เป็นของคุณเรียบร้อยแล้ว
เกริ่นนำ
คุณตาคุณยายของผมอาศัยอยู่ในเมืองประมงเล็ก ๆ ชื่อพิตเท็นวีม ใกล้กับเมืองเอดินบะระในสกอตแลนด์ พวกเขามีบ้านที่นั่น ในปี ค.ศ. 1939 เมื่อสงครามโลกครั้งสองเริ่มขึ้น พวกเขาทิ้งบ้านไว้กับคนเช่า เมื่อสงครามสงบ พวกเขาอยากกลับไปอยู่ที่บ้านของตัวเองแต่ทำไม่ได้ กฎหมายในเวลานั้นอนุญาตให้ผู้เช่าซึ่งยังคงอาศัยอยู่ในบ้าน อาศัยอยู่ได้ตลอดชีวิต ด้วยค่าเช่าเท่าเดิม (โดยไม่มีการปรับตามอัตราเงินเฟ้อ!)
เป็นเวลาห้าสิบปีที่คุณตาคุณยายของผมไม่สามารถครอบครองบ้านที่พวกเขาเป็นเจ้าของได้ คุณลุงของผมรับมรดกบ้านนี้จากคุณตาคุณยาย ตอนที่เขาได้ครอบครอง สภาพบ้านทรุดโทรมลงมาก เขาขายบ้านไปได้เงินมาเพียงนิดเดียว
แม้ว่าครอบครัวของผมเป็นเจ้าของบ้านนี้ในพิตเท็นวีม พวกเขากลับไม่เคยได้ครอบครองมัน มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างการเป็นเจ้าของ และการได้ครอบครอง
ประชากรอิสราเอลได้รับมอบความเป็นเจ้าของดินแดนคานาอัน แผ่นดินแห่งพันธสัญญา บัดนี้โยชูวากล่าวกับชนชาติอิสราเอลว่า ‘พวกท่านจะรอช้าอยู่อีกนานเท่าใดจึงจะเข้าไปยึดครองที่ดิน ...?’ (โยชูวา 18:3) พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่แสดงให้เห็นว่า ‘ที่ดิน’ เป็นภาพของชีวิตคริสเตียน (ฮีบรู 4) จงตระหนักว่าอะไรเป็นของคุณเรียบร้อยแล้วในพระคริสต์ และจากนั้นก็ยึดครองมัน
สุภาษิต 10:31-11:8
31ปากของคนชอบธรรมให้ปัญญา
แต่ลิ้นของคนตลบตะแลงจะถูกตัดออก
32ริมฝีปากของคนชอบธรรมรู้จักสิ่งที่ดีที่ควร
แต่ปากของคนอธรรมรู้จักความตลบตะแลง
สุภาษิต 11
1พระยาห์เวห์ทรงเกลียดชังตาชั่งขี้โกง
แต่ทรงปีติยินดีในตุ้มน้ำหนักที่ยุติธรรม
2เมื่อความโอหังมาถึง ความอัปยศก็มาด้วย
แต่ปัญญาอยู่กับคนถ่อมตัว
3ความซื่อสัตย์ของคนเที่ยงธรรมย่อมนำเขา
แต่ความคดโกงของคนทรยศย่อมทำลายเขา
4ความมั่งคั่งไม่มีประโยชน์ในวันแห่งพระพิโรธ
แต่ความชอบธรรมช่วยให้พ้นจากความมรณา
5ความชอบธรรมของคนที่ดีพร้อมย่อมทำให้ทางของเขาตรง
แต่คนอธรรมจะล้มลงด้วยความอธรรมของตน
6ความชอบธรรมของคนเที่ยงธรรมย่อมช่วยกู้เขา
แต่คนทรยศจะถูกความอยากของตนจับเป็นเชลย
7เมื่อคนอธรรมตาย ความมุ่งหวังของเขาก็มลายไป
และความใฝ่ฝันของผู้มีอิทธิพลก็สลาย
8คนชอบธรรมได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากความลำบาก
และคนอธรรมเข้าไปแทนที่
อรรถาธิบาย
ของประทานแห่งความชอบธรรม
คุณตระหนักไหมว่าพระเจ้าประทานของประทานแห่งความชอบธรรมให้คุณเรียบร้อยแล้ว? คุณได้ครอบครองของประทานนั้นแล้วหรือยัง?
ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิตให้ภาพที่ขัดแย้งของ ‘คนอธรรม’ กับ ‘คนชอบธรรม’ ความชั่วร้ายจะนำไปสู่การถูกทำลายล้าง ‘แต่ความคดโกงของคนทรยศย่อมทำลายเขา...แต่คนอธรรมจะล้มลงด้วยความอธรรมของตน’ (11:3ข, 5ข) ที่สำคัญที่สุดคือ ความอธรรมไม่ได้ถูกลบล้างด้วยความตาย ‘เมื่อคนอธรรมตาย ความมุ่งหวังของเขาก็มลายไป’ (ข้อ 7)
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ‘แต่ความชอบธรรมช่วยให้พ้นจากความมรณา’ (ข้อ 4ข) นี่เป็นหนึ่งในข้อโต้แย้งที่อัครทูตเปโตรใช้ในเรื่องพระเยซูในวันเพ็นเทคอสต์ คนชอบธรรมจะไม่เน่าเปื่อย ‘ความตายจะครอบงำพระองค์ไว้ไม่ได้’ (กิจการอัครทูต 2:24)
ไม่มีใครชอบธรรมจริง ๆ ยกเว้นพระเยซู ความชอบธรรมหมายถึงมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง ทั้งกับพระเจ้าและกับคนอื่น ๆ คุณรับเอาความชอบธรรมนี้จากพระเจ้าในฐานะของประทานด้วยความเชื่อ (โรม 3:22; ฟีลิปปี 3:9) แต่คุณต้องครอบครองมัน คุณต้องดำเนินชีวิตตามนั้น
ในพระธรรมตอนนี้ เราได้เห็นตัวอย่างบางอันถึงความหมายของสิ่งนี้
ปัญญา
‘ปากของคนดีเป็นน้ำพุแห่งปัญญา ปากเหม็นเป็นเหมือนหนองน้ำนิ่ง คำพูดของคนดีทำให้ปลอดโปร่งใจ คำพูดของคนอธรรมเป็นมลพิษ’ (สุภาษิต 10:31ก, 32ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)ความถ่อมใจ
‘คนโอหังก็ล้มหน้าคว่ำ แต่คนติดดินก็ยืนหยัดมั่นคง’ (11:2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)ความซื่อสัตย์
‘ความซื่อสัตย์ของคนเที่ยงธรรมย่อมทำให้เขาไม่หลง... ชีวิตที่มีหลักการย่อมยืนหยัดต่อสิ่งเลวร้ายได้’ (ข้อ 3ก, 4ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)คุณลักษณะ
‘คนชอบธรรมย่อมทำให้เส้นทางของเขาราบรื่น... คุณลักษณะที่ดีย่อมเป็นการรับประกันที่ดีที่สุด’ (ข้อ 5ก, 6ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
ยอห์น 1:29-51
พระเมษโปดกของพระเจ้า
29วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาหาท่าน ท่านจึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดก ผู้ทรงรับบาปของโลกไป 30พระองค์นี้แหละที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า ‘ภายหลังข้าพเจ้าจะมีผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้าเสด็จมา เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’ 31ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่เพื่อให้พระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่อิสราเอล ข้าพเจ้าจึงให้บัพติศมาด้วยน้ำ” 32และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนดังนกพิราบ และสถิตกับพระองค์ 33ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่พระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาให้บัพติศมาด้วยน้ำ ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เมื่อเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาสถิตอยู่กับคนใด คนนั้นแหละจะเป็นคนให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ 34และข้าพเจ้าก็เห็นแล้วและเป็นพยานว่าพระองค์นี้แหละเป็นพระบุตรของพระเจ้า”
