วัน 16

ล้นหัวใจ

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 2:1-11
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 12:22-45
พันธสัญญาเดิม ปฐมกาล 32:1-33:20

เกริ่นนำ

เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ผมอยากพบกับบิลลี่ เกรแฮม นักประกาศผู้ยิ่งใหญ่ (ปี ค.ศ. 1918–2018) ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเมื่อพบว่าเขาติดตามผมทางทวิตเตอร์ แน่นอนว่าผมติดตามเขาทางทวิตเตอร์กลับเช่นกัน เขาเป็นหนึ่งในวีรบุรุษแห่งความเชื่อของผม เขากล่าวต่อฝูงชนเกี่ยวกับพระเยซูมากกว่าใครอื่นในประวัติศาสตร์ของมนุษย์

ผมได้ฟังคำเทศนาของบิลลี่ เกรแฮม หลายต่อหลายครั้ง ทุกครั้งที่ผมได้ฟัง ผมรู้สึกมีแรงบันดาลใจ บิลลี่กล่าวว่าเขาชอบที่จะเติมเต็มหัวใจของเขาก่อนที่จะเทศนา เขาจะเตรียมข้อมูลให้เพียงพอสำหรับเทศนาห้ากัณฑ์เพื่อที่เขาจะเทศนาได้อย่าง 'เต็มล้นหัวใจ'

พระเยซูได้กล่าวไว้ว่า ใจความสำคัญจริง ๆ ‘...ด้วยว่าปากนั้นพูดสิ่งที่มาจากใจ’ (มัทธิว 12:34) คุณเก็บสิ่งดี ๆ ไว้ในใจอย่างไร?

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 2:1-11

คุณค่าของปัญญา

1ลูกเอ๋ย ถ้าเจ้ารับถ้อยคำของข้า
 และสะสมบัญญัติของข้าไว้กับเจ้า
2จงเงี่ยหูของเจ้าฟังปัญญา
 จงเอียงใจของเจ้าเข้าหาความเข้าใจ
3เพราะถ้าเจ้าร้องหาความรอบรู้
 และเปล่งเสียงของเจ้าหาความเข้าใจ
4ถ้าเจ้าแสวงหาปัญญาเหมือนหาเงิน
 และเสาะหาเธออย่างหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่
5แล้วเจ้าจะเข้าใจความยำเกรงพระยาห์เวห์
 และพบความรู้ของพระเจ้า
6เพราะพระยาห์เวห์ประทานปัญญา
 และจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ความรู้กับความเข้าใจก็ออกมา
7พระองค์ทรงสะสมสติปัญญาไว้ให้คนเที่ยงธรรม
 พระองค์ทรงเป็นโล่แก่ผู้ที่ดำเนินในความซื่อสัตย์
8ทรงเฝ้าบรรดาวิถีแห่งความยุติธรรม
 และทรงปกป้องทางแห่งธรรมิกชนของพระองค์
9แล้วเจ้าจะเข้าใจความชอบธรรมและความยุติธรรม
 และความเที่ยงธรรม คือหนทางที่ดีทุกสาย
10เพราะปัญญาจะเข้ามาในใจของเจ้า
 และความรู้จะเป็นที่ร่มรื่นแก่วิญญาณจิตของเจ้า
11ความเฉลียวฉลาดจะปกป้องเจ้า
 และความเข้าใจจะเฝ้าเจ้าไว้

อรรถาธิบาย

เก็บสะสมพระวจนะของพระเจ้าไว้ในใจคุณ

คุณปรารถนาอยากรู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้นไหม? คุณอยากจะเฉลียวฉลาดมากขึ้น มีทักษะความรู้และความเข้าใจมากขึ้นหรือไม่?

ผมขอสนับสนุนให้คุณสร้างอุปนิสัยในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าตลอดชีวิตในทุก ๆ วัน ผู้เขียนสุภาษิตเรียกร้องให้ ‘สะสมบัญญัติของข้าไว้กับเจ้า จงเงี่ยหูของเจ้าฟังปัญญาจงเอียงใจของเจ้าเข้าหาความเข้าใจ เพราะปัญญาจะเข้ามาในใจของเจ้า’ (ข้อ 1-2, 10)

1. ต้องทำอย่างไรบ้าง?

