวิตของพระองค์ พระโลหิตที่หลั่งออกมาก็เพื่อให้คุณและผมได้รับการให้อภัยและความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าก็กลับคืนมา
5. คำถามแรกที่มนุษย์ถามคือเรื่องความรับผิดชอบ
'ข้าพระองค์เป็นผู้ดูแลน้องหรือ?' (ข้อ 9ข) นี่คือคำถามสำคัญมากสำหรับวันนี้ คุณมีความรับผิดชอบต่อผู้อื่นหรือไม่
ชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลานนั้นเป็นผลมาจากความสัมพันธ์ที่แตกสลายของคุณกับพระเจ้า อาดัมและเอวาตำหนิกันและกัน (ข้อ 11-12) และในบทที่สี่เราจะพบว่าลูก ๆ ของพวกเขาเองก็ขัดแย้งกันและกัน ความขัดแย้ง การทะเลาะวิวาทและการแตกหักเริ่มขึ้นที่นี่ เผ่าพันธุ์มนุษยชาติก็ได้ถูกทำลายล้างนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ให้เราพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง คุณแทบไม่มีโอกาสชนะใครเลยและพวกมันก็มีพลังทำลายล้างมหาศาลเลยทีเดียว
คาอินโกรธอาเบลน้องชายตนเอง คำถามของพระเจ้ายังคงดำเนินต่อไป พระยาห์เวห์จึงตรัสถามคาอินว่า 'ทำไมเจ้าโกรธ? ทำไมหน้าเจ้าบูดบึ้ง? ถ้าเจ้าทำดี เจ้าก็จะเป็นที่ยอมรับไม่ใช่หรือ? ถ้าเจ้าทำไม่ดี บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู อยากตะครุบเจ้า เจ้าจะต้องเอาชนะบาปนั้น' (4:6-7)
คุณอาจจะมีชัยชนะเหนือความบาป (โดยผ่านทางฤทธิ์อำนาจของไม้กางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์และความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์) หรือล้มลงในความบาปก็ได้ ในกรณีของคาอินก็เป็นเช่นนั้น เขาฆ่าน้องชายตนเอง (ข้อ 8) และพระเจ้าได้ถามเขาอีกคำถามหนึ่ง 'อาเบลน้องชายของเจ้าอยู่ที่ไหน?' (ข้อ 9ก)
คาอินเป็นมนุษย์คนแรกในพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่ตอบสนองพระเจ้าโดยตั้งคำถามพระเจ้ากลับว่า 'ข้าพระองค์เป็นผู้ดูแลน้องหรือ?' (ข้อ 9ข) คาอินต้องการปัดความรับผิดชอบ เขากำลังบอกว่า 'ฉันต้องรับผิดชอบต่อคนอื่นมากกว่าตัวเองหรือ?'
คำตอบตามหลักศาสนศาสตร์คือคุณมีส่วนรับผิดชอบต่อผู้อื่น เราไม่สามารถละเลยความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราได้ ไม่ว่าจะในบ้านเมือง ประเทศชาติ รวมถึงโลกของเรา ตัวอย่างเช่นเราไม่สามารถยอมรับได้ว่าเด็ก ๆ หลายพันคนเสียชีวิตทุกวันอันเป็นผลมาจากความยากจนข้นแค้นนั้น 'ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา'
คุณไม่เพียงแต่ต้องรับผิดชอบต่อเพื่อนมนุษย์เท่านั้น แต่นี่ยังเป็นโอกาสพิเศษที่คุณจะส่งต่อพระพรความสุขไปสู่เพื่อนฝูง ครอบครัวและคนรอบข้าง รวมถึงสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตให้กับผู้คนได้อย่างมากมาย
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
มัทธิว 2:16
'เมื่อเฮโรดทรงเห็นว่าพวกนักปราชญ์หลอกท่านก็กริ้วยิ่งนัก จึงทรงสั่งคนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหมดในบ้านเบธเลเฮม และในบริเวณใกล้เคียงที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมาโดยนับเวลาตามที่ท่านทรงทราบจากพวกนักปราชญ์'
ฉันรู้สึกหดหู่เมื่ออ่านพระธรรมตอนนี้ มันน่ากลัวมากกับสิ่งที่เฮโรดกระทำกับเด็กไร้เดียงสาเหล่านั้นเพียงเพราะ เขารู้สึกไม่มั่นคงในตำแหน่งของตัวเอง คุณเคยตกอยู่ในอันตรายจากการทำร้ายคนอื่นเพียงเพื่อพยายามรักษาตําแหน่งของคุณเองหรือไม่?
ข้อพระคำประจำวัน
ปฐมกาล 2:24
“เพราะเหตุนั้นผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน”
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)