สาวกพวกแรกของพระเยซู
35รุ่งขึ้น ยอห์นยืนอยู่ที่นั่นอีกกับศิษย์ของท่านสองคน 36และท่านมองดูพระเยซูขณะที่พระองค์เสด็จผ่านไป และท่านกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า” 37ศิษย์สองคนนั้นได้ยินท่านพูดอย่างนี้ก็ติดตามพระเยซูไป 38พระเยซูทรงเหลียวกลับและทอดพระเนตรเห็นเขาทั้งสองตามพระองค์มา จึงตรัสถามเขาว่า “ท่านหาอะไร?” เขาทั้งสองทูลพระองค์ว่า “รับบี (ซึ่งแปลว่าท่านอาจารย์) ท่านพักอยู่ที่ไหน?” 39พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “มาดูเถิด” เขาก็ไปและเห็นที่ซึ่งพระองค์ประทับ และวันนั้นก็พักอยู่กับพระองค์ เพราะขณะนั้นประมาณสี่โมงเย็นแล้ว 40คนหนึ่งในสองคนนั้นที่ได้ยินยอห์นพูดและติดตามพระองค์ไป คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร 41แล้วอันดรูว์ก็ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่า “เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว” (ซึ่งแปลว่าพระคริสต์) 42อันดรูว์จึงพาซีโมนไปเฝ้าพระเยซู เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเขาแล้วก็ตรัสว่า “ท่านคือซีโมนบุตรยอห์น คนจะเรียกท่านว่าเคฟาส” (ซึ่งแปลว่าศิลา)
พระเยซูทรงเรียกฟีลิปและนาธานาเอล
43รุ่งขึ้นพระเยซูตั้งพระทัยจะเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์ทรงพบฟีลิปจึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา” 44ฟีลิปมาจากเบธไซดาเมืองของอันดรูว์และเปโตร 45ฟีลิปไปหานาธานาเอลและบอกเขาว่า “เราพบคนที่โมเสสกล่าวถึงในหนังสือธรรมบัญญัติ และคนที่พวกผู้เผยพระวจนะกล่าวถึง คือ เยซูชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ” 46นาธานาเอลถามเขาว่า “สิ่งดีๆ จะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ?” ฟีลิปตอบว่า “มาดูเถอะ” 47พระเยซูทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลมาหา พระองค์จึงตรัสเกี่ยวกับตัวเขาว่า “นี่แหละ ชาวอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย” 48นาธานาเอลทูลพระองค์ว่า “ท่านรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร?” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน” 49นาธานาเอลทูลตอบพระองค์ว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล” 50พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เพราะเราบอกท่านว่าเราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อท่านจึงเชื่อหรือ? ท่านจะเห็นเหตุการณ์ใหญ่กว่านั้นอีก” 51แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ท่านจะเห็นท้องฟ้าแหวกออกและพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์”
อรรถาธิบาย
ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
คุณเพลิดเพลินกับทุกสิ่งที่พระเยซูทรงทำให้เป็นไปได้สำหรับคุณไหม? หรือคุณยังรู้สึกผิดและไร้อำนาจอยู่? พระเยซูเสด็จมาเพื่อนำเอาการทรงอภัย ชีวิตใหม่ และฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาให้คุณ ให้แน่ใจว่าคุณได้ครอบครองสิ่งที่เป็นของคุณอยู่แล้วในวันนี้