‘สะสม’ พระคำของพระเจ้าไว้ในตัวคุณ (ข้อ 1) คุณต้อง ‘รับ’ (ข้อ 1) ฟัง และนำไปใช้ (ข้อ 2) ‘ร้องหา’ (ข้อ 3) และ ‘แสวงหา’ (ข้อ 4) ‘แสวงหาปัญญาเหมือนหาเงินและเสาะหาเธออย่างหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่’ (ข้อ 4 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) สิ่งนี้ต้องใช้เวลาและความมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่เพียงแค่จัดลำดับความสำคัญของตารางเวลาของคุณ แต่เป็นการกำหนดลงในตารางเวลาตามลำดับความสำคัญ ให้คุณจัดเวลาอ่านพระคัมภีร์เป็นประจำในเวลาเดิมทุก ๆ วัน และกำหนดให้เป็นสิ่งสำคัญสูงสุด

2. พระเจ้าทรงสัญญาอะไรบ้าง หากคุณทำสิ่งนี้?

คุณจะได้พบ ‘ความรู้ของพระเจ้า’ (ข้อ 5) ‘พระยาห์เวห์ประทานปัญญาโดยไม่คิดมูลค่า’ (ข้อ 6 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เนื่องจากเป็นพระลักษณะของพระเจ้า พระองค์จึง ‘ประทานปัญญา’ และ ‘ความเข้าใจ’ (ข้อ 6) ‘ชัยชนะ’ (ข้อ 7) การปกป้อง (ข้อ 8) และ ‘ความเฉลียวฉลาด’ (ข้อ 11) พระองค์ทรงสัญญาว่าจะ ‘เฝ้าดูคุณ’ (ข้อ 8 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และ ‘ปกป้องและเฝ้าเจ้าไว้’ (ข้อ 8, 11)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ใช้เวลากับพระองค์ในแต่ละวัน และนำคำสอนในพระคัมภีร์มาใช้กับชีวิตของข้าพระองค์
พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 12:22-45

พระเยซูและเบเอลเซบูล

 22ขณะนั้นเขาพาคนถูกผีสิงคนหนึ่งที่ตาบอดและเป็นใบ้มาหาพระองค์ พระองค์ทรงรักษาเขาให้หาย คนนั้นก็พูดได้และมองเห็น 23และฝูงชนทั้งหมดก็อัศจรรย์ใจถามกันว่า “คนนี้ใช่บุตรดาวิดไหม?” 24แต่เมื่อพวกฟาริสีได้ยินดังนั้นก็พูดกันว่า “คนนี้ขับผีออกได้ก็เพราะใช้อำนาจเบเอลเซบูลอีกชื่อหนึ่งของซาตานผู้เป็นนายผีนั้น” 25พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกเขา จึงตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “ราชอาณาจักรใดๆ ซึ่งแตกแยกกันแล้ว ก็คงพินาศ เมืองใดๆ หรือบ้านใดๆ ซึ่งแตกแยกกันแล้ว จะตั้งอยู่ไม่ได้ 26และถ้าซาตานขับซาตานออกมันก็แตกแยกกันในตัวมันเอง แล้วอาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร? 27และถ้าเราขับผีออกโดยเบเอลเซบูล ลูกน้องของท่านทั้งหลายขับมันออกโดยอำนาจของใครเล่า? เพราะเหตุนี้ลูกน้องของท่านเองจะเป็นผู้กล่าวโทษพวกท่าน 28แต่ถ้าเราขับผีออกโดยพระวิญญาณของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงพวกท่านแล้ว 29หรือใครจะสามารถเข้าไปในบ้านของคนที่มีกำลังมาก และปล้นเอาทรัพย์ของเขาได้? เว้นแต่จะจับคนที่มีกำลังมากนั้นมัดไว้เสียก่อน แล้วจึงจะปล้นทรัพย์ในบ้านนั้นได้ 30ใครไม่อยู่ฝ่ายเราก็ต่อต้านเรา และใครไม่รวบรวมไว้กับเรา ก็ทำให้กระจัดกระจาย 31เพราะเหตุนี้เราบอกพวกท่านว่า บาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดอภัยให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้ 32ถ้าใครกล่าวร้ายบุตรมนุษย์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นได้ แต่ถ้าใครกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า

ต้นไม้และผลของมัน

 33“จงทำให้ต้นไม้ดีและได้ผลดี หรือทำให้ต้นไม้เลวและได้ผลเลว เพราะว่าพวกเรารู้จักต้นด้วยผลของมัน 34โอ พวกชาติงูร้าย ท่านทั้งหลายเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร? ด้วยว่าปากนั้นพูดสิ่งที่มาจากใจ 35คนดีก็เอาของดีมาจากคลังแห่งความดีในตัวของเขา คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลังแห่งความชั่วในตัวของเขา 36ส่วนเราบอกพวกท่านว่า คำที่ไม่เป็นสาระทุกคำซึ่งมนุษย์พูดนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดชอบถ้อยคำเหล่านั้นในวันพิพากษา 37เพราะว่าพวกท่านจะพ้นผิดหรือถูกตัดสินลงโทษ ก็เพราะคำพูดของท่าน”

การแสวงหาหมายสำคัญ

 38เวลานั้นมีบางคนในพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสีมาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เราอยากจะเห็นหมายสำคัญจากท่าน” 39พระองค์จึงตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า “คนในยุคชั่วร้ายและไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าแสวงหาหมายสำคัญ แต่จะไม่ประทานหมายสำคัญให้ เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์ผู้เผยพระวจนะ 40เพราะว่าโยนาห์อยู่ในท้องปลามหึมาสามวันสามคืนอย่างไร บุตรมนุษย์จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืนอย่างนั้น 41ชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนในยุคนี้ และกล่าวโทษพวกเขา เพราะว่าชาวนีนะเวห์กลับใจใหม่เพราะการประกาศของโยนาห์ และผู้ที่ใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่ 42ราชินีแห่งทิศใต้จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และกล่าวโทษพวกเขา เพราะว่าพระนางนั้นมาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลกเพื่อจะฟังสติปัญญาของซาโลมอน และผู้ที่ใหญ่กว่าซาโลมอนก็อยู่ที่นี่

ผีโสโครกกลับเข้ามาใหม่

 43“เมื่อผีโสโครกออกมาจากใครแล้ว มันก็ท่องเที่ยวไปในที่กันดารน้ำเพื่อแสวงหาที่หยุดพัก แต่เมื่อไม่พบ 44มันจึงกล่าวว่า ‘ข้าจะกลับไปที่บ้านของข้า ที่ข้าจากมานั้น’ และเมื่อมาถึงก็พบว่าบ้านนั้นว่าง ถูกปัดกวาดและจัดเป็นระเบียบ 45มันจึงไปพาผีอื่นอีกเจ็ดตัวที่ร้ายกว่าตัวมันเองเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น แล้วในที่สุดคนนั้นก็ตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายกว่าตอนแรก คนในยุคชั่วร้ายนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น”

อรรถาธิบาย

เติมเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์

ถ้อยคำที่คุณพูดนั้นมีความหมายจริง ๆ จอยซ์ ไมเออร์ เขียนไว้ว่า ‘ทุกถ้อยคำที่เราพูด อาจเป็นอิฐที่ใช้สร้าง หรือเป็นรถปราบไถดินที่ใช้ทำลายล้างก็ได้’ สิ่งใดก็ตามที่เก็บสะสมในใจของคุณ ไม่ช้าก็เร็วจะแสดงออกมาเป็นคำพูดของคุณ จงระวังสิ่งที่คุณมอง สิ่งที่คุณอ่าน และสิ่งที่คุณคิด จงเติมหัวใจด้วยสิ่งดี ๆ แล้วคุณจะคิดดี พูดถ้อยคำที่ดี และเกิดผลดี (ข้อ 33)

พระเยซูตรัสว่า ‘ด้วยว่าปากนั้นพูดสิ่งที่มาจากใจ คนดีก็เอาของดีมาจากคลังแห่งความดีในตัวของเขา คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลังแห่งความชั่วในตัวของเขา’ (ข้อ 34–35)

คุณไม่สามารถเปลี่ยนรูปแบบความคิดของคุณได้ด้วยตัวคุณเอง คุณต้องการความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงเติมหัวใจของคุณให้เต็มด้วยความรักและผลดีของพระองค์

พระเยซูตรัสว่าบาปทุกอย่างจะได้รับการอภัยยกเว้นการดูหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 30–32) บางครั้งคนเรากังวลว่าตนได้ทำบาปที่ไม่อาจให้อภัยได้ อย่างไรก็ตาม หากคุณกังวลในเรื่องนี้ ก็แทบจะมั่นใจได้ว่าคุณไม่ได้กระทำความผิดบาป ไม่มีบาปใดที่ให้อภัยไม่ได้หากคุณกลับใจและขอการให้อภัยจากพระเจ้า เพราะ ‘บาปที่ให้อภัยไม่ได้’ เพียงอย่างเดียว นั่นคือการปฏิเสธที่จะกลับใจและหันไปหาพระคริสต์ และต่อต้านพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ตลอดชีวิตของคุณ