ในพระธรรมตอนนี้ เราได้เห็นลำดับที่โดดเด่นเรื่องพระนามที่เรียกขานพระเยซู พระเยซูทรงเป็น ‘พระบุตรของพระเจ้า’ (ข้อ 34, 49) ‘พระเมสสิยาห์’ (ข้อ 41) ‘กษัตริย์ของอิสราเอล’ (ข้อ 49) และ ‘บุตรมนุษย์’ (ข้อ 51)
ผมอยากจะเน้นไปที่สองพระนามในพระธรรมตอนนี้ที่อธิบายถึงพันธกิจของพระเยซู
ผู้ลบล้างบาป
เลือดของแกะช่วยกู้ชนชาติอิสราเอลจากการเป็นทาสและทำให้พวกเขาเดินไปอย่างมีเสรีภาพสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา (อพยพ 11–15) ยอห์น กล่าวถึงพระเยซูว่า ‘จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป!’ (ยอห์น 1:29) เมื่อคุณมาหาพระเยซู พระองค์ทรงแบกรับบาปของคุณไป ยกย่องพระนาม วางใจ เชื่อในการทรงอภัยที่นำมาสู่คุณ จงปฏิเสธความรู้สึกผิด ความละอายใจหรือรู้สึกว่าไม่คู่ควรอย่างว่องไว นี่เป็นทางเลือกประจำวันในเชิงรุก ที่ใช้ได้จริงเพื่อครอบครองการทรงอภัยที่พระเยซูทรงทำให้เป็นไปได้สำหรับคุณผู้ให้บัพติศมาฝ่ายวิญญาณ
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาอธิบายถึงพระเยซูว่าทรงเป็น ‘คนให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ (ข้อ 33) พระเยซูทรงเติมคุณด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ นี่เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงทำให้เป็นไปได้สำหรับคุณ อย่างไรก็ตาม คุณต้องครอบครองของประทานอัศจรรย์นี้ที่พระเจ้าทรงประทานให้คุณ
พระเยซูทรงเชิญชวนฟีลิป ‘จงตามเรามา’ (ข้อ 43) คำกรีกว่า ‘ติดตาม’ ไม่ได้หมายความเพียงแค่ ‘เดินตามรอยเท้า’ แต่ยังหมายถึงการร่วมทาง การอยู่ด้วย เมื่อพวกเขาถามพระเยซูว่า ‘ท่านพักอยู่ที่ไหน?’ คำกรีกที่ว่า ‘พักอยู่’ เป็นคำเดียวกับที่พระเยซูทรงใช้ใน ยอห์น 15 ‘จงติดสนิทอยู่กับเรา และเราติดสนิทอยู่กับพวกท่าน’ พวกเขาได้เห็นที่ซึ่งพระองค์ประทับ และพักอยู่กับพระองค์ พระเยซูทรงเชื้อเชิญคุณด้วยเช่นกัน สู่มิตรภาพที่ลึกซึ้งและเป็นส่วนตัวกับพระองค์
พระเยซูยังทรงประทานโอกาสให้คุณได้ทำสิ่งที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้ทำ ชี้ทางให้คนอื่นมาถึงพระองค์ แน่นอนว่า พระเจ้าทรงไม่ต้องการตัวแทนมนุษย์ พระเยซูสามารถทำพันธกิจของพระองค์โดยปราศจากความช่วยเหลือของเรา อย่างไรก็ตาม เราได้เห็นในพระธรรมตอนนี้ถึงวิธีที่พระเจ้าทรงใช้สาวกของพระองค์เรียกผู้คน
พวกเขานำเพื่อน ๆ มาถึงพระเยซู ยอห์นผู้ให้บัพติศมาแนะนำอันดรูว์ (ข้อ 35–36) อันดรูว์แนะนำเปโตร (ข้อ 41) และฟีลิปแนะนำนาธานาเอล (ข้อ 45) นาธานาเอลสงสัยในเบื้องแรก แต่จากนั้นเขาก็มาและก็พบทันทีว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง ๆ (ข้อ 49)
อดีตอาร์คบิชอปแห่งแคนเทอบิวรี่ วิลเลี่ยม เท็มเปิ้ล เขียนอรรถาธิบายพระกิตติคุณยอห์น เมื่อเขามาถึงถ้อยคำที่ว่า ‘อันดรูว์จึงพาซีโมนไปเฝ้าพระเยซู’ (ข้อ 42ก) เท็มเปิ้ลเขียนไว้สั้น ๆ แต่เป็นประโยคสำคัญว่า ‘งานรับใช้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ [บุคคล]คนหนึ่งสามารถทำต่อคนอื่นได้’
ซีโมนเปโตรกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์คริสเตียน คุณอาจไม่สามารถทำสิ่งที่เปโตรทำได้ แต่คุณสามารถทำสิ่งที่อันดรูว์น้องชายของท่านทำ คุณสามารถนำบางคนมาถึงพระเยซูได้
หรือเหมือนกับฟีลิป คุณสามารถพูดว่า ‘มาดูเถอะ’ (ข้อ 46) กับเพื่อน ครอบครัว และเพื่อนร่วมงานของคุณ คุณสามารถเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้าสำหรับคนที่ได้ยินและตอบสนองต่อพระเยซู เมื่อคุณเชิญพวกเขาให้ ‘มาดูเถอะ’
ผมพบว่า ไม่มีอะไรในชีวิตน่าตื่นเต้นไปกว่าการได้เข้าส่วนในพันธกิจของพระเยซู นี่เป็นพระคุณพระเจ้าที่ทรงรวมเราเข้าไว้ด้วย มนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ ในแผนการอันสมบูรณ์แบบของพระองค์
คำอธิษฐาน
โยชูวา 17:1-18:28
ดินแดนของคนมนัสเสห์อีกครึ่งเผ่า (ด้านตะวันตก)
1นี่คือที่ดินตามฉลากของเผ่ามนัสเสห์ เพราะเป็นบุตรหัวปีของโยเซฟ ส่วนมาคีร์บุตรหัวปีของมนัสเสห์ บิดาของกิเลอาด ได้กิเลอาดและบาชานเป็นส่วนแบ่ง เพราะว่าเขาเป็นทหาร 2และที่ดินตามฉลากของคนเผ่ามนัสเสห์ที่เหลืออยู่ตามตระกูล คือพงศ์พันธุ์ของอาบีเยเซอร์ เฮเลค อัสรีเอล เชเคม เฮเฟอร์และเชมีดา บุคคลเหล่านี้เป็นพงศ์พันธุ์ผู้ชายของมนัสเสห์ ผู้เป็นบุตรของโยเซฟ ตามตระกูลของเขา
3ฝ่ายเศโลเฟหัดบุตรของเฮเฟอร์บุตรของกิเลอาดบุตรของมาคีร์บุตรของมนัสเสห์ ไม่มีบุตรผู้ชาย มีแต่บุตรี และต่อไปนี้เป็นชื่อบุตรีของเขาคือ มาลาห์ โนอาห์ ฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์ 4พวกเขาเข้ามาหาเอเลอาซาร์ปุโรหิตและโยชูวาบุตรนูนและพวกผู้นำแล้วกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสส ให้ยกมรดกในหมู่ญาติพี่น้องของเราให้เรา” ดังนั้นท่านจึงให้มรดกแก่คนเหล่านี้ในหมู่พี่น้องของบิดาของเขาตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ 5ดังนั้นส่วนที่ตกแก่คนมนัสเสห์จึงมีสิบส่วน นอกเหนือดินแดนกิเลอาดและบาชานซึ่งอยู่ฟากตรงข้ามของแม่น้ำจอร์แดน 6เพราะว่าบุตรีของมนัสเสห์ก็ได้รับมรดกท่ามกลางบุตรชายของท่านด้วย แผ่นดินกิเลอาดนั้นได้ตกเป็นส่วนของพงศ์พันธุ์มนัสเสห์ที่เหลืออยู่
7เขตแดนของมนัสเสห์ตั้งต้นจากอาเชอร์จนถึงมิคเมธัท ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเชเคม แล้วพรมแดนก็ยื่นไปทางทิศใต้ ถึงที่ของชาวเมืองเอนทัปปูวาห์ 8แผ่นดินเมืองทัปปูวาห์เป็นของมนัสเสห์ แต่ตัวเมืองทัปปูวาห์ซึ่งอยู่ที่พรมแดนของมนัสเสห์นั้นเป็นของพงศ์พันธุ์เอฟราอิม 9แล้วพรมแดนก็ลงไปถึงลำธารคานาห์ เมืองเหล่านี้ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ลำธารท่ามกลางเมืองต่างๆ ของมนัสเสห์นั้นเป็นของเอฟราอิม แล้วพรมแดนของมนัสเสห์ก็ขึ้นไปทางด้านเหนือของลำธารไปสิ้นสุดลงที่ทะเล 10แผ่นดินทางด้านใต้เป็นของเอฟราอิม และแผ่นดินทางด้านเหนือเป็นของมนัสเสห์ มีทะเลเป็นพรมแดน ทางเหนือจดดินแดนอาเชอร์ และทางทิศตะวันออกจดอิสสาคาร์ 