บรรดาฟาริสีและธรรมาจารย์อาจตกอยู่ในอันตรายเนื่องจากพวกเขาอ้างเหตุผลว่า อำนาจในการรักษาโรคของพระเยซูมาจากซาตาน (ข้อ 22–24) พวกเขาได้เห็นการอัศจรรย์มากมายจากพระเยซูแล้ว แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับว่าอำนาจของพระเยซูคือการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อพวกเขาพูดกับพระเยซูว่า ‘เราอยากจะเห็นหมายสำคัญจากท่าน’ (ข้อ 38 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เสมือนกับว่าพวกเขากำลังพิจารณาตรวจสอบองค์พระเยซู

อย่างไรก็ตามคำตอบของพระเยซูแสดงให้พวกเขาเห็นว่า เมื่อเปรียบเทียบตัวเองกับโยนาห์ศาสดาพยากรณ์ ในพระคัมภีร์เดิมพระเยซูกำลังอ้างถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านั้นคือ การสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ในสามวันต่อมา (ข้อ 39–40) การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเป็นสัญญาณบ่งบอกตัวตนของพระองค์

พระเยซูให้กรณีศึกษาสองเหตุการณ์จากพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เพื่อแสดงให้เห็นว่าบรรดาฟาริสีมีหลักฐานเพียงพอแล้ว เหตุการณ์แรก เมื่อโยนาห์เทศนาสั่งสอนชาวนีนะเวห์ให้พวกเขากลับใจใหม่นั้น พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์ เหตุการณ์ที่สอง ราชินีแห่งเชบาตระหนักถึงปัญญาของกษัตริย์ซาโลมอน สติปัญญาของพระเยซูก็ยิ่งใหญ่กว่าสติปัญญาของซาโลมอน บรรดาฟาริสีและเราจึงไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานอื่นเพิ่มเติม

พระเยซูทรงใช้คำอธิบายถึงการทำงานของวิญญาณชั่วเพื่อเตือนถึงอันตรายจากการหันกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่าของเราหลังจากทำความสะอาด ‘บ้าน’ พระเยซูทรงเตือนว่าเมื่อผู้คนหันกลับไปสู่บาปเก่า พวกเขามักจะทำสิ่งที่เลวร้ายหนักกว่าเดิม (ข้อ 43 เป็นต้นไป) และ ‘สภาพที่เลวร้ายกว่าตอนแรก’ (ข้อ 45)

พระวิญญาณบริสุทธิ์คือผู้ที่ขับไล่อำนาจวิญญาณชั่วออกไป (ข้อ 28) ให้คุณสู้รบในสงครามแต่ละวันเพื่อต่อต้านความชั่วร้ายและขอพระเจ้าให้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ การทดสอบว่าหัวใจของคุณดีหรือไม่ ก็ด้วยการดูว่าสิ่งที่ออกมาจากปากของคุณเป็นอย่างไร เพราะเป็นสิ่งที่ล้นออกมาจากภายใน ‘ปากนั้นพูดสิ่งที่มาจากใจ’ (ข้อ 34)

พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า ‘โอ พวกชาติงูร้าย ท่านทั้งหลายเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร? ไม่ใช่พจนานุกรม แต่เป็นหัวใจของท่านต่างหาก ที่หยิบยื่นความหมายกับคำพูดของท่าน’ (ข้อ 34 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) วิธีที่จะทำให้แน่ใจว่าคุณจะพูดสิ่งที่ถูกต้อง คือ การแน่ใจว่าหัวใจของคุณเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์เติมเต็มหัวใจตลอดเวลาด้วยสิ่งดี ๆ และปกป้องข้าพระองค์จากความชั่วร้าย ข้าพระองค์อธิษฐานในวันนี้ขอทรงโปรดเติมเต็มข้าพระองค์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
พันธสัญญาเดิม

ปฐมกาล 32:1-33:20

 1เมื่อยาโคบเดินทางไป เหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าพบเขา 2เมื่อยาโคบเห็นทูตสวรรค์เหล่านั้นจึงว่า “นี่แหละค่ายของพระเจ้า” จึงเรียกสถานที่นั้นว่า “มาหะนาอิม”