11ในเขตอิสสาคาร์และในอาเชอร์นั้น มนัสเสห์ยังมีเมืองเบธชานกับหมู่บ้านรอบๆ เมืองนั้น และเมืองอิบเลอัมกับหมู่บ้านรอบๆ เมืองนั้น และชาวเมืองโดร์กับหมู่บ้านรอบๆ เมืองนั้น และชาวเมืองเอนโดร์กับหมู่บ้านรอบๆ เมืองนั้น และชาวเมืองทาอานาคกับหมู่บ้านรอบๆ เมืองนั้น และชาวเมืองเมกิดโดกับหมู่บ้านรอบๆ เมืองนั้น (เมืองที่สามคือ นาฟาท) 12แต่คนมนัสเสห์ยังไม่สามารถยึดครองเมืองเหล่านั้นได้ และคนคานาอันยังคงอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น 13เมื่อพงศ์พันธุ์อิสราเอลเข้มแข็งขึ้นแล้ว ก็ได้เกณฑ์คนคานาอันให้ทำงานโยธา แต่ไม่ได้ขับไล่พวกเขาออกไปเสียทั้งหมด
คนเผ่าโยเซฟประท้วง
14คนเผ่าโยเซฟได้พูดกับโยชูวาว่า “ทำไมท่านจึงแบ่งให้เราได้เพียงส่วนเดียวเป็นมรดก ในเมื่อเรามีคนมากมายเพราะว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงอวยพรเรามาจนถึงบัดนี้?” 15ฝ่ายโยชูวาตอบพวกเขาว่า “ถ้าท่านมีคนมากมาย และแดนเทือกเขาของคนเอฟราอิมแคบไปสำหรับท่าน จงเข้าไปในป่าแผ้วถางเอาเองที่ในแผ่นดินของคนเปริสซีและคนเรฟาอิม” 16คนเผ่าโยเซฟพูดว่า “แดนเทือกเขานี้ไม่พอสำหรับพวกเรา แต่คนคานาอันทุกคนซึ่งอยู่ในที่ราบมีรถรบทำด้วยเหล็ก ทั้งพวกที่อยู่ในเบธชานกับหมู่บ้านรอบๆ เมืองนั้น และพวกที่อยู่ในหุบเขายิสเรเอล” 17แล้วโยชูวาจึงกล่าวแก่พงศ์พันธุ์โยเซฟ คือเอฟราอิมและมนัสเสห์ว่า “ท่านเป็นพวกที่มีคนมากและมีกำลังมหาศาล ท่านไม่ได้มีส่วนแบ่งเพียงส่วนเดียว 18แต่แดนเทือกเขาก็เป็นของท่าน ถึงแม้ว่าเป็นป่าดอน ท่านจงแผ้วถางและยึดครองไปจนสุดเขตเถิด แม้ว่าคนคานาอันจะมีรถรบทำด้วยเหล็ก และเป็นคนเข้มแข็ง ท่านก็จะขับไล่เขาออกไปได้”
โยชูวา 18
ดินแดนของเผ่าอื่นๆ
1ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดได้มาประชุมกันที่ชิโลห์ และตั้งเต็นท์นัดพบขึ้นที่นั่น แผ่นดินนั้นก็ตกอยู่ในการครอบครองของพวกเขา
2ยังมีประชาชนอิสราเอลอีกเจ็ดเผ่าที่ยังไม่ได้รับมรดกเป็นส่วนแบ่ง 3ดังนั้นโยชูวาจึงกล่าวแก่ประชาชนอิสราเอลว่า “พวกท่านจะรอช้าอยู่อีกนานเท่าใดจึงจะเข้าไปยึดครองที่ดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านประทานแก่พวกท่าน? 4จงเลือกคนเผ่าละสามคน และข้าพเจ้าจะใช้พวกเขาให้เดินทางไปทั่วแผ่นดินนั้น ให้เขียนแนวเขตที่ดินที่จะมอบเป็นมรดก แล้วมาหาข้าพเจ้า 5ให้พวกเขาแบ่งมันออกเป็นเจ็ดส่วน ให้ยูดาห์คงอยู่ในดินแดนของเขาทางภาคใต้ และพงศ์พันธุ์โยเซฟให้คงอยู่ในดินแดนทางภาคเหนือ 6ให้พวกท่านเขียนแนวเขตที่ดินเป็นเจ็ดส่วน แล้วนำมาให้ข้าพเจ้าที่นี่และข้าพเจ้าจะจับฉลากให้ท่านที่นี่ เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา 7แต่คนเลวีไม่มีส่วนแบ่งในหมู่พวกท่าน เพราะตำแหน่งปุโรหิตของพระยาห์เวห์เป็นมรดกของเขา ส่วนกาด และรูเบน กับครึ่งเผ่ามนัสเสห์ก็ได้รับมรดกของเขาทางฟากตะวันออกแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้มอบให้พวกเขาแล้ว”