ยาโคบส่งของกำนัลเพื่อระงับโทสะของเอซาว

 3ยาโคบส่งผู้สื่อสารหลายคนล่วงหน้าไปหาเอซาวพี่ชาย ในดินแดนเสอีร์แถบเอโดม 4สั่งพวกเขาว่า “จงไปบอกเอซาวเจ้านายของเราว่า ยาโคบผู้รับใช้ของท่านกล่าวดังนี้ ‘ข้าพเจ้าไปอาศัยอยู่กับลาบันจนบัดนี้ 5ข้าพเจ้ามีฝูงโค ฝูงลา ฝูงแพะแกะ มีคนใช้ชายหญิง ข้าพเจ้าใช้คนมาเรียนเจ้านายของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้เป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน’ ”
 6พวกผู้สื่อสารนั้นกลับมาบอกยาโคบว่า “ข้าพเจ้าไปพบเอซาวพี่ชายของท่านแล้ว เขากำลังจะมาพบท่าน พร้อมกับผู้ชายสี่ร้อยคน” 7ยาโคบมีความกลัวและทุกข์ใจยิ่งนัก จึงให้แบ่งคนทั้งหลายที่มาด้วย และฝูงแพะแกะ ฝูงโค ฝูงอูฐ ออกเป็นสองพวก 8คิดว่า “ถ้าเอซาวมาถึงพวกหนึ่งและฆ่าเสีย พวกที่เหลือจะหนีไปได้”
 9ยาโคบอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้าของอับราฮัมปู่ของข้าพระองค์ และพระเจ้าของอิสอัคบิดาของข้าพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้ตรัสสั่งข้าพระองค์ไว้ว่า ‘กลับไปยังดินแดนของเจ้า และยังญาติพี่น้องของเจ้า เราจะทำดีแก่เจ้า’ 10ข้าพระองค์ไม่สมควรจะรับความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์แม้เล็กน้อยที่สุด ที่พระองค์ประทานแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้เมื่อมีแต่ไม้เท้า และบัดนี้ข้าพระองค์มีผู้คนเป็นสองกลุ่ม 11ขอพระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากเงื้อมมือพี่ชายข้าพระองค์ คือจากเงื้อมมือของเอซาว เพราะข้าพระองค์กลัวเขา เกรงว่าเขาจะมาฆ่าข้าพระองค์ และแม่ๆ กับลูกๆ 12แต่พระองค์ตรัสไว้แล้วว่า ‘เราจะทำดีแก่เจ้าแน่นอนและจะช่วยให้เชื้อสายของเจ้าดุจเม็ดทรายที่ทะเล ซึ่งมีมากจนนับไม่ถ้วน’ ”
 13คืนวันนั้นยาโคบพักอยู่ที่นั่นและมอบบางส่วนจากทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ให้เป็นของกำนัลแก่เอซาวพี่ชายของตน 14คือแพะตัวเมีย 200 ตัว แพะตัวผู้ 20 ตัว แกะตัวเมีย 200 ตัว แกะตัวผู้ 20 ตัว 15อูฐแม่ลูกอ่อน 30 ตัว กับลูกโคตัวเมีย 40 ตัว โคตัวผู้ 10 ตัว ลาตัวเมีย 20 ตัว ลาตัวผู้ 10 ตัว 16ยาโคบมอบสิ่งเหล่านี้ไว้ในความดูแลของคนใช้ ให้แต่ละฝูงอยู่ต่างหาก และสั่งพวกคนใช้ว่า “ล่วงหน้าไปก่อนเรา และให้แต่ละฝูงทิ้งระยะห่างกันหน่อย” 17ยาโคบสั่งคนที่อยู่หน้าสุดว่า “เมื่อเอซาวพี่ชายของเรามาพบเจ้า และถามเจ้าว่า ‘เจ้าเป็นคนของใคร? เจ้าจะไปไหน? และของที่อยู่ข้างหน้าเจ้านี้เป็นของใคร?’ 18เจ้าจงตอบว่า ‘ของเหล่านี้เป็นของยาโคบผู้รับใช้ของท่าน เป็นของกำนัลส่งมาให้เอซาวเจ้านายของข้าพเจ้า และยิ่งกว่านั้นอีก ยาโคบตามมาข้างหลัง’ ” 19ยาโคบสั่งคนที่สองและคนที่สาม และบรรดาผู้ติดตามฝูงเหล่านั้นทำนองเดียวกันว่า “เมื่อพวกเจ้าพบเอซาว ให้พูดกับเขาเช่นเดียวกัน 20และเสริมว่า ‘ยิ่งกว่านั้นอีก นี่แน่ะ ยาโคบผู้รับใช้ของท่านกำลังตามมาข้างหลังพวกเรา’ ” เพราะยาโคบคิดว่า “ข้าคงจะระงับโทสะของเอซาวได้ด้วยของกำนัลที่ส่งล่วงหน้าไป และภายหลังเมื่อข้าเห็นหน้าเขา บางทีเขาจะยอมรับข้า” 21ดังนั้นของกำนัลต่างๆ จึงล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตัวเขาคืนนั้นยังค้างอยู่ในค่าย

ยาโคบปล้ำสู้กับบุรุษผู้หนึ่งที่เปนีเอล

 22กลางคืนนั้นเอง ยาโคบก็ลุกขึ้นและพาภรรยาทั้งสอง สาวใช้ทั้งสอง และลูกสิบเอ็ดคนข้ามที่ท่าข้ามแม่น้ำยับบอก 23ยาโคบส่งครอบครัวข้ามลำธารไป และส่งทรัพย์สมบัติทั้งหมดข้ามไปด้วย 24เหลือยาโคบอยู่แต่ผู้เดียว มีบุรุษผู้หนึ่งมาปล้ำสู้กับเขาจนรุ่งสาง 25เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นว่าจะเอาชนะยาโคบไม่ได้ ก็แตะที่ข้อต่อสะโพกของยาโคบขณะที่ปล้ำสู้กัน ข้อต่อสะโพกของยาโคบก็เคลื่อน 26บุรุษนั้นจึงว่า “ปล่อยเราไปเถิดเพราะใกล้สว่างแล้ว” แต่ยาโคบตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า” 27บุรุษผู้นั้นจึงถามยาโคบว่า “เจ้าชื่ออะไร?” ยาโคบตอบว่า “ข้าพเจ้าชื่อยาโคบ” 28บุรุษนั้นจึงว่า “เขาจะไม่เรียกเจ้าว่ายาโคบต่อไป แต่จะเรียกว่า อิสราเอล เพราะเจ้าสู้กับพระเจ้าและมนุษย์ และได้ชัยชนะ” 29ยาโคบจึงถามบุรุษผู้นั้นว่า “ขอท่านบอกข้าพเจ้าว่าท่านชื่ออะไร?” แต่บุรุษนั้นกล่าวว่า “ทำไมเจ้าจึงถามชื่อเรา?” แล้วก็อวยพรยาโคบที่นั่น 30ยาโคบจึงเรียกสถานที่นั้นว่า เปนีเอล กล่าวว่า “เพราะข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้าต่อหน้าข้าพเจ้า แล้วพระองค์ทรงไว้ชีวิตข้าพเจ้า” 31เมื่อยาโคบผ่านเปนูเอลคงจะเป็น เปนีเอลดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว เขาเดินโขยกเขยกเพราะเจ็บสะโพก 32ดังนั้นคนอิสราเอลจึงไม่กินเส้นเอ็นที่สะโพก ซึ่งอยู่ที่ข้อต่อสะโพกนั้นจนทุกวันนี้ เพราะพระองค์ทรงแตะข้อต่อสะโพกของยาโคบตรงเส้นเอ็นที่สะโพก