8คนเหล่านั้นจึงออกเดินทางและโยชูวากำชับพวกที่จะเขียนแนวเขตที่ดินว่า “จงเดินทางไปให้ทั่วแผ่นดิน และเขียนแนวเขตที่ดินนั้น แล้วกลับมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะจับฉลากให้ท่านเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่ชิโลห์” 9คนเหล่านั้นจึงเดินทางไปทั่วแผ่นดิน แล้วเขียนแนวเขตเมืองต่างๆ แบ่งเป็นเจ็ดส่วนลงในหนังสือ แล้วกลับมาหาโยชูวา ณ ค่ายที่ชิโลห์ 10แล้วโยชูวาก็จับฉลากให้พวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ โยชูวาได้จัดแบ่งที่ดินให้แก่ประชาชนอิสราเอลที่นั่น ตามส่วนแบ่งของแต่ละเผ่า
ดินแดนของเบนยามิน
11จับได้ฉลากของเผ่าคนเบนยามินตามตระกูลของเขาขึ้นมา และดินแดนที่เป็นส่วนของพวกเขาอยู่ระหว่างพงศ์พันธุ์ยูดาห์กับพงศ์พันธุ์โยเซฟ 12ทางด้านเหนือพรมแดนของพวกเขาเริ่มต้นที่แม่น้ำจอร์แดน และพรมแดนก็ยื่นขึ้นไปถึงไหล่เขาตอนเหนือของเยรีโค แล้วขึ้นไปทางแดนเทือกเขาทางทิศตะวันตก และไปสิ้นสุดที่ถิ่นทุรกันดารเบธาเวน 13จากที่นั่นพรมแดนก็ยื่นไปทางทิศใต้ตรงไปยังลูสไปยังไหล่เขาที่เมืองลูส (เมืองเดียวกับเบธเอล) แล้วพรมแดนก็ลงไปถึงอาทาโรทอัดดาร์ บนภูเขาซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเบธโฮโรนล่าง 14แล้วพรมแดนก็ยื่นไปอีกทิศหนึ่งโค้งไปทางทิศใต้เป็นด้านตะวันตก จากภูเขาซึ่งอยู่ทิศใต้ตรงข้ามเบธโฮโรน และไปสิ้นสุดลงที่คีริยาทบาอัล (คือคีริยาทเยอาริม) อันเป็นเมืองของพงศ์พันธุ์ยูดาห์ นี่คือพรมแดนด้านตะวันตก 15ส่วนด้านใต้นั้นเริ่มต้นที่ชานเมืองคีริยาทเยอาริม และพรมแดนก็ยื่นจากที่นั่นไปทางตะวันตกถึงน้ำพุแห่งลำห้วยเนฟโทอาห์ 16แล้วพรมแดนก็ยื่นลงไปสุดเขตภูเขา ซึ่งมองลงมาเห็นหุบเขาเบนฮินโนม ซึ่งอยู่ทางปลายเหนือสุดของหุบเขาเรฟาอิม แล้วก็ลงไปที่หุบเขาฮินโนมใต้ไหล่เขาของคนเยบุส แล้วลงไปถึงเอนโรเกล 17แล้วโค้งไปทางทิศเหนือตรงไปถึงเอนเชเมช จากที่นั่นก็ตรงไปยังเกลิโลท ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับทางขึ้นเขาชื่ออดุมมิม แล้วลงไปยังโขดหินของโบฮันบุตรรูเบน 18แล้วผ่านไปทางทิศเหนือถึงไหล่เขาตรงข้ามอาราบาห์แล้วลงไปสู่อาราบาห์ 19แล้วพรมแดนก็ผ่านไปทางทิศเหนือถึงไหล่เขาที่เบธฮกลาห์ และพรมแดนไปสิ้นสุดลงที่อ่าวด้านเหนือของทะเลตาย ที่ปลายใต้ของแม่น้ำจอร์แดน นี่เป็นพรมแดนด้านใต้ 20แม่น้ำจอร์แดนกั้นเป็นพรมแดนทางตะวันออก นี่เป็นมรดกของพงศ์พันธุ์เบนยามินตามตระกูลของเขา มีพรมแดนเหล่านี้ล้อมรอบ
21เมืองต่างๆ ของเผ่าคนเบนยามินตามตระกูลของเขาคือ เยรีโค เบธฮกลาห์ เอเมคเคซีส 22เบธอราบาห์ เศมาราอิม เบธเอล 23อัฟวิม ปาราห์ โอฟราห์ 24เคฟารัมโมนี โอฟนี เกบา รวมเป็น 12 เมือง กับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย 25กิเบโอน รามาห์ เบเอโรท 26มิสปาห์ เคฟีราห์ โมซาห์ 27เรเคม อิรเปเอล ทาระลาห์ 28เศลา หะเอเลฟ เยบุส (คือเยรูซาเล็ม) กิเบอาห์และคีริยาท รวมเป็น 14 เมือง กับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย นี่เป็นมรดกของพงศ์พันธุ์เบนยามินตามตระกูลของเขา
อรรถาธิบาย
ของประทานแห่งมรดกของคุณ
มีบางด้านในชีวิตที่คุณยังไม่ได้รับมรดกในพระคริสต์หรือไม่?
แผ่นดินนั้นเป็นมรดกของประชากรของพระเจ้า (17:4,7; 18:7,20,27) ‘โยชูวาจึงกล่าวแก่ประชาชนอิสราเอลว่า “พวกท่านจะนั่งรออยู่เฉย ๆ อีกนานเท่าใด จึงจะ เข้าไปยึดครองที่ดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านประทานแก่พวกท่าน?”’ (18:3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
อีกครั้งในจุดนี้ เราได้เห็นความแตกต่างอย่างยิ่งระหว่างความเป็นเจ้าของ กับการครอบครองและความเพลิดเพลินของแผ่นดิน อิสราเอลได้รับความเป็นเจ้าของดินแดนก่อนที่พวกเขาจะครอบครองและเพลิดเพลินได้
เมื่อคุณติดตามพระเยซู คุณกลายเป็นสหายของพระองค์ คุณได้รับการทรงอภัย การชำระให้ชอบธรรม ความชอบธรรมของพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ คุณกลายเป็นบุตรของพระเจ้า คุณมีอำนาจเหนือความบาปและสามารถเข้าหาพระเจ้าได้ คุณมีชัยชนะเหนืออำนาจของมาร คุณมีสันติภาพกับพระเจ้า คุณมีสิทธิอำนาจเหนือความชั่วร้ายในชีวิตของคุณและชีวิตของคนอื่น ๆ พระสัญญาของพระเจ้าทุกอย่างล้วนตกเป็นของคุณ นี่เป็นมรดกของคุณในพระคริสต์
แต่คุณอาจจะไม่จำเป็นเสมอไปที่เข้าครอบครอง และเพลิดเพลินอย่างเต็มที่กับพระพรสำหรับทุกสิ่งในชีวิตของคุณ พระเจ้าตรัสไว้ว่า ผลกระทบต่อประชากรของพระองค์ ‘เจ้าไม่ได้ตระหนักหรือว่า เราได้ให้ทั้งหมดนี้กับเจ้าแล้ว? เจ้ามัวรออะไรอยู่?’
คุณอาจมอบชีวิตของคุณให้กับพระเยซู แต่คุณยอมให้พระองค์ครอบครองทุกพื้นที่ในชีวิตคุณหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การทำงาน ชีวิตแห่งการอธิษฐาน เพื่อนฝูง และครอบครัวของคุณ ในประสบการณ์ของผม นี่เป็นงานที่ต้องทำไปชั่วชีวิต
อัครสาวกเปาโลเขียนว่า คุณจำเป็นต้องยึดกุมความคิดทุกประการให้มาเชื่อฟังพระคริสต์ (2 โครินธ์ 10:5) ในบางด้านชัยชนะอาจเกิดขึ้นทันที ด้านอื่น ๆ อาจต้องค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า คุณต้องขับไล่แม้กระทั่งการขัดขืนเพียงเล็กน้อย
ดังที่อิสราเอลได้รับแผ่นดินเป็นของประทานจากพระเจ้า (โยชูวา 18:3) ดังนั้นคุณและผมได้รับแล้วในพระเยซู ทุกพระพรด้านจิตวิญญาณ (เอเฟซัส 1:3) คำถามก็คือ ‘คุณจะรออีกนานแค่ไหนก่อนที่คุณจะเริ่มต้นยึดครองของประทานเหล่านี้?’ (โยชูวา 18:3)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ยอห์น 1:48
‘นาธานาเอลทูลพระองค์ว่า “ท่านรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร?” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน”’
พระเยซูทรงเห็นคุณไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน และไม่ว่าคุณจะทำอะไร พระองค์ทรงรู้จักคุณ
ข้อพระคำประจำวัน
สุภาษิต 10:31-32, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
‘ปากของคนดีเป็นน้ำพุแห่งปัญญา
ปากเหม็นเป็นเหมือนหนองน้ำนิ่ง
คำพูดของคนดีทำให้ปลอดโปร่งใจ
คำพูดของคนอธรรมเป็นมลพิษ’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)