ปฐมกาล 33

ยาโคบพบเอซาว

 1ยาโคบเงยหน้าขึ้นดู ก็เห็นเอซาวกำลังมาพร้อมกับชาย 400 คน ยาโคบจึงแบ่งลูกๆ ให้เลอาห์ ราเชลและสาวใช้ทั้งสอง 2เขาให้สาวใช้กับลูกๆ อยู่ข้างหน้า ถัดมาเลอาห์กับลูกๆ ส่วนราเชลกับโยเซฟอยู่ท้ายสุด 3ตัวเขาเองเดินออกหน้าไปก่อน โน้มตัวลงถึงดินเจ็ดครั้ง จนเข้ามาใกล้พี่ชายของเขา 4แต่เอซาววิ่งออกไปต้อนรับ กอดและซบหน้าลงที่คอจูบเขา ต่างก็ร้องไห้ 5เมื่อเอซาวเงยหน้าขึ้นแลเห็นพวกผู้หญิงกับลูกๆ จึงถามว่า “คนเหล่านี้ที่อยู่กับเจ้าคือใคร?” ยาโคบตอบว่า “คือลูกๆ ที่พระเจ้าประทานแก่ผู้รับใช้ของท่าน” 6แล้วสาวใช้ทั้งสองคนกับลูกๆ ก็เข้ามาใกล้และโน้มตัวลงถึงดิน 7เลอาห์กับลูกๆ ของนางก็เข้ามาใกล้ด้วยและโน้มตัวลงถึงดิน ที่สุดโยเซฟและราเชลก็เข้ามาใกล้และโน้มตัวลงถึงดิน 8เอซาวถามว่า “ผู้คนและฝูงสัตว์เหล่านี้ทั้งหมดที่เราพบนั้นสำหรับอะไร?” ยาโคบตอบว่า “เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับความโปรดปรานจากนายของข้าพเจ้า” 9เอซาวพูดว่า “น้องเอ๋ย ข้ามีมากมายอยู่แล้ว เก็บของของเจ้าไว้เองเถิด” 10ยาโคบตอบว่า “ไม่ได้ ขอได้โปรดเถิด ถ้าท่านโปรดปรานข้าพเจ้าแล้ว ขอรับของกำนัลจากมือข้าพเจ้า เพราะแท้จริงเมื่อข้าพเจ้าเห็นหน้าท่านก็เหมือนเห็นพระพักตร์ของพระเจ้า เพราะท่านต้อนรับข้าพเจ้าอย่างดี 11ข้าพเจ้าขอท่านรับของขวัญที่นำมาให้ท่าน เพราะพระเจ้าทรงกรุณาข้าพเจ้าและข้าพเจ้าก็มีพอเพียงแล้ว” ท่านอ้อนวอนเอซาว เขาจึงรับไว้
 12เอซาวพูดว่า “ให้เราออกเดินทางไปกันเถิด ข้าจะนำหน้าเจ้า” 13แต่ยาโคบตอบเขาว่า “นายของข้าพเจ้าย่อมทราบอยู่แล้วว่าลูกๆ นั้นอ่อนแอ และฝูงแพะแกะและโคที่มีลูกอ่อนยังกินนมอยู่ ถ้าจะต้อนให้เดินเกินไปสักวันหนึ่งฝูงสัตว์ก็จะตายหมด 14ขอนายของข้าพเจ้าล่วงหน้าผู้รับใช้ของท่านไปก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะตามไปช้าๆ ตามกำลังของสัตว์ซึ่งอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้าและตามกำลังของลูกๆ จนกว่าข้าพเจ้าจะไปพบเจ้านายของข้าพเจ้าที่เสอีร์” 15เอซาวจึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นขอให้บางคนที่มากับเราไปกับเจ้า” ยาโคบตอบว่า “ไม่จำเป็นเลย ขอแต่เพียงให้ข้าพเจ้าได้รับความโปรดปรานจากนายของข้าพเจ้า” 16ในวันนั้น เอซาวก็กลับไปถึงเสอีร์ 17ส่วนยาโคบเดินทางไปถึงสุคคท เขาสร้างบ้านอยู่ที่นั่น และสร้างเพิงให้ฝูงปศุสัตว์ของเขา ฉะนั้นเขาจึงเรียกที่นั้นว่า สุคคท

ยาโคบไปถึงเชเคม

 18ยาโคบเดินทางจากปัดดานอารัมมาถึงเมืองเชเคม ในดินแดนคานาอันอย่างปลอดภัย เขาตั้งเต็นท์อยู่หน้าเมืองนั้น 19ยาโคบซื้อที่ดินแปลงที่ตั้งเต็นท์อยู่นั้น จากบุตรชายของฮาโมร์บิดาของเชเคม เป็นเงินหนึ่งร้อยแผ่น 20ยาโคบสร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียกแท่นนั้นว่า เอลเอโลเฮอิสราเอล

อรรถาธิบาย

ปล้ำสู้กับพระเจ้าในคำอธิษฐาน

คุณกำลังเผชิญกับความกลัว หรือ ความกังวลครั้งใหญ่ในชีวิตของคุณหรือไม่?

ยาโคบเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าวิตกกังวลอย่างมาก เขาตัดขาดจากเอซาวพี่ชายของเขา และกลัวว่าเอซาวอาจจะมาจัดการตัวเขา ยาโคบอยู่ใน ‘ความกลัวและทุกข์ใจยิ่งนัก’ (32:7)

ยาโคบเป็นนักอธิษฐานแม้ว่าจะทำบาป แต่เขาก็รู้จักพระเจ้า เขารับรู้ถึงความไม่คู่ควรของตัวเอง ‘ข้าพระองค์ไม่สมควรจะรับความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์แม้เล็กน้อยที่สุด ที่พระองค์ประทานแก่ผู้รับใช้ของพระองค์’ (ข้อ 10)

ยาโคบอธิษฐาน เชื่อวางใจ และอ้างพระสัญญาของพระเจ้า ‘ขอพระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากเงื้อมมือพี่ชายข้าพระองค์ แต่พระองค์ตรัสไว้แล้วว่า “เราจะทำดีแก่เจ้าแน่นอนและจะช่วยให้เชื้อสายของเจ้าดุจเม็ดทรายที่ทะเลซึ่งมีมากจนนับไม่ถ้วน”’ (ข้อ 11–12) คำอธิษฐานของเขาได้รับคำตอบเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ด้วยซ้ำ

การอธิษฐานไม่ได้ตรงไปตรงมาเสมอไป ในบางครั้งเราก็เป็นเหมือนยาโคบที่ต้องปล้ำสู้กับพระเจ้า (32:22–32, โคโลสี 4:12) อาจต้องจ่ายราคาแพงในแง่ของเวลาและพลังงาน สิ่งนี้ต้องการความมุ่งมั่น ยาโคบกล่าวกับพระเจ้าว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า’ (ปฐมกาล 32:26) และเราได้ทราบว่านับจากนั้นเขาก็เดินกะเผลก (ข้อ 31)

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ สิ่งที่เทียบเคียงมากที่สุดอาจเป็น ‘หนามในเนื้อ’ ของอัครทูตเปาโล (2 โครินธ์ 12:7) ซึ่งเขาขอให้พระเจ้าให้มันหลุดไปถึงสามครั้ง ความอ่อนแอและความเปราะบางของคุณไม่ได้หยุดที่พระเจ้าจะใช้คุณ อันที่จริงแล้วพระเจ้ามักใช้จุดอ่อนของเรามากกว่าจุดแข็งของเรา พระเจ้าไม่ได้กำจัดหนามในเนื้อของเปาโล แต่พระองค์ตรัสว่า ‘ความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น’ (ข้อ 9)

บางทีคุณอาจรู้สึกว่ามี ‘หนามในเนื้อ’ หรือดูเหมือนว่าคุณกำลัง ‘เดินขากะเผลก’ คุณมีความเปราะบางหรือมีข้อบกพร่องทางกายที่ชัดเจน แจคกี้ พูลลิงเกอร์ กล่าวว่าเธอไม่เคยไว้ใจใครที่ไม่ได้เดินกะเผลก การผ่านความยากลำบาก ความผิดหวัง และการต่อสู้มักจะทำให้หัวใจของเราเปลี่ยนแปลงไป เราเห็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงในตัวยาโคบหลังจากที่เขาปล้ำสู้กับพระเจ้า ทัศนคติของเขาที่มีต่อพี่ชายเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง (ปฐมกาล 33)

หลังจากที่ได้รับชัยชนะด้วยคำอธิษฐานแล้ว ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเข้าที่เข้าทาง พี่น้องได้พบปะกันอีก และมีการคืนดีอันแสนยอดเยี่ยม ‘เอซาววิ่งออกไปต้อนรับ กอดและซบหน้าลงที่คอจูบเขา ต่างก็ร้องไห้’ (ข้อ 4)

ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อกันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เอซาวพูดว่า ‘น้องเอ๋ย ข้ามีมากมายอยู่แล้ว เก็บของของเจ้าไว้เองเถิด’ (ข้อ 9)

ยาโคบตอบว่า ‘ไม่ได้ขอได้โปรดเถิด ถ้าท่านโปรดปรานข้าพเจ้าแล้ว ขอรับของกำนัลจากมือข้าพเจ้า เพราะแท้จริงเมื่อข้าพเจ้าเห็นหน้าท่านก็เหมือนเห็นพระพักตร์ของพระเจ้า เพราะท่านต้อนรับข้าพเจ้าอย่างดี ข้าพเจ้าขอท่านรับของขวัญที่นำมาให้ท่าน เพราะพระเจ้าทรงกรุณาข้าพเจ้าและข้าพเจ้าก็มีพอเพียงแล้ว’ (ข้อ 10–11)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณที่พระองค์เป็นพระเจ้าที่ตอบคำอธิษฐาน โปรดช่วยข้าพระองค์ทุกคนที่ปล้ำสู้ในการอธิษฐานเหมือนยาโคบ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขออธิษฐานให้พระองค์นำการคืนดีในความสัมพันธ์ทั้งหมดของข้าพระองค์กับพี่น้องในพระคริสต์ ขอให้ปากของข้าพระองค์พูดออกมาจากหัวใจที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ปฐมกาล 32:1-33:20

ความสัมพันธ์ของยาโคบกับบิดามารดา พ่อตา และพี่ชายยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบมากนัก ถึงอย่างนั้น เราก็ยังเห็นถึงความรักและการจัดเตรียมของพระเจ้าสำหรับพวกเขา หลังจากที่ยาโคบปล้ำสู้กับพระเจ้าในการอธิษฐาน เราเห็นความถ่อมใจที่เกิดขึ้นมาใหม่ในตัวยาโคบ นี่เป็นครั้งแรกที่เราอ่านเจอว่ายาโคบอยากจะเป็นผู้ให้แทนที่จะเป็นแต่ผู้รับ

ข้อพระคำประจำวัน

ปฐมกาล 26:2 (พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

‘พระยาห์เวห์ประทานปัญญาโดยไม่คิดมูลค่า